Skip to content

King of Gods 642

King Of Gods

บทที่ 642 ยึดครองทะเลสาบจื่อเยียน (3)

“เป็นไปได้อย่างไร…”

ศิษย์พี่จิวตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก เขาใช้ฝ่ามือโจมตีจ้าวเฟิง แต่ฝ่ายหลังกลับไม่สะเทือนแม้แต่น้อย

ต่อให้เขาชำนาญเคล็ดวิชาวิญญาณ แต่ความสามารถสู้รบในระยะประชิดก็ธรรมดา แต่นี่คือพลังฝ่ามือทั้งหมดของยอดผู้สูงศักดิ์เชียวนะ

วิ้ง!

บนพื้นผิวกายของจ้าวเฟิงปรากฏร่องรอยของเกล็ดสีม่วงเข้ม การป้องกันร่างกายเช่นนี้ทำให้ คนในระดับยอดผู้สูงศักดิ์ยังต้องหวาดกลัว

สายเลือดการป้องกันที่แฝงอยู่ใน ‘หญ้าเกล็ดม่วง’ ทำให้คุณสมบัติร่างกายที่โดดเด่นของจ้าวเฟิงไปสู่จุดสูงสุดในด้านของการคุ้มกัน

ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้สูงศักดิ์ที่มีสภาวะวิญญาณธรรมดาทั่วไป ต่อให้กิน ‘หญ้าเกล็ดม่วง’ มากแค่ไหน ก็ไม่อาจมีผลลัพธ์เช่นนี้ได้แน่นอน

“ผนึก!”

จ้าวเฟิงยังคงไม่สนใจศิษย์พี่จิว กระตุ้นพลังสายเลือด แล้วผนึก ‘ร่างโครงกระดูกสีทอง’ จนหมดฤทธิ์

โครงกระดูกทองสูญเสียพลังที่จะดิ้นรนแล้ว

ถัดจากนั้น

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงทะลักพลังดวงตาและพลังวิญญาณที่น่าตกใจออกมา นัยน์ตาด้านซ้ายปรากฏลำแสงเพลิงอัสนีพิฆาตขึ้น

ฟู่~

โครงกระดูกที่ถูกแช่แข็ง บริเวณพื้นผิวร่างกายมีควันดำขโมงออกมา ลูกไฟในเบ้าตาของมันสับสนหวาดกลัว

“อั่ก!”

ศิษย์พี่จิวผู้ที่มีวิญญาณเชื่อมต่อกับมันอดครวญครางไม่ได้

รอยประทับจิตวิญญาณของโครงกระดูกทอง กำลังเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็วภายใต้เพลิงเนตรล้างผลาญสีม่วงที่ทะลวงผ่านไปถึงขั้นวิญญาณ

“ฝันไปเถอะ!”

ศิษย์พี่จิวมองเจตนาของจ้าวเฟิงออก จึงโกรธเกรี้ยวอย่างมาก ทั่วทั้งร่างกายมีเปลวเพลิงสีดำล้อมรอบร่าง ละม้ายคล้ายกับมังกรตรงดิ่งมาหาจ้าวเฟิง

สีหน้าจ้าวเฟิงสุขุมเยือกเย็น จดจ่อกับการทำลายตราประทับจิตวิญญาณบนร่างกายของโครงกระดูกทอง

ภายในมิติดวงตาซ้าย

อาณาเขตของทะเลสาบดวงตาขยายออกถึงแปดสิบเก้าสิบจั้ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ จ้าวเฟิงฝึกฝน ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ฝึกฝนห้วงความคิดและดวงวิญญาณ รวมถึงดูดซึมกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลจำนวนมาก

วิญญาณของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นรองเพียงแต่ครึ่งก้าวสู่ราชัน

ระดับของความแข็งแกร่งนั้นอาจจะเหนือระดับขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันธรรมดาทั่วไป นี่ล้วนเป็นเพราะกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลและ ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’

ด้วยเหตุนี้

ในด้านของชั้นดวงวิญญาณ จ้าวเฟิงเก่งกล้ากว่าผู้ใด

ยิ่งไปกว่านั้น ดวงตาเทพเจ้ายังปลดปล่อยพลังเพลิงเนตรล้างผลาญซึ่งมีผลในการควบคุมหุ่นเชิดศพ

“เพี๊ยะ โครม!”

การโจมตีที่รุนแรงของศิษย์พี่จิว จู่โจมจ้าวเฟิงอีกครั้งด้วยควันเพลิง

พื้นผิวร่างกายที่เป็นเกล็ดม่วงของจ้าวเฟิงยุบเป็นหลุมไปเล็กน้อย แล้วฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

จะต้องรู้ว่า

สิ่งที่จ้าวเฟิงมีไม่ใช่เพียงสายเลือดป้องกันประเภทหนึ่ง เดิมทีร่างกายของเขายังมีสายเลือดวารีซึ่งมีพลังในการป้องกันรักษาที่โดดเด่น

และถึงแม้ว่าการโจมตีของศิษย์พี่จิวจะรุนแรงขึ้นอีกเท่าหนึ่ง อาจสร้างบาดแผลเล็กน้อยให้แก่จ้าวเฟิงได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งนั้นก็ไม่เป็นผลอะไรทั้งสิ้น

“สองส่วน… สามส่วน …สี่ส่วน…”

เนตรเทพเจ้าของจ้าวเฟิงใช้ความเร็วสูงสุดในการทำลายตราประทับวิญญาณบนร่างโครงกระดูกทองของศิษย์พี่จิว

ในเวลาเดียวกัน

เขาก็แบ่งห้วงความคิดเรียก ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ ออกมา แล้วควบคุมโครงกระดูกสีทองไว้เป็นข้ารับใช้

“เจ้าโครงกระดูกในขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ ในภายภาคหน้าค่ายกลร้อยศพต้องสาปก็จะมีผู้นำแล้ว”

 

เจ้าหอโครงกระดูกที่อยู่ภายในประคำหมื่นวิญญาณตื่นเต้นอย่างยิ่ง เมื่อรับรู้เรื่องราวของโลกภายนอกผ่านเมล็ดดวงใจทมิฬ

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

ศิษย์พี่จิวกระโจนเข้ามาราวกับสายฟ้า เรียกอาวุธวิเศษออกมา ก่อนจะเข้าโจมตีจ้าวเฟิงอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม

แต่ทว่า

เขาค้นพบว่าการโจมตีของตนค่อยๆ อ่อนกำลังลง ด้วยค่ายกลร้อยศพต้องสาปกำลังดูดกลืนวิญญาณของเขาไม่หยุดหย่อน

“อ๊าก !”

นักกระบี่ผู้นั้นกลายเป็นกองเลือดภายใต้พลังของค่ายกลหุ่นเชิดศพ สิ้นชีพไปขณะร้องโหยหวนเสียงดัง

ศิษย์พี่จิวรับรู้ได้แต่เพียงความรู้สึกเย็นที่ลุกลามไปทั่วร่างกายและจิตใจ

ความรู้สึกที่อันตรายรุนแรงนี้ทำให้เขาหน้าซีดเผือด อีกทั้งสภาวะของพลังรบก็ถูกทำให้ถดถอยลงไปหกถึงเจ็ดส่วน ถึงแม้ว่าเขาจะเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาศาสตร์วิญญาณ และพลังในการต้านทานแข็งแกร่งก็ตาม

“หากว่ายังไม่หนี ก็คงจะไม่มีหวังแล้ว”

ศิษย์พี่จิวร่างกายเริ่มชาวาบ บุรุษหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินใกล้ๆ กันประหนึ่งเป็นอสูรเกล็ดมังกร

ระดับยอดผู้สูงศักดิ์ของเขาไม่สามารถทำร้ายฝ่ายตรงข้ามได้แม้แต่นิดเดียว

“หกส่วน… เจ็ดส่วน… แปดส่วน…”

จ้าวเฟิงยิ่งลงมือยิ่งรวดเร็วขึ้น

หนี!

ศิษย์พี่จิวตกใจจนสติกระเจิง ทันทีที่จ้าวเฟิงชูมือขึ้น ไม่อาจรับประกันได้เลยว่าเขาจะไม่เป็นผงธุลีตามบุรุษนักกระบี่คนนั้นไป

พลังของศิษย์ผู้สืบทอดคนใหม่แห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินผู้นี้ อาจอยู่ในระดับอัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบแล้ว

ฟู่~

ในค่ายกลร้อยศพต้องสาป หมอกควันปีศาจที่หนาแน่นปกคลุมและบีบคั้นร่างกายของศิษย์พี่จิว

“แปดส่วน… เก้าส่วน… สิบส่วน… !”

เพลิงเนตรล้างผลาญของจ้าวเฟิงลบล้างตราประทับจากเจ้านายคนก่อนของโครงกระดูทองได้สำเร็จ และผนึกตราดวงใจทมิฬลงไปทันที

สวบ!

ศิษย์พี่จิวกระตุ้นเคล็ดวิชา กลุ่มเพลิงทั่วร่างกายของเขากลายเป็นเงาสังหารน่าเกลียดน่ากลัว พยายามฝืนหลบหนีออกจากกลุ่มควันของค่ายกลร้อยศพต้องสาป

แต่ในวินาทีถัดมา

เขากลับต้องเผชิญหน้ากับการจู่โจมของจระเข้ยักษ์โบราณกว่าสิบตัว แล้วยังมีการโฉบโจมตีจากอสูรมัจฉาอีกด้วย

ตุบ ตุบ! วูบ วูบ!

ศิษย์พี่จิวตกเข้าไปภายในวงล้อม สูญเสียไอสวรรค์อย่างรวดเร็วขณะฝ่าทะลวงออกไป

“เหอะเหอะ สำเร็จ” จ้าวเฟิงควบคุมโครงกระดูกทองได้สำเร็จผ่านการใช้ตราผนึกดวงใจทมิฬ

ตราผนึกดวงใจทมิฬของเขาไม่เพียงแต่มีผลต่อสัตว์อสูร แต่ยังมีผลลัพธ์แบบเดียวกันกับหุ่นเชิดศพต่างๆ กระทั่งมีความชี้เฉพาะมากกว่าด้วยซ้ำ

วูบ ฟุ่บ! โครงกระดูกสีทองพุ่งทะยานออกมาจากค่ายกลหุ่นเชิดศพหมายสังหารศิษย์พี่จิวจากด้านหลัง

“โธ่เว้ย…” ศิษย์พี่จิวกัดฟันกรอด จ้องมองตาถมึงทึง

หุ่นเชิดศพขั้นยอดผู้ศักดิ์ร่างนี้เขาทุ่มเทฝึกฝนมานานสิบกว่าปี แต่ถูกอีกฝ่ายช่วงชิงไปในเวลาเพียงชั่วพริบตา ความอัปยศอดสูเช่นนี้จะเหลือเป็นเงาแม้แต่ภายในจิตใจก็ตาม

ในวินาทีเดียวกัน

“อ๊าก! อ๊าก…”

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดอีกสี่คนที่โดนโจมตีจากเหล่าจระเข้ยักษ์และสัตว์อสูรมัจฉาค่อยๆ ตายไปทีละคน ร่างไร้ลมหายใจถูกลากเข้าไปในค่ายกลหุ่นเชิดศพ

ฉากนี้ทำให้ศิษย์พี่จิวสั่นสะท้าน

ที่แท้แล้ว

ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ จ้าวเฟิงต่อสู้พร้อมกันทุกทิศทาง อย่างน้อยๆ ก็ลงมือถึงสามด้าน

ด้านแรก เขาควบคุมจระเข้ยักษ์โบราณและสัตว์อสูรมัจฉาให้ล้อมจับศิษย์ผู้สืบทอดอีกสี่คน

ด้านที่สอง ควบคุมค่ายกลหุ่นเชิดศพให้จัดการบุรุษนักกระบี่

ด้านที่สาม ทำลายตราประทับของโครงกระดูกทอง

แน่นอนว่าในทั้งหมดนี้ ด้านที่สามคือสิ่งที่สำคัญที่สุด และใช้พลังของจ้าวเฟิงไปมากทีเดียว

ในตอนนี้

จ้าวเฟิงควบคุมโครงกระดูกทองให้ตามฆ่าศิษย์พี่จิว

บริเวณริมทะเลสาบ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดจำนวนหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง

“เป็นการควบคุมสัตว์อสูรระดับปรมาจารย์ พลังแฝงของเขาเทียบเท่าได้กับอัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบแล้ว…” นัยน์ตาของสตรีนักฝึกสัตว์นางนั้นเต็มไปด้วยความอึ้งและตื่นตะลึง

เหล่าอัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจ้องมองศิษย์พี่จิวที่ต้องสูญเสียเป็นสองเท่า ซ้ำยังกำลังจะโดนสังหารอย่างโหดเหี้ยม

ละแวกทะเลสาบที่ปกคลุมไปด้วยหมอก บริเวณเนินเขาที่ซ่อนเร้นอยู่

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามสี่คนรวมตัวอยู่ด้วยกัน ถ้าหากจ้าวเฟิงอยู่ด้วยย่อมต้องจดจำได้แน่นอน ลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายคนนี้ ล้วนมาจากสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน

ผู้ที่เป็นแกนนำคือเฉินอี้หลินผู้เป็นหนึ่งในสิบอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์

“ศิษย์พี่เฉิน ที่แท้จ้าวเฟิงผู้นั้นก็มีพลังเช่นนี้ สามารถจัดการจิวหมัวจื้อและคนอื่นๆ ได้ในทีเดียว” เจียงฟานเอ่ยอย่างแทบไม่เชื่อสายตา

ต้องรู้ว่า จิวหมัวจื้อผู้นั้นฝึกตนจนถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงกลาง มีโครงกระดูกสีทองที่มีพลังในระดับยอดผู้สูงศักดิ์ พลังรบโดยรวมบรรลุถึงมาตรฐานของอัจฉริยะทั้งสิบ

นอกจากนี้ นักกระบี่หนุ่มก็มาจากสำนักวิชากระบี่ที่มีชื่อเสียงมากของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่

จ้าวเฟิงโจมตีคนกลุ่มนี้เพียงลำพัง จนเกือบจะสังหารจนหมดสิ้น

“พวกเราประเมินจ้าวเฟิงต่ำเกินไป”

สีหน้าเฉินอี้หลินเคร่งขรึม กลุ่มของพวกเขาที่ซุ่มอยู่ตรงนี้ เดิมทีเพียงแค่อยากจะดูปาหี่ของจ้าวเฟิง

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเราก็ไม่มีหนทางจะให้ความช่วยเหลือ แต่มีสิทธิ์ลงไปเจรจากับจ้าวเฟิงด้วยตนเอง”

อัจฉริยะอีกคนซึ่งอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงต้นเอ่ยเสียงต่ำ

พลังที่จ้าวเฟิงควบคุมกองทัพเผ่าพันธุ์วารี เฉินอี้หลินและคนของเขาล้วนแต่ประจักษ์แจ้งแก่สายตา

เดิมทีพวกเขาวางแผนว่าจะรอจ้าวเฟิงให้พลาดพลั้ง เมื่อฝ่ายนั้นพบเหตุการณ์วิกฤตค่อยยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แล้วจึงจะได้สิทธิ์ในการเป็นผู้นำอย่างเต็มที่

หากอยากจะยึดครองทะเลสาบจื่อเยียน แล้วเก็บเกี่ยวสมบัติล้ำค่าจำนวนมาก กองทัพเผ่าวารีของจ้าวเฟิงจะเป็นประโยชน์อย่างที่สุด

ในเวลานี้เอง

“อ๊าก!”

ศิษย์พี่จิวที่กำลังพยายามจะหลบหนีก็ถูกโครงกระดูกทองตัดแขนข้างหนึ่งขาดไป

หลักๆ คือเขาถูกกรัดกร่อนจากค่ายกลหุ่นเชิดศพ จนพละกำลังลดลงห้าถึงหกส่วน ทั้งยังเจอการเข้าขัดขวางจากเหล่าสัตว์อสูรวารีและจระเข้ยักษ์โบราณ

ในท้ายที่สุด ศิษย์พี่จิวหนีออกมาได้โดยแลกกับการเสียแขนไปข้างหนึ่ง

“จ้าวเฟิงผู้นี้โหดร้ายเหลือเกิน ฆ่าศิษย์ผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปหลายคน ”

“เขามาจากสำนักระดับสามดาว แล้วยังฆ่าคนเพื่อป้องกันตัว สำนักสองดาวเหล่านั้นก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ”

บริเวณริมทะเลสาบ อัจฉริยะบางส่วนหวาดกลัวจ้าวเฟิงเป็นอย่างมาก

จ้าวเฟิงไม่เพียงแต่จะมีพลังแข็งแกร่ง ฆ่าได้อย่างเด็ดขาดไม่ลังเล ทว่ายังมีสำนักสามดาวอย่าง ‘สำนักเสวียนเจิน’ หนุนหลังอีก

หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้

ถึงแม้ว่าจ้าวเฟิงจะสูญเสียกองทัพเผ่าพันธุ์วารีไปบางส่วน แต่ก็ได้รับประโยชน์กลับมาไม่น้อย

ค่ายกลหุ่นเชิดศพของเขาดูดซึมเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของผู้สูงศักดิ์หลายคน หรือแม้กระทั่งยอดผู้สูงศักดิ์

อีกทั้งการได้โครงกระดูกทองในระดับยอดผู้สูงศักดิ์มาเป็นทาสรับใช้ แล้วจัดแจงให้มันไปอยู่กับค่ายกลหุ่นเชิดศพ เรียกได้ว่าเหมือนกับเสือติดปีกเลยทีเดียว

หลังพักผ่อนเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม

กองทัพเผ่าพันธุ์วารีที่จ้าวเฟิงควบคุมเริ่มมีการเติมกำลังทหาร

มาจนตอนนี้ กองกำลังของเขาไม่ได้มีเพียงจระเข้ยักษ์โบราณและอสูรมัจฉา แต่ยังรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตในเผ่าพันธุ์วารีอย่างอื่นด้วย ตัวอย่างเช่น งูปีศาจวารี หมึกยักษ์วารี

กองทัพเผ่าวารีหลากหลายเผ่าพันธุ์นี้มีทั้งโจมตี ป้องกัน สอดแนม กองหนุน ลอบฆ่า สิ่งที่ควรมีล้วนมีครบทั้งสิ้น

ครึ่งวันต่อมา

กองทัพเผ่าพันธุ์วารีของจ้าวเฟิงมีกำลังทหารราวเจ็ดแปดร้อย หกส่วนในนั้นเป็นอสูรมัจฉา จำนวนของจระเข้ยักษ์ก็มีมากถึงยี่สิบสามสิบตัว

พละกำลังของกองทหารที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ทำให้อัจฉริยะที่อยู่ริมทะเลสาบตื่นตกใจ

“น่ากลัวเกินไปแล้ว!”

“เกรงว่าจ้าวเฟิงผู้นี้คงอยากจะยึดครองผลประโยชน์และทรัพยากรทั้งหมดใน ‘ทะเลสาบจื่อเยียน’ เพียงคนเดียว”

บริเวณทะเลสาบจื่อเยียน

อัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากหลบเลี่ยงจ้าวเฟิงกันสุดความสามารถ

ด้วยจุดจบของศิษย์พี่จิวและคนของเขา ทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาจนสิ้น

ภายใต้การควบคุมของจ้าวเฟิง ทัพเผ่าพันธุ์วารีที่ยิ่งใหญ่จัดแจงขุดหาสมบัติทรัพยากรล้ำค่าต่างๆ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน

คุณสมบัติของจ้าวเฟิงนับวันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เพียงแค่ผลสำเร็จครึ่งหนึ่งของช่วงนี้เท่านั้น ก็ทำให้ฐานะของเขาล้ำหน้าครึ่งก้าวสู่ราชันบางส่วนไปแล้ว

เวลาเดียวกันนั้นเอง

จำนวนของหญ้าเกล็ดม่วงก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“แปดสิบเอ็ดต้น…แปดสิบสามต้น…” จ้าวเฟิงกำลังคำนวณอย่างคร่าวๆ

จนถึงตอนนี้ เขากินหญ้าเกล็ดม่วงไปแล้วกว่าสามสิบสี่สิบต้น รู้สึกว่าประสิทธิผลเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ

แต่ว่านี่ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว

ไม่ว่าพลังภายนอกใดๆ ต่างก็มีขีดจำกัดในการพัฒนา แม้แต่กลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลก็ยังไม่เว้น

ซ่า! ซ่า! ซ่า!

บนผืนน้ำมีเสียงคลื่นน้ำดังเข้ามา

เฉินอี้หลินและลูกศิษย์ผู้สืบทอดอีกสี่ห้าคนเขยิบเข้าใกล้จ้าวเฟิง

“ศิษย์น้องจ้าว” เฉินอี้หลินเปิดปากเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

จ้าวเฟิงบัญชากองทัพเผ่าพันธุ์วารีให้แหวกทางออก เพื่อให้เฉินอี้หลินและคนอื่นๆ เข้าใกล้ได้

สำหรับศิษย์สำนักเดียวกัน เขาไม่ค่อยระมัดระวังเท่าไหร่นัก

ก่อนที่จะเข้ามาในอุทยานครึ่งเซียน ผู้คุมกฎอาวุโสก็ได้ออกคำสั่งอย่างเข้มงวดว่าห้ามศิษย์สำนักนี้ฆ่ากันเอง

“ศิษย์พี่เฉิน มีอะไรให้ข้าช่วยงั้นเรอะ?”

จ้าวเฟิงยิ้มสบายใจ สายตาเหลือบมองทั้งเฉินอี้หลินและเจียงฟาน

สีหน้าของเจียงฟานอึดอัดเล็กน้อย เหมือนเสียงหายไปในลำคอ

ชีวิตคนช่างประหลาดยิ่งนัก

ในตอนแรกที่คนทั้งสามพบกันที่ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า เกรงว่าคงคิดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ วันที่มีโอกาสได้แข่งขันและร่วมมือกัน ณ อุทยานครึ่งเซียน

“ศิษย์น้องจ้าว”

เฉินอี้หลินกล่าวอย่างไม่ยโสหรือถ่อมตนเกินไป “ทัพเผ่าวารีของเจ้าแข็งแกร่งมาก แต่ถ้าหากพึ่งพิงพลังของคนคนเดียวเพื่อจะช่วงชิงสมบัติแท้จริงที่ก้นทะเลสาบจื่อเยียนย่อมไม่เพียงพอ ต้องรู้นะว่าส่วนลึกของทะเลสาบมีเผ่าพันธุ์เงือกในตำนาน และยังมีสิ่งมีชีวิตระดับราชันอยู่ด้วย…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!