Skip to content

King of Gods 656

King Of Gods

บทที่ 656 เลือดครึ่งเซียน

ในเวลานี้ ความสามารถของจ้าวเฟิงได้รับความซาบซึ้งใจและเคารพนับถือจากคนทั้งหมด

ถ้าหากไม่มีจ้าวเฟิง การเดินทางไปทะเลสาบจื่อเยียนในครั้งนี้คงจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไม่ได้มากมายเช่นนี้

“ออกเดินทางกันเถอะ” จ้าวเฟิงให้องค์หญิงเงือกนำทางอยู่ด้านหน้าดังเดิม

เมื่อกลับมาถึงตำหนักเทพเผ่าเงือกชั้นหนึ่ง จ้าวเฟิงตรวจตราพลังของตนเองอย่างละเอียดครู่หนึ่ง การฝึกตนของเขาได้มาถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอด และเข้าใกล้ขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ขึ้นทุกที

หนึ่งในปัจจัยหลักเป็นเพราะได้น้ำอมฤต รวมไปถึงสำนึกรู้ราชา

พลังฝึกตนของเจียงฟานก็เพิ่มขึ้น เข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอด

“เจ้ามนุษย์!” พลังยิ่งใหญ่ของราชันเกาะกลุ่มอยู่บริเวณปากทางเข้าของตำหนักเทพเผ่าเงือก

พลังและความคิดของคนทั้งหมดเหมือนโดนกักขังไว้ หายใจยากลำบาก มีเพียงจ้าวเฟิงและเฉินอี้หลินที่พอจะสามารถต้านทานพลังกลุ่มก้อนนี้ เจียงฟานเองก็ยังไม่อาจแบกรับได้

“ราชาเงือก บุตรีของท่านข้าไม่เอาไปด้วยก็ได้ แต่ว่าก่อนจะออกจากอาณาจักรเงือก ท่านต้องรับรองความปลอดภัยของพวกข้า” จ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ยช้าๆ

เมื่อเอ่ยจบ เขาสั่งให้องค์หญิงเงือกอยู่ในละแวกของตำหนักเทพ

“นายท่าน…” นัยน์ตาคู่งามขององค์หญิงเงือกมีแววอาลัยอาวรณ์ นี่ไม่ใช่เพียงผลลัพธ์ของตราผนึกดวงใจทมิฬ แต่ว่ายังมีความรักใคร่บูชาอยู่ด้วย

อิสตรีเคารพบูชายอดฝีมือเสมอ

องค์หญิงเงือกเองก็มีนิสัยเช่นนี้ แถมเป็นหนักเสียด้วย

“ข้าขอร้องท่านพ่อ ให้ข้าตามนายท่านไปด้วยกันเถิด” องค์หญิงเงือกมีทีท่าอ้อนวอน

ในอาณาจักรเงือก ไม่เคยมีชายใดทำให้นางเสน่หาได้เช่นนี้

“เจ้า…”

ราชาเงือกล่องลอยอยู่ด้านบนตำหนักเทพโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก มีท่าทีผิดหวัง

เขาจ้องไปที่จ้าวเฟิงด้วยแววตาโกรธแค้น อารมณ์สับสนปนเป เห็นได้ชัดว่าอับจนหนทาง

มนุษย์ผู้นี้ได้องค์หญิงเงือกเป็นทาสอย่างสมบูรณ์

ในยามนี้ ต่อให้จ้าวเฟิงคลาย ‘ตราผนึกใจดวงทมิฬ’ ก็ไม่แน่ว่าจะคลายความรู้สึกดังกล่าวขององค์หญิงเงือกได้

“เสียดายที่เขาเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์!”

ราชาเงือกต้องนับถือพรสวรรค์และแผนการต่างๆ ของจ้าวเฟิงด้วยใจจริง

จ้าวเฟิงปราดตามององค์หญิงเผ่าเงือก สั่นศีรษะแล้วเอ่ยต่อว่า

“ข้าไม่อาจเอาเจ้าไปด้วยได้ เมื่อออกจากทะเลสาบจื่อเยียนแล้ว ข้าจะคลายสะกดตราผนึกดวงใจทมิฬให้”

เพราะเหตุใดกัน!

องค์หญิงเผ่าเงือกเอ่ยด้วยท่าทีเศร้าสลด “หากพูดถึงเรื่องโฉมหน้า ข้าเองก็ไม่ด้อยไปกว่าโฉมสะคราญล่มเมืองของมนุษย์อย่างพวกท่าน พรสวรรค์ดวงวิญญาณของข้าก็พอจะสูสีกับท่าน อีกทั้งทันทีที่เผ่าเงือกทะลวงผ่านเป็นราชันแล้วก็จะเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้”

“ข้ามีภรรยาแล้ว”

จ้าวเฟิงกล่าวทิ้งท้าย แล้วจึงนำพวกของเฉินอี้หลินตรงออกไปยังผิวน้ำ

เมื่อองค์หญิงเผ่าเงือกได้ยินดังนั้น อารมณ์ก็พลันสั่นสะท้าน

จ้าวเฟิงมีภรรยาอยู่แล้ว นางเองก็ทำอะไรไม่ได้

“เฟยเอ๋อร์!” ราชาเงือกถอนหายใจยาว วางมือข้างหนึ่งบนบ่าของผู้เป็นบุตรสาว

“ฮึ! รอข้าคลายวิชาต้องห้ามดวงวิญญาณได้ จะจับเจ้าหนุ่มนั่นมาเป็นทาสของเจ้า” ราชาเงือกเค้นเสียงเย็น

เผ่าเงือกมีพรสวรรค์ดวงวิญญาณอยู่แล้วตั้งแต่เกิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในราชวงศ์ ยิ่งไปกว่านั้นราชาเงือกยังเป็นถึงราชันในขอบเขตปราณเทวะอีก

แต่ทว่า

ในขณะที่ห้วงคิดเซียนของเขาเข้าไปภายในวิญญาณของบุตรี หน้าก็เปลี่ยนสี

‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ ที่จ้าวเฟิงใช้ ขนาดเขาผู้เป็นราชันยังไม่สามารถทำอะไรได้ในเวลาอันสั้น

ตราผนึกดวงใจทมิฬนั้นเดิมมาจาก ‘บันทึกหมิงถง’ ของจักรพรรดิแห่งความตาย ราชันธรรมดาอยู่ห่างไกลจนไม่เห็นฝุ่นธุลี

บนผิวน้ำทะเลสาบ

ผลัวะ ผลัวะ! โครม!

กองทัพเผ่าวารีของจ้าวเฟิงมารวมตัวกันตรงเขตชายแดนของอาณาจักรเผ่าเงือกอย่างรวดเร็ว

อสูรวารีมีหนวด งูยักษ์วารี จระเข้ยักษ์โบราณ…อสูรเผ่าวารีที่แข็งแกร่งหลากหลายเผ่าพันธุ์ดาหน้าเข้ามาอย่างอึกทึกครึกโครม

เฉินอี้หลินและพวกยืนอยู่บนร่างของสัตว์อสูรวารี

ในทุกที่ที่ผ่าน สรรพชีวิตของเผ่าวารีต่างๆ พากันหลีกทางให้

จ้าวเฟิงและเฉินอี้หลินมีพลังของครึ่งก้าวสู่ราชันมากพอที่จะเขย่าขวัญเหล่าอสูรวารี

จ้าวเฟิงยืนเอามือไพล่หลัง มองไปเบื้องหน้า

สิบลี้ไกลออกไป บุรุษหนุ่มหยางกวงที่ยืนอยู่บนสายน้ำแย้มยิ้มน้อยๆ

กองทัพอสูรวารีของจ้าวเฟิงกำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว

“จ้าวเฟิงกันคนกลุ่มนี้ของสำนักเสวียนเจิน ดูแล้วความสามารถคงจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย แล้วยังมีผู้มีสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณอยู่ในนี้ด้วย”

สีหน้าท่าทีของเวินลั่วอันค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น

เดิมเขาคิดว่าพวกของจ้าวเฟิงถึงจะออกจากอาณาจักรเผ่าเงือกได้ แต่ก็น่าจะบาดเจ็บล้มตายไปกว่าครึ่ง ท่าทีคงร่อแร่เต็มที

แต่คาดไม่ถึงเลยว่าความสามารถของคนกลุ่มนี้แข็งแกร่งกว่าที่คาดคิดไว้มากนัก แล้วยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้

ในอากาศยังมีห้วงคิดเซียนของราชาเงือกที่หมุนวนไม่ยอมจากไป

“ถ้าหากต้องการสังหารจ้าวเฟิง ก็ต้องเป็นศัตรูกับกลุ่มคนจำนวนมากทั้งหมดนี้ แล้วยังมีราชันที่เกินจะคาดเดาหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังด้วย” แววตาของเวินลั่วอันทอแสงประกาย

ต่อให้ราชาเผ่าเงือกไม่ลงมือ เขาเองก็ไม่มีความหวังว่าจะสำเร็จมากนัก

“มีความน่าจะเป็นเพียงเจ็ดสิบส่วน ตอนนี้ยังไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุดที่จะสังหารจ้าวเฟิง ทันทีที่เกิดข้อผิดพลาดกับคนพวกนี้ หลังจากที่อุทยานปิดผนึกแล้ว ข้าจะต้องเผชิญหน้ากับไล่ล่าจากคนระดับสูงของสำนักเสวียนเจินอย่างแน่นอน”

บุรุษหนุ่มหยางกวงคิดวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน แล้วจึงถอนหายใจยาว

สวบ!

เกิดเงาสว่างขึ้นวาบหนึ่ง บุรุษหนุ่มหยางกวงแหวกอากาศหายวับเข้าไปในเมฆ

ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างจึงทำให้เขาถอดใจจากการไล่ล่าสังหารจ้าวเฟิงในครั้งนี้

“ เร็วเสียจริง! เวินลั่วอันผู้นี้โบยบินภายในอุทยานครึ่งเซียนได้” จ้าวเฟิงเองก็ตกใจไม่น้อย

ความเร็วที่เวินลั่วอันแสดงออกมา เร็วกว่าจ้าวเฟิงยามที่ไม่ได้ใช้ ‘ปีกวายุอัสนี’ มากนัก

หนำซ้ำคนทั้งหลายในที่นั้น ต่อให้เป็นเฉินอี้หลินก็ไม่สามารถโบยบินภายในอุทยานครึ่งเซียนได้อย่างแท้จริง

“เวินลั่วอันไม่ได้ลงมือ เขาน่าจะกังวลราชาเงือก แล้วไหนจะยังเฉินอี้หลิน เจียงฟาน รวมไปถึงกองทัพเผ่าวารีขนาดใหญ่อีก” จ้าวเฟิงรู้สึกโล่งใจ

ความรู้สึกบอกเขาว่า เวินลั่วอันจะต้องเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างมาก ทำให้เขาเกิดความรู้สึกอันตรายได้

ครึ่งชั่วยามจากนั้น

จ้าวเฟิงและกลุ่มคนเดินทางออกจากทะเลสาบจื่อเยียน

“คลาย!”

ห้วงคิดของจ้าวเฟิงขยับน้อยๆ ก็คลาย ‘ตราผนึกดวงใทมิฬ’ จากองค์หญิงเงือกผ่านทางดวงตาเทพเจ้า

และในเวลาเดียวกัน

เบื้องหน้าของตำหนักเทพเผ่าเงือก

องค์หญิงเงือกส่งเสียงขัดใจออกมา จ้องมองยังทิศทางที่จ้าวเฟิงจากไปด้วยท่าทีอาลัยอาวรณ์

“เจ้ามนุษย์ผู้นั้นนับว่ารักษาสัญญาอยู่เหมือนกัน”

ราชาเผ่าเงือกถอนหายใจยาว เขาไม่ได้ไล่ล่าสังหารจ้าวเฟิง แต่ไปตรวจสอบอาการของบุตรสาว

อีกทั้งเผ่าเงือกคุ้นชินบริเวณน้ำของทะเลสาบจื่เยียน แต่ไม่คุ้นเคยกับบริเวณอื่นๆ ของอุทยานครึ่งเซียน มิฉะนั้นจะถูกพลังจากอุทยานครึ่งเซียนกดข่มไว้

ชายฝั่งของทะเลสาบจื่อเยียน

“ศิษย์น้องจ้าวต่อไปเราจะไปไหน?” ศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างเชื่อมั่น

ตลอดทางที่ผ่านมา ฝีมือของจ้าวเฟิงทำให้คนเกิดความเลื่อมใส เชื่อมั่นว่าการติดตามจ้าวเฟิงจะต้องได้ผลประโยชน์ที่ไม่เลว

“ตำหนักหย่างซิน” จ้าวเฟิงเอ่ยบอก

ตำหนักหย่างซิน?

เฉินอี้หลินและพวกมีท่าทีประหลาดใจอยู่บางส่วน

เดิมพวกเขาคิดว่าจ้าวเฟิงจะไปที่สวนร้อยบุปผาหรือไม่ก็หอหมื่นทรัพย์

ก็ในเมื่อพลังในตอนนี้ของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งมาก แล้วยังควบคุมสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งประเภทต่างๆ ได้

การไปที่ตำหนักหย่างซิน สำหรับจ้าวเฟิงแล้วไม่น่าจะได้เปรียบอะไรมากนัก

“ทุกท่านสามารถเดินทางไปกับข้า หรือว่าจะเลือกแยกกันก็ได้ ผลประโยชน์หลังจากนี้ก็พึ่งความสามารถของแต่ละคนแล้วกัน” จ้าวเฟิงมองไปที่ฝูงชน

ผลประโยชน์ที่เขาเก็บเกี่ยวได้ในอุทยานครึ่งเซียนมากเพียงพอแล้ว

ต่อจากนั้น สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาที่สุดก็คือ ‘เลือดครึ่งเซียน’

เฉินอี้หลินและคนอื่นๆ คิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง

หลังจากนั้น ต่อให้พวกเขาติดตามจ้าวเฟิงไป ผลประโยชน์ที่จะเก็บเกี่ยวได้ก็ต้องพึ่งพาความสามารถของตนเอง แถมในตำหนักหย่างซิน โอกาสที่จะเก็บเกี่ยวอะไรได้ก็น้อยนิดยิ่งนัก

ที่สุดแล้ว

หลังจากที่พินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน พวกเขาจึงตัดสินใจไปที่ ‘หอหมื่นทรัพย์’ เพื่อแย่งชิงเอาทรัพย์สมบัติล้ำค่า

ในหอหมื่นทรัพย์มีสมบัติมากมายซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของคนได้ ผลลัพธ์ไม่ด้อยไปกว่า ‘สุราเซียนมายา’ เลย

“ขอให้ทุกท่านโชคดี”

จ้าวเฟิงไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด เอ่ยปากบอกลาพวกของเฉินอี้หลิน

ตั้งแต่เข้ามาภายในอุทยานครึ่งเซียน เขาก็มีความคิดที่จะ ‘เดินทางเพียงลำพัง’ อยู่แล้ว

ตุบ วูบ!

ร่างของจ้าวเฟิงโบยบินไปยังทิศทางของ ‘ตำหนักหย่างซิน’

ในอุยานครึ่งเซียน ระดับมิติสูงส่ง แรงกดดันรุนแรงอย่างยิ่ง ความเร็วจึงยังโดนควบคุมอย่างมาก

ครึ่งวันจากนั้น จ้าวเฟิงก็ค่อยๆ เข้าใกล้ ‘ตำหนักหย่างซิน’

ในระหว่างทาง เขาพบกับอัจฉริยะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่ง มีบางคนโหดร้ายอย่างเห็นได้ชัด

จ้าวเฟิงนั่งอยู่บนม้าเพลิงสองหัว เบื้องหลังก็มี ‘มนุษย์แมลงปอ’ ที่ร่างกายบอบบางสองตัวบินมากลางอากาศ

ม้าเพลิงสองหัวกับมนุษย์แปลงปอเป็นทาสตัวใหม่ที่จ้าวเฟิงได้มาจากบนบก

พลังของคนทั้งสามล้วนแต่เข้าใกล้ครึ่งก้าวสู่ราชัน อีกทั้งขนาดไม่ใหญ่นัก คล่องแคล่วปราดเปรียว ไม่เป็นที่สังเกตของคนอื่น

ในระหว่างทาง อัจฉริยะจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ มองเห็นทาสที่เป็นพาหนะของจ้าวเฟิงและมนุษย์แมลงปอ ก็หวาดกลัวอย่างยิ่ง รีบหนีห่างออกไปไกล

“ตำหนักหย่างซิน!”

ในขณะที่จ้าวเฟิงมาถึงจุดหมาย ก็ค้นพบว่ามีอัจฉริยะจำนวนไม่น้อยรวมตัวกันอยู่

ตุ้บ!

อัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งใบหน้าซีดเผือด กลิ้งออกมาจากด้านในของตำหนักหย่างซิน

“อานุภาพที่แฝงอยู่ในเลือดครึ่งเซียนนั่นน่ากลัวเสียจริง”

“จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครเข้าใกล้เลือดเซียนได้เกินสิบจั้งเลย”

ทั้งในและนอกตำหนักหย่างซิน มีอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่งยืนถกกันไปมา

ทันใดนั้นเอง

ฝูงคนก็เงียบลง เมื่อกลิ่นอายน่าสะพรึงขวัญที่แข็งแกร่งของสัตว์อสูรหายากพุ่งปะทะเข้ามา

“คนผู้นั้นคือใครกัน สามารถควบคุม ‘มนุษย์แมลงปอ’ ที่หายากได้ด้วย!”

 

“ความเร็วของมนุษย์แมลงปอปราดเปรียว ว่องไว โจมตีรุนแรงยากจะต้านรับ อีกทั้งมีธาตุอยู่สองอย่าง คือลมและพิษ” อัจฉริยะที่อยู่ด้านในตำหนักหย่างซินทั้งตกใจและวิตกกังวล

“ที่แท้ก็เป็นเขา”

คนส่วนหนึ่งในฝูงชน มีทั้งที่รู้จักจ้าวเฟิง หรือกระทั่งเป็นศิษย์ของสำนักเสวียนเจิน คนทั้งหมดแหวกออกเป็นทางอย่างเงียบๆ

จ้าวเฟิงทำเหมือนคุ้นเคยในสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี ทะยานดิ่งเข้าไปยังมุมที่มีสระน้ำภายในตำหนักหย่างซิน

เวลาไม่นานนัก

จ้าวเฟิงก็มาถึงสระน้ำซึ่งเป็นที่ตั้งของ ‘เลือดครึ่งเซียน’

บริเวณรอบๆ ของสระน้ำมีอัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งยืนอยู่ อัจฉริยะที่มีพลังสูงส่งพวกนี้ฝืนต้านทานแรงกดดันจาก ‘เลือดครึ่งเซียน’ พยายามจะเข้าไปใกล้

“เลือดครึ่งเซียน!”

แววตาของจ้าวเฟิงจับจ้องไปในสระน้ำ หยดเลือดสีทองเจิดจ้านั้นมีขนาดประมาณหัวแม่โป้ง

ไม่ผิดจากที่คิด

ทันทีที่เข้าใกล้บ่อน้ำ เลือดเนื้อของจ้าวเฟิงก็ต้องแบกรับพลังกดดันที่รุนแรงจนเกินจะคาดคิด

พลังกดดันนี้สูงส่งกว่าราชันในขอบเขตปราณเทวะมากนัก พลังที่ไร้รูปร่างสามารถทำลายหมื่นล้านสรรพสิ่งให้แหลกเป็นจุณได้

 

“เลือดเพียงหยดเดียวกลับมีพลังถึงเช่นนี้ ถ้าหากครอบครองได้ น่าจะส่งผลดีแบบก้าวกระโดดต่อพื้นฐานสายเลือด หรือกระทั่งพลังฝึกตนของข้าอย่างแน่นอน” จ้าวเฟิงลอบตกใจ

เกรงว่าต่อให้เป็นราชันหรือจักรพรรดิก็ไม่อาจต้านทานความเย้ายวนใจของสายเลือดครึ่งเซียนนี้ได้

“ต้องทำอย่างไรจึงจะเก็บเอาเลือดครึ่งเซียนนี้มาได้?” จ้าวเฟิงเริ่มครุ่นคิด

อันดับแรก ใช้วิชาเคลื่อนย้ายมิติ น่าจะไม่สามารถเป็นไปได้

ด้วยเลือดครึ่งเซียนนี้ ไม่ใช่เพียงแค่พลังของตัวมันเองที่น่ากลัว แต่พลังครึ่งเซียนที่หมุนวนอยู่ภายในนั้นยังมีสายสัมพันธ์แปลกประหลาดบางอย่าง

เลือดครึ่งเซียนมีพลังครึ่งเซียนและมีสติปัญญา จึงต่อต้านพลังจากภายนอกอยู่ไม่น้อย

จ้าวเฟิงเชื่ออย่างยิ่งว่า การจะเก็บเกี่ยวของสิ่งนี้ย่อมยากกว่าสุราเซียนมายาสิบเท่าร้อยเท่า

ในขณะที่เข้าใกล้ประมาณสิบจั้ง ทุกก้าวของจ้าวเฟิงยากลำบากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อต้องแบกรับแรงกดของเลือดครึ่งเซียน

ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เกิดเจตนาต่อต้านของ ‘พลังเซียน’ ในเลือดครึ่งเซียนมากขึ้นเท่านั้น

ทันใดนั้นเอง

ในละแวกของสระน้ำมีเสียงร้องโหยหวนของอัจฉริยะผู้หนึ่งดังขึ้น

“อ๊าก!”

ชายหนุ่มผู้อยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอด สายเลือดสูงส่ง หลังจากที่เข้าใกล้ระยะสิบจั้งก็ถูกแรงกดดันจากสายเลือดครึ่งเซียนทำให้ร่างกายระเบิดแหลกสลายไป

ผัวะ!

เลือดและเนื้อแตกกระสานซ่านเซ็น ระลอกกลิ่นอายที่แข็งกล้าทำให้อัจฉริยะในบริเวณใกล้เคียงใจสั่นระรัว ใบหน้าซีดเผือด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!