บทที่ 631 แทนที่ในรายชื่อ
ณ พิธีรับศิษย์
ตวนมู่ชิงละสายตากลับมา แล้วเริ่มหันกลับมาพูดคุยกับบรรดาจักรพรรดิที่มาร่วมงานเป็นการส่วนตัว
“ผู้อาวุโสทุกท่าน ในพิธีรับศิษย์ในครานี้ ข้ายังมีเรื่องบางอย่างอยากปรึกษากับพวกท่าน” จู่ๆ ตวนมู่ชิงก็เอ่ยปาก
จักรพรรดิหลายคนในที่ดังกล่าวสบตากัน บางคนมีท่าทางเหมือนครุ่นคิด
“ท่านจักรพรรดิตวนมู่ เรื่องที่ว่าเกี่ยวข้องกับ ‘อุทยานครึ่งเซียน’ ใช่หรือไม่? ” จักรพรรดิกู่หลัวเอ่ยยิ้มๆ
“เป็นเรื่องนั้น” ตวนมู่ชิงผงกศีรษะรับ เอ่ยต่อว่า “เดิมทีจำนวนรายชื่อของอุทยานครึ่งเซียนถูกกำหนดไว้แล้ว ตามกติกาไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ จักรพรรดิหลายคนในที่แห่งนี้ก็แจ่มแจ้งในเจตนาของตวนมู่ชิง
เขาอยากจะเพิ่มลูกศิษย์ตนลงในจำนวนรายชื่อของ ‘อุทยานครึ่งเซียน’
ถ้าหากเป็นก่อนที่จำนวนรายชื่อจะถูกกำหนดไป ด้วยพลังอำนาจและตำแหน่งของตวนมู่ชิง เรื่องนี้ไม่ถือว่ายากเย็นอย่างใด
แต่ปัญหาในตอนนี้คือจำนวนรายชื่อของอุทยานครึ่งเซียนถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
“รายชื่ออุทยานครึ่งเซียน แบ่งเป็นชื่อที่กำหนดกันเองภายในและชื่อที่แข่งขันแบบเปิดเผยต่อสาธารณะ รายชื่อที่แข่งขันต่อหน้าสาธารณะประกาศออกไปสู่มวลชนแล้ว จึงยื่นมือเข้าแทรกแซงได้ยาก นอกเสียจากจะเปลี่ยนรายชื่อที่ภายในสำนักกำหนดเอง” จักรพรรดิกู่หลัวเอ่ยพึมพำ
สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินมีรายชื่อของอุทยานครึ่งเซียนทั้งหมดห้าสิบคน
เมื่อเปรียบกับสำนักสองดาวระดับสุดยอดอย่างสำนักบรรพตทองแล้วห่างชั้นกันกว่าสิบเท่า
แต่ว่า
ในฐานะที่เป็นสำนักสามดาว ยอดฝีมืออัจฉริยะของสำนักเสวียนเจินมีดาษดื่นเหมือนดวงดาว ขนาดสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณก็ยังมี
จำนวนของราชันและจักรพรรดิในสำนักรวมๆ กันแล้วมีมากกว่าสิบคนเป็นอย่างน้อย
ราชันกับจักรพรรดิทุกคนจะมากจะน้อยก็ล้วนรับศิษย์ไว้หลายคน
ด้วยเหตุนี้ห้าสิบรายชื่อนี้จึงมีการแข่งขันที่ดุเดือดร้อนแรงมาก
“ในนี้มีรายชื่อที่ถูกเลือกจากภายในสิบชื่อ ไม่เช่นนั้นก็ทำแบบนี้…” จักรพรรดิกู่หลัวคิดหาวิธีได้อย่างรวดเร็ว
จักรพรรดิหลายคนสื่อสารกันผ่านทางห้วงคิดเซียน แล้วจึงตกผลึกออกมาเป็นแผนการในทันที
“มีแต่ต้องทำเช่นนี้แล้ว” ตวนมู่ชิงถอนหายใจเบาๆ
รายนามที่ถูกกำหนดจากภายในล้วนแต่เป็นอัจฉริยะที่มีเบื้องหลังยิ่งใหญ่ คิดจะเปลี่ยนคนใดคนหนึ่ง นั่นย่อมแปลว่าขัดผลประโยชน์ของใครบางคนไป
แต่อุทยานครึ่งเซียนที่จะจัดขึ้นในรอบห้าร้อยปีเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก
อีกทั้งน้อยครั้งนักที่ตวนมู่ชิงจะรับศิษย์ ในครั้งนี้ได้อัจฉริยะที่มีพรสรรค์สายเลือดชั้นยอดมาคนหนึ่งอย่างยากเย็น หนำซ้ำยังมีความเกี่ยวข้องกับท่านอาจื่อเย่ เขาย่อมต้องอยากช่วยเหลือในทุกวิถีทางอยู่แล้ว
เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไป
พิธีรับศิษย์ค่อยๆ ดำเนินมาถึงช่วงท้าย
ในพิธี จ้าวเฟิงทำความรู้จักกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักเสวียนเจินจำนวนไม่น้อย
“ลูกศิษย์อันดับหนึ่ง ‘หนานกงเซิ่ง’ ไม่ได้มาด้วย”
“หนานกงเซิ่งในระยะนี้เอาแต่ฝึกเคล็ดวิชาลับของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เมื่อครึ่งปีก่อนทะลวงไปยังระดับครึ่งก้าวสู่ราชันแล้ว”
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดส่วนหนึ่งถกกันเสียงต่ำ
‘หนานกงเซิ่ง’ ที่คนหลายคนเอ่ยถึงเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน ในเวลาเดียวกันเขาก็ยังเป็นอัจฉริยะในลำดับต้นๆ ของทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย
เมื่อเอ่ยถึง ‘หนานกงเซิ่ง’ ขนาดเจียงฟานผู้มีสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณยังเผยแววเคารพยำเกรง
“ถ้าหากพลังฝึกตนของข้าเพิ่มถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง ต่อให้เป็นครึ่งก้าวสู่ราชันก็ยังพอสามารถประมือกันได้”
มือสองข้างของเจียงฟานกำแน่น
ในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน พรสวรรค์สายเลือดของเขาเรียกได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ
แต่อย่างไรอายุของเขาเพิ่งจะยี่สิบกว่าปี ย่อมเทียบไม่ได้กับอัจฉริยะผู้เป็นบุรุษหนุ่มที่อายุสามสิบกว่าทั้งหลาย
“ศิษย์น้องเจียง เจ้าอย่าได้เสียกำลังใจ ทั่วทั้งดินแดนศักด์สิทธิ์มีสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณเพียงสองเท่านั้น ในอนาคตคู่ต่อสู้จริงๆ ของเจ้าคือเมิ่งซีแห่ง ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย’ ต่างหาก ” เฉินอี้หลินยื่นมือออกมาตบบ่าเขาเบาๆ
ในความเป็นจริง พลังสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณทำให้พลังของเจียงฟานสูงส่งเกินกว่ายอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงบางส่วนไปแล้วด้วยซ้ำ
“ยังมีเวลาอีกสามเดือนกว่าอุทยานครึ่งเซียนจะเปิด ข้าจะต้องเป็นเหมือน
ศิษย์พี่เฉิน แย่งชิงเอาตำแหน่ง ‘สิบยอดอัจฉริยะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์’ มาให้ได้”
ดวงตาของเจียงฟานฉายแววต่อสู้ออกมา สายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณภายในร่างของเขาละม้ายคล้ายมีไฟลุกโชนขึ้นด้วยความตั้งมั่นนั้น
พิธีรับศิษย์ในวันนี้ เจียงฟานได้รับแรงกระตุ้นไปไม่น้อย
ทั้งหมดล้วนแต่เป็นแรงกดดันที่มาจากจ้าวเฟิง
การเปลี่ยนแปลงของเจียงฟานไม่อาจหลุดรอดสายตาของ ‘จักรพรรดิกู่หลัว’ ไปได้
‘จักรพรรดิกู่หลัว’ ลอบผงกศีรษะน้อยๆ อย่างพอใจ ด้วยแต่ไหนแต่ไรมา
เจียงฟานมีพลังสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณในร่าง ค่อนข้างทะนงตน จึงไม่ได้เพียรพยามฝึกตนมากนัก
“ฟานเอ๋อร์ สามเดือนถัดจากนี้ อาจารย์จะชี้แนะการฝึกตนของเจ้าด้วยตนเอง” เสียงห้วงคิดของจักรพรรดิกู่หลัวดังขึ้นอย่างฉับพลัน
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์มาก”
เจียงฟานใจเต้นฮึกเหิม เป้าหมายของเขาคือการเป็น ‘สิบอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์’
ต้องมีพลังในระดับนี้ เขาจึงจะสามารถเข้าไปภายในสุสานครึ่งเซียนและเก็บเกี่ยวอะไรออกมาได้
จักรพรรดิกู่หลัวเหลือบมองจักรพรรดิตวนมู่ คิดในใจว่าลูกศิษย์ของตนมีสายเลือดในตำนานอย่างรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่าจะพ่ายแพ้ต่อลูกศิษย์ที่จักรพรรดิตวนมู่เพิ่งรับไว้
ครึ่งวันจากนั้น พิธีรับลูกศิษย์ก็สิ้นสุดลง
ตั้งแต่วันนี้ไป จ้าวเฟิงเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตวนมู่ชิงอย่างเป็นทางการ และกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของสำนักสามดาว
จ้าวเฟิงกระจ่างแจ้งในความทุ่มเทของตวนมู่ชิงดี
“จ้าวเฟิง หากไม่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้ เจ้าจะได้รับลำดับรายชื่อในการเข้าร่วม ‘อุทยานครึ่งเซียน’ แต่ในเวลาเดียวกัน เจ้าเองก็ต้องเตรียมตัวโดนท้าสู้ให้ดี” ตวนมู่ชิงเอ่ยขึ้นก่อนที่จะจากไป
อุทยานครึ่งเซียน?
จ้าวเฟิงอดตื่นตระหนกไม่ได้ รู้สึกประหลาดใจและยินดีอย่างที่สุด
ในพิธีรับลูกศิษย์ จ้าวเฟิงสื่อสารพูดคุยกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดส่วนหนึ่ง เขาจึงได้รู้ว่าลำดับรายชื่อของสุสานครึ่งเซียนถูกกำหนดไว้แล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตวนมู่ชิงจะคิดหาวิธีแย่งชิงที่นั่งในลำดับรายชื่อภายในมาให้เขา
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์ยิ่งนัก” จ้าวเฟิงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ตวนมู่ชิงแย่งชิงที่นั่งในรายชื่อมาให้เขา ย่อมต้องมีของแลกเปลี่ยนอยู่ส่วนหนึ่งเป็นแน่
เพราะจำนวนของจักรพรรดิในสำนักสามดาวไม่ได้มีเพียงแค่คนสองคนเท่านั้น คนในขั้นราชันก็มีหลายสิบคน
อีกทั้งเหนือระดับขั้นจักรพรรดิขึ้นไป ยังมีเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับที่เร้นกายไม่ออกหน้าสู่โลกภายนอกอีก
เมื่อกลับมาถึงที่พัก
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิบนพื้น ในใจวุ่นวายจนยากจะสงบลงได้
ตั้งแต่พบตวนมู่ชิง ชีวิตของเขารวมไปถึงตำแหน่งฐานะก็เกิดการเปลี่ยนแปลงราวพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
แววตาของจ้าวเฟิงทอดมองไปยังด้านนอกของที่พัก แสงสีเงินของดวงจันทร์ทอลงครอบคลุมทั่วเรือนรับรอง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
ทั้งที่ร่างกายอยู่ที่สำนักสามดาว แต่ห้วงความคิดกลับลอยล่องไปถึงทวีปบุปผาครามที่อยู่ห่างไกล
ในหัวมีภาพของสตรีบริสุทธิ์สูงส่งดุจเซียนในภาพวาดปรากฏขึ้นอย่างประหลาด
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่…อุทยานครึ่งเซียน…ข้าจะต้องคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ให้ได้” จ้าวเฟิงสูดหายใจลึกเข้าปอด แล้วปิดตาเข้าฌานเพื่อฝึกตน
หลังจากมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ การเดินทางของเขาสมบูรณ์ไปแล้วครึ่งหนึ่ง
อรุณรุ่งวันต่อมา
“จ้าวเฟิง ออกมา!”
“คนแซ่จั่วอย่างข้าอยากจะดูว่าเจ้าวิเศษวิโสมาจากไหน เพิ่งจะเข้ามาภายในสำนักศักดิ์สิทธิ์ก็เข้ามาแทนที่ลำดับรายชื่อของข้า”
น้ำเสียงเต็มที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นดังมาจากภายนอก
ภายนอกเรือนพัก
เหล่าอัจฉริยะส่วนหนึ่งของสำนักเสวียนเจินยืนมุงดูเหตุการณ์วุ่นวาย
เจ้าของน้ำเสียงนั้นเป็นบุรุษหนุ่มผมสั้นผู้หนึ่ง ใบหน้าบูดเบี้ยว ดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“ศิษย์น้องจั่วหง ลำดับรายชื่อที่ได้รับเลือกจากภายในสำนักโดนจ้าวเฟิงแทนที่ไปแล้วงั้นรึ?”
“เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นน้อยครั้งนักในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่”
ในฝูงชน เหล่าลูกศิษย์ของสำนักส่วนหนึ่งรู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างมาก
หากเอ่ยถึงเบื้องหลังของเขา
ท่านอาจารย์ของจั่วหงผู้นี้เป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะภายในสำนักที่มีประสบการณ์มากมาย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้อาวุโสผู้กุมอำนาจด้วย
ส่วนเรื่องพลังฝึกตน อายุเขายังไม่ถึงสามสิบปี แต่กลับอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายแล้ว
ขณะที่เสียงโหวกเหวกดังขึ้นนั่นเอง บุรุษเรือนผมสีน้ำเงินก็เดินออกมาจากบริเวณเรือนพัก
“จ้าวเฟิง ในที่สุดเจ้าก็ออกมาจนได้”
บริเวณภายนอก เหล่าลูกศิษย์ของสำนักล้วนแต่มีสีหน้าเคียดแค้น
“อาศัยว่าตนเป็นศิษย์ผู้สืบทอดขององค์จักรพรรดิ แล้วแหกกฎกติกาที่มีมาโดยแย่งชิงที่ในลำดับรายชื่อ ช่างหน้าไม่อายเสียจริง”
คนส่วนมากเห็นอกเห็นใจฝ่าย ‘ผู้อ่อนแอ’
เพราะอย่างไรลำดับรายชื่อที่คัดเลือกภายในเดิมทีก็เป็นของจั่วหง
“การตัดสินใจของคนระดับสูงภายในสำนัก ข้าไม่กล้าต่อต้าน แต่ข้าเพียงแต่อยากจะพิสูจน์สักหน่อยว่าศิษย์น้องจ้าวผู้นี้มีคุณสมบัติมากพอจะเข้ามาแทนที่ข้าในลำดับรายชื่อหรือไม่” จั่วหงยิ้มเย้ยเยาะ
การกระทำในวันนี้เขาได้รับคำสั่งมาจากอาจารย์ผู้เป็นราชัน
พลังอำนาจและคุณสมบัติของตวนมู่ชิง ในสำนักมีน้อยคนนักจะเทียบเทียมเสมอเหมือนได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนั้น การมาเยือนของเงาจักรพรรดิ ทำให้ชื่อเสียงของตวนมู่ชิงขจรขจายไปไกลยิ่งใหญ่กว่าเดิม
ทว่าจะให้ไปโวยวายต่อหน้าก็คงไม่ได้ แต่ถ้าประลองพลังและวางแผนลับหลังก็ไม่น่าจะเป็นอะไร
การท้าประลองในครั้งนี้ของจั่วหง หากว่าสามารถเอาชนะจ้าวเฟิง เช่นนั้นการที่ตวนมู่ชิงเพียรพยายามจะยัดเยียดศิษย์ของตนเข้ามาเบียดที่ในลำดับรายชื่อก็ยากที่จะ ‘สมเหตุสมผล’ ได้
ในเมื่ออยู่ภายในสำนักสามดาว ทุกอย่างล้วนวัดกันที่ความสามารถ
ทางสำนักไม่มีทางสิ้นเปลืองที่อันมีค่าในลำดับรายชื่อให้คนที่ไร้ความสามารถผู้หนึ่ง
สิ่งที่ต้องทำมีเพียงเอาชนะจ้าวเฟิงให้ได้!
เมื่อถึงในเวลานั้น อาจารย์ในขั้นราชันผู้อยู่เบื้องหลังของจั่วหงจะสามารถเชิญจักรพรรดิผู้อื่นมาให้ ‘ความยุติธรรม’ กับเรื่องดังกล่าว
หากประสบความสำเร็จล่ะก็ บางทีเรื่องนี้อาจจะไปถึงหู ‘ผู้อาวุโสสูงสุด’ ที่เร้นกายอยู่ก็เป็นได้
แผนการทั้งหมดถูกวางไว้แล้วเป็นอย่างดี
จั่วหงเองก็ต้องการเพียงแค่จุดเปลี่ยนเหมาะๆ เท่านั้น
ตอนนี้เขากำลังท้าประลองจ้าวเฟิงท่ามกลางสายตาหลายคู่ นี่ถือเป็นขั้นแรก
“ได้ ข้ารับคำท้าประลองของเจ้า” จ้าวเฟิงไม่มีท่าทีลังเลเลยแม้แต่น้อย
เมื่อวาน ท่านอาจารย์ ‘ตวนมู่ชิง’ ก็ได้เตือนเขาแล้ว
บุคคลที่เป็นถึงขั้นจักรพรรดิได้ สายตาจะกว้างไกล ปราดเปรื่องไม่ธรรมดา
หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่
สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน ในบริเวณใกล้เคียงเวทีประลองเก่าแก่แห่งหนึ่ง มีคนนับร้อยมารวมตัวกันเพื่อดูความครึกครื้นที่กำลังจะเกิดขึ้น
เหล่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ตามมาก็ไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียว
“ศิษย์พี่เฉินกับศิษย์พี่หนานมาถึงแล้ว…”
ในฝูงชน ลูกศิษย์ผู้สืบทอดส่วนหนึ่งมองไปทางร่างเงาสองร่างในกลุ่มนั้น
เฉินอี้หลินและ ‘ศิษย์พี่หนาน’ อีกคนที่มาพร้อมกันทอดสายตามองเงาสองร่างบนเวทีประลองด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
พลังฝึกตนของคนทั้งสองอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงกลาง
“ศิษย์พี่เฉินและศิษย์พี่หนานเป็นหนึ่งในสิบอัจฉริยะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น”
“ว่ากันว่าพวกเขามีสถิติในการท้าประลองกับ ‘ครึ่งก้าวสู่ราชัน’ ด้วย”
สายตาของคนทั้งหลายเผยแววเคารพยำเกรง
แล้วในเวลานี้เอง
บนเวทีประลอง
จ้าวเฟิงและจั่วหงปรากฏกายขึ้นกลางทิวเขา
ลานประลองของสำนักเสวียนเจินลี้ลับแปลกประหลาดอย่างมาก ภายในนั้นมีขนาดเท่ากับมิติเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งจำลองสภาพแวดล้อมต่างๆ ทั้งทิวเขา สายน้ำ และป่าไม้
การต่อสู้ในครั้งนี้มีคนให้ความสนใจอย่างมาก
บนอากาศมีห้วงคิดเซียนของขอบเขตปราณเทวะหลายกลุ่มก้อน แม้กระทั่งคนในขั้นจักรพรรดิก็ยังมี
“เหอะ! ทั้งหมดถูกตระเตรียมไว้แล้ว ขอเพียงแค่จั่วหงได้ชัยชนะ ข้าก็จะเชิญผู้อาวุโสสูงสุดที่เร้นกายอยู่มาตัดสินเรื่องนี้อย่างยุติธรรม”
ห้วงคิดเซียนของราชันในขอบเขตปราณเทวะที่แฝงไปด้วยไอเย็นยะเยือกตรวจตรามองด้านล่าง
“ศิษย์พี่จั่วหง หากเอาแต่ประลองอย่างเดียวคงไม่น่าสนใจ” จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ
“หมายความว่าอะไร?” จั่วหงชะงักไปเล็กน้อย
“พวกเรามาเดิมพันกันเถิด หากว่าท่านชนะ ข้าจะมอบตำแหน่งในลำดับรายชื่อคืนให้ท่าน” จ้าวเฟิงเอ่ยเรียบๆ
“ที่พูดมานี่เรื่องจริงรึ หากเจ้าแพ้พ่ายลำดับรายชื่อนั่นจะมอบให้ข้า?” จั่วหงเบิกบานใจ คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะง่ายดายเช่นนี้
“ขอเพียงแค่ท่านรับมือข้าได้สิบกระบวนท่า ก็จะนับว่าท่านมีชัย แต่ถ้าหากท่านพ่ายแพ้น่าจะต้องแสดงออกอะไรสักหน่อย?” จ้าวเฟิงเอ่ยช้าๆ
สิบกระบวนท่า?
จั่วหงชะงักไปครู่หนึ่ง ทั้งที่แห่งนั้นเกิดระลอกความตกใจขึ้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า! สิบกระบวนท่างั้นรึ? เจ้าเด็กแซ่จ้าว เจ้านี่หยิ่งผยองเสียจริง ดูแล้วเจ้าคงไม่รู้ชัดถึงพลังที่สูงส่งของศิษย์ผู้สืบทอดประจำสำนักสามดาว!” จั่วหงได้ยินเช่นนั้นไม่ได้หงุดหงิด แต่กลับหัวเราะออกมา
ถึงแม้เขาจะฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย แต่ก็เคยเอาชนะยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงของโลกภายนอกมาแล้ว