บทที่ 682 แผนการของสำนักหมื่นอัสนี
ในขณะที่เอาส่วนศีรษะอำนาจเทวะออกมานั้น เด็กน้อยครึ่งเซียนและเจ้าแมวขโมยตัวน้อยต่างพากันตื่นตระหนก
“มรดกวายุอัสนีของจ้าวเฟิงไม่ธรรมดาเลย ถ้าหากหลอมรวมเข้ากับ ‘พลังอัสนีเทวะ’ อีกล่ะก็ เกรงว่าจะทำให้อานุภาพเพิ่มขึ้นไปอีกระดับขั้นหนึ่ง” เด็กน้อยครึ่งเซียนนึกกังวล
ด้วยพลังของเขาฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว การฝึกตนเข้าใกล้ขอบเขตก่อกำเนิดระดับสูงช่วงกลางไปทุกที
แต่ว่าการเพิ่มขึ้นของพลังจ้าวเฟิงก็ยิ่งทำให้เขาหวาดกลัว หนทางการฝึกตนยิ่งใกล้ระดับสูงขึ้น จะพัฒนาไปแต่ละครั้งล้วนแต่ไม่ง่ายเลย
การฟื้นฟูพลังของเด็กน้อยครึ่งเซียน ก่อนหน้าระดับราชันเขาฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว
ทว่ารอเขาฟื้นฟูถึงระดับขั้นราชันเมื่อไหร่ ความเร็วก็จะค่อยๆ ช้าไปเอง
เลือดบริสุทธิ์ของครึ่งเซียนถึงจะมีพลังซ่อนไว้เยอะ แต่ก็มีในจำนวนที่จำกัด
ในเวลาเดียวกัน
ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ ราชันที่ฝึกศาสตร์อัสนีบางส่วนก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘สำนักหมื่นอัสนี’
วิ้ง!
ณ สำนักหมื่นอัสนี ดาบอัสนีสีแดงหม่นที่เสียบผ่านหมู่เมฆเล่มหนึ่งสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น โซ่เส้นหนาขนาดกว้างเท่าถังน้ำที่มัดมันไว้ทั้งสี่ด้านเกิดเสียงโครมคราม จากนั้นจึงมีแสงสีเขียวสว่างหมุนวนไปมา
ดาบอัสนีสีแดงหม่นด้ามนี้ถูกล้อมผนึกด้วยค่ายกลป้ายสุสานจำนวนมากจากทั่วทุกทิศทาง
เวลาดังกล่าว ดาบอัสนีสีแดงหม่นกลับสั่นสะท้านอย่างผิดปกติ เหมือนว่าดีใจแต่ก็หวาดกลัวด้วย
วูบ! วูบ!
ร่างเงาสองร่างปรากฏขึ้นด้านข้างดาบอัสนีในทันที
ในแสงสว่างที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่เห็นจักรพรรดิสองท่านอยู่รางๆ คนหนึ่งคือผู้เฒ่าหน้าดำและอีกคนหญิงสาวงามเฉิดฉาย
“กลิ่นอายของพลังอัสนีเทวะปรากฏขึ้นอีกแล้ว แถมยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าสองครั้งที่แล้ว…”
สามารถทำให้ ‘ดาบอัสนีแดนภูผา’ ดีใจไม่หยุด
เห็นจะมีก็เพียงแต่พลังอัสนีเทวะเท่านั้น ดาบที่มีความเป็นมาอย่างยาวนานเล่มนี้เคยผ่านพลังอัสนีเทวะมาเช่นกัน ต่อมาผู้ถูกเลือกของทวีปผู้หนึ่งลึกซึ้งในพลังอัสนีเทวะ ผลก็คือฝึกตนจนกลายเป็นเซียนอัสนีอาวุโสที่อยู่เหนือใคร ได้รับตำแหน่งเซียนไป
สองจักรพรรดิพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน
แต่ว่าสายตาของพวกเขากลับมองไปทางยอดเขาวิญญาณหลักอันเป็นที่ตั้งของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน
พลังอัสนีเทวะเย้ายวนใจอย่างยิ่งสำหรับสำนักหมื่นอัสนีที่มุ่งศึกษาเฉพาะวิชาอัสนี
ในเมื่อประวัติศาสตร์ของศาสตร์อัสนีมีผู้ถูกเลือกในตำนานผู้นั้น ที่จะอาศัยพลังอัสนีเทวะค่อยๆ ก้าวขึ้นไปบนจุดสูงสุดของโลก
“หากว่าเดาไม่ผิด พลังอัสนีเทวะนี้น่าจะมาจากส่วนศีรษะของร่างศพอำนาจเทวะซึ่งแข็งแกร่งมากกว่าส่วนอื่นๆ” หญิงสาวโฉมงามเอ่ยเสียงต่ำ
สายอัสนีหลากสีเส้นเล็กละเอียดนับไม่ถ้วนหมุนวนทั่วร่างของนาง ในทุกๆ เส้นแฝงไปด้วยพลังที่น่ากลัวมากพอจะทำลายเมืองเล็กๆ ได้เลยทีเดียว
“สำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายและสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินล้วนแต่ถือครองชิ้นส่วนของศพอำนาจเทวะ แต่สองสำนักนี้กลับไม่ยอมมอบให้ ‘สำนักหมื่นอัสนี’ ของข้าสักนิด”
ผู้เฒ่าหน้าดำกล่าวด้วยเสียงทรมานใจ
สำนักหมื่นอัสนีเป็นสำนักที่เข้าใกล้ระดับสามดาวในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ จักรพรรดิของสำนักก็มีหลายท่าน และต่างมีกำลังรบที่แข็งแกร่ง
“เหอะเหอะ แต่นั่นก็ไม่แน่ ได้ยินมาว่าจักรพรรดิตวนมู่กำลังจะออกจากสำนักแล้วกลับไปดินแดนทวีป ใช่ว่าพวกเราจะไม่มีวิธีเสียทีเดียว…” สตรีที่กายมีแสงสว่างยิ้มบางๆ
“อ้อ? มีวิธีอะไรกัน?” สายตาผู้เฒ่าหน้าดำเป็นประกาย
ถึงแม้ว่าพลังอัสนีที่แฝงในส่วนศีรษะของศพอำนาจเทวะจะสู้ดาบอัสนีแดนภูผาในกาลก่อนไม่ได้ทั้งหมด แต่ถ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของยอดฝีมือในศาสตร์อัสนีก็จะโดดเด่นยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน อย่างน้อยก็สามารถยกระดับอิทธิพลของสำนักหมื่นอัสนีได้อย่างมาก
ยอดเขาหลักจิตวิญญาณ สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน
มือของจ้าวเฟิงวางไว้เหนือศีรษะร่างศพอำนาจเทวะ กลั้นลมหายใจเมื่อรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอัสนีที่เก่าแก่ไหลทะลักออกมา
เปรี้ยง!
ร่างของเขาราวกับโดนโจมตีจากลำแสงอัสนีหมื่นจั้ง กลิ่นอายดั้งเดิมบางส่วนของศาสตร์อัสนีไร้เทียมทานก็ทำให้เขาใจเต้นแรงได้แล้ว
“ถึงแม้จะเป็นเพียงกลิ่นอายเล็กน้อย แต่ก็น่ากลัวเช่นนี้” จ้าวเฟิงตกตะลึง
จะต้องรู้ว่า ร่างศพอำนาจเทวะนี้เป็นของที่อยู่มาอย่างยาวนาน
เหนือกะโหลกศีรษะทิ้งร่องรอยเอาไว้ ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ได้สึกหรอเจือจางหายไป
บาดแผลที่ถูกมหันตภัยอัสนีสร้างไว้จะคงอยู่ตลอดไป
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว บาดแผลที่ไม่มีทางหายตลอดกาล…”
จ้าวเฟิงเพิ่งดูในเบื้องต้นก็เข้าใจถึงลักษณะพิเศษส่วนหนึ่งของพลังอัสนีเทวะแล้ว
ในโลกนี้มีเผ่าพันธุ์สายเลือดมากมาย เมื่อกายเนื้อแข็งแกร่งมาก พลังการฟื้นฟูก็ย่อมแปลกประหลาดตามไปด้วย
แต่ว่าพวกเขายังไม่ได้ผ่านด่านอำนาจเทวะ
พื้นที่ชางไห่หมื่นปีมานี้ ในประวัติศาสตร์ที่พอจะย้อนหลังไปดูได้ ยังไม่เคยได้ยินมาว่ามีใครสามารถขึ้นเป็นเซียน
อำนาจเทวะน่ากลัวมากเกินไป สร้างไว้ซึ่งบาดแผลที่มิอาจสึกหรอ แทบเรียกได้ว่าคงอยู่ตลอดไป
“ถ้าหากสามารถนำเสวียนอ้าวของอำนาจเทวะทั้งหมดหลอมรวมเข้าไปมรดกวายุอัสนี เช่นนั้นพลังศาสตร์อัสนีของข้าอย่างน้อยๆ ก็น่าจะแกร่งขึ้นได้มากกว่าสิบเท่า” จ้าวเฟิงในจิตใจสั่นไหว
ไม่แปลกใจเลยที่เด็กน้อยคุนอวิ๋นในแหวนเหล็กโบราณกังวลอย่างมาก
ถึงแม้มรดกวายุอัสนีจะเป็นมรดกในระดับสูงสุด แต่เมื่อเทียบกับมรดกสือเฉิงหรือมรดกหายากบางส่วนก็ยังแตกต่างไม่น้อย
กระทั่งมรดกวายุอัสนีของจ้าวเฟิงถูกควบคุมโดยกายจิตวิญญาณอัสนีของเหล่ยเจิ้น
ทว่าแค่เพียงผสานพลังอัสนีเทวะเข้าไป ทั้งหมดก็จะไม่เหมือนเดิมแล้ว
ภายในห้อง
จ้าวเฟิงปิดตาลง ค่อยๆ สงบจิตใจเพื่อทำความเข้าใจพลังอัสนีในกะโหลกศีรษะ
ขั้นตอนนี้ทำให้พลังอัสนีภายในร่างกายเขาส่งเสียงโครมคราม สั่นสะเทือนไม่หยุด
อยากจะซึมซับเอาพลังอัสนีที่อยู่ในนั้นก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป
พลังอัสนีนั้นอยู่ในระดับขั้นที่สูงส่งอย่างยิ่ง เกี่ยวข้องกับกฎของฟ้าดินและแหล่งกำเนิดดั้งเดิม อยู่เกินกว่ามรดกวายุอัสนีที่จ้าวเฟิงเข้าใจ
ความเข้าใจขั้นต้น จ้าวเฟิงไม่มีปัญหาในการรับมือ
สองวันก่อนหน้านี้
จ้าวเฟิงไม่ได้อะไรกลับมา กลับต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาลของศีรษะอำนาจเทวะเสียด้วยซ้ำไป
“นายท่าน หากต้องการลึกซึ้งในพลังอัสนี นอกจากจะต้องมีพื้นฐานกายจิตวิญญาณอัสนีโดยเฉพาะหรือมีความลึกซึ้งในฟ้าดินของระดับราชันขึ้นไป ยังต้องเชี่ยวชาญศาสตร์อัสนีชั้นยอดด้วย….”
เด็กน้อยครึ่งเซียนเอ่ยเตือนขึ้น
ความหมายที่บอกเป็นนัยของเขาคือ ไม่ว่าจะคุณสมบัติใดๆ ของจ้าวเฟิงก็ล้วนแต่ไม่สอดคล้อง
“ข้ามีแผนของข้า” จ้าวเฟิงแค่นเสียงเย็นชา
ร่างศพอำนาจเทวะนี้แท้จริงเป็นกายเนื้อของครึ่งเซียนที่มีชีวิตอยู่ในอดีต เด็กน้อยคุนอวิ๋นย่อมมีปฏิกิริยาเชื่อมกับมันแน่นอน
ในเวลานี้
ยอดเขาหลักวิญญาณหลักมีแต่ความโกลาหลวุ่นวาย เมื่ออานุภาพจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่กดดันไปทั่วอย่างมืดฟ้ามัวดิน
“ผู้เยาว์จ้าวเฟิง ยังไม่รีบออกมาอีก”
เสียงดังองอาจทะลวงผ่านอากาศกดดันลงมา
หืม?
จ้าวเฟิงหน้าเปลี่ยนสี รีบเก็บศีรษะพลังอัสนีแล้วลุกขึ้น
เห็นเพียงอากาศสูงในละแวกใกล้เคียงปรากฏจักรพรรดิสามท่านล่องลอยอยู่ ร่างกายสาดซัดกลิ่นอายของศาสตร์อัสนีที่น่ากลัว
ปราณที่แท้จริงของวายุอัสนีในร่างจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน รู้สึกกดดันไม่หยุด
พลังอัสนีสามกลุ่มนั้นระดับขั้นสูงส่งอย่างยิ่ง เกรงว่าจะเทียบเท่าได้กับจักรพรรดิวายุอัสนีในอดีต
“จักรพรรดิอัสนีทมิฬ!”
ในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน ห้วงคิดเซียนของราชันและจักรพรรดิส่วนหนึ่งกวาดผ่านแล้วต้องตื่นตกใจ
ผู้มาเยือนคือจักรพรรดิแห่งศาสตร์อัสนีสามคน
ซ้ายขวาทั้งสองด้านแบ่งเป็นคือหญิงสาวกายสุกสกาวและผู้เฒ่าหน้าดำ
คนตรงกลางเป็นชายหนุ่มในชุดเกราะสีดำ รอบกายปรากฏคลื่นลำแสงอัสนีสีดำที่บิดเบี้ยวไปมา มองจากไกลๆ เป็นประหนึ่งจักรพรรดิที่แสนมืดมิด
“จักรพรรดิอัสนีทมิฬผู้นี้มีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งมาก เมื่อเทียบกับอาจารย์แล้วแข็งแกร่งพอๆ กันเลย…”
จ้าวเฟิงตกใจอย่างยิ่ง
บนยอดเขาจิตวิญญาณหลัก จักรพรรดิและราชันผู้เป็นเจ้าของห้วงคิดเซียนเหล่านั้นล้วนแต่วิตกกังวล
“จักรพรรดิอัสนีทมิฬเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของศาสตร์อัสนีแห่งชางไห่ เป็นจักรพรรดิที่มีกำลังรบไร้เทียมทาน”
“เป็นเพราะมีบุคคลดังกล่าวอยู่ สำนักหมื่นอัสนีจึงเป็นรองแค่เพียงสองสำนักระดับสามดาวทั้งสอง แล้วสบประมาทดูแคลนสำนักระดับสองดาวอื่นๆ”
อย่างน้อยๆ ห้วงคิดเซียนสิบกว่ากลุ่มก็หมุนวนอยู่ในที่แห่งนี้ จ้าวเฟิงจึงไม่ได้ทำอะไรผลีผลามออกไป
คนในขั้นจักรพรรดิไม่ใช่คนที่เขาจะสามารถรับมือได้
“จักรพรรดิอัสนีทมิฬ เจ้ามาถึงสำนักของข้าด้วยตนเอง มีอะไรจะชี้แนะงั้นรึ?”
เสียงของบุรุษที่คุ้นเคยดังขึ้นในความว่างเปล่า
ขวับ!
จักรพรรดิตวนมู่ผู้มีเรือนผมขาวดั่งหิมะ ล่องลอยอยู่กลางอากาศ จ้องมองสามจักรพรรดิสำนักหมื่นอัสนีอยู่ไกลๆ
เพียงแค่ช่วงประเดี๋ยวเดียว
สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินก็ปรากฏร่างของสองจักรพรรดิ คือจักรพรรดิกู่หลัวและจักรพรรดิหมีคง
เช่นนี้แล้ว
ตวนมู่ชิงและจักรพรรดิอีกสองคนจึงแทบไม่ด้อยไปกว่าสามคนนั้นเลย
อีกทั้งจักรพรรดิและราชันคนอื่นๆ ในสำนัก บางส่วนก็กำลังปิดด่านฝึกตน บางส่วนก็ใช้ห้วงความคิดชมดูแต่ไม่ปรากฏตัว
“ให้จ้าวเฟิงนั่นออกมา”
จักรพรรดิอัสนีทมิฬยืนหยิ่งทระนงอยู่บนอากาศ พลังจักรพรรดิบนร่างเขามืดมิดบ้าคลั่งอย่างที่สุด ทั้งสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินคงจะมีเพียงตวนมู่ชิงและจักรพรรดิไม่กี่คนที่พอจะรับมือได้
ขวับ ขวับ!
ในเวลาเดียวกันนี้เอง
ห้วงคิดเซียนนับสิบจากสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายที่อยู่ฟากหนึ่งกวาดผ่านมา ซึ่งล้วนแต่เป็นของราชันและจักรพรรดิ
จักรพรรดิตวนมู่สีหน้าเรียบเฉย
เขาตระหนักได้รางๆ ว่าเพราะเหตุใดสำนักหมื่นอัสนีถึงกล้ายกพวกมาก่อเรื่องถึงที่สำนัก
ที่แท้แล้วเบื้องหลังยังมีการสนับสนุนจากสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย
อีกทั้งจักรพรรดิตวนมู่ยังเป็นจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะที่กำลังจะออกจากสำนักด้วย
นี่ต้องเป็นอุบายที่คิดไว้ล่วงหน้าเป็นแน่!
“จักรพรรดิอัสนีทมิฬ ถ้าเจ้าไม่พูดเหตุผลมา เกรงว่าพวกข้าจะให้เจ้าเจอกับ
จ้าวเฟิงไม่ได้”
จักรพรรดิกู่หลัวเอ่ยแล้วยิ้มเล็กน้อย
บรรยากาศในที่แห่งนั้นค่อยๆ ตึงเครียดขึ้นมา
“ได้! เช่นนั้นตัวข้าก็จะบอกเหตุผลที่ชัดเจนให้พวกเจ้าได้ฟัง” จักรพรรดิอัสนีทมิฬหัวเราะเสียงดัง
บนยอดเขาจิตวิญญาณหลักเงียบสงัด
“ในอดีต ขณะที่จักรพรรดิวายุอัสนีผู้นั้นยังไม่บรรลุเป็นจักรพรรดิ ได้ใช้ฐานะของแขกผู้มาเยือนเข้ามาภายในสำนัก ช่วงเวลานั้นยามที่เขาฝึกตนอยู่ใน ‘สำนักหมื่นอัสนี’ ก็ได้ขโมยบันทึกลับของศาสตร์อัสนีไปมากมาย จึงทำให้เขามีชื่อเสียงในภายหลัง ต่อมาสำนักได้ส่งยอดฝีมือตามไล่ล่า แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะเจ้าหัวขโมยนั่นรวดเร็วอย่างยิ่ง เป็นถึงจักรพรรดิผู้มีความเร็วเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาจักรพรรดิทั้งหมด”
จักรพรรดิอัสนีทมิฬเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไปเล็กน้อย
แววตาของเขากวาดผ่านกลุ่มคนที่อยู่ในที่ดังกล่าว
“เรื่องนี้พวกข้าเคยได้ยินมาบ้าง” จักรพรรดิหมีคงเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่
จักรพรรดิอาวุโสบางส่วนผงกศีรษะ
สิ่งที่จักรพรรดิอัสนีทมิฬพูดมาก็ไม่ใช่เรื่องเท็จแต่อย่างใด
“จริงอยู่ที่จักรพรรดิวายุอัสนีนิสัยแย่นัก แล้วในยามก่อนก็อาศัยความเร็วที่อยู่เหนือคนทั้งปวงไปขโมยสมบัติล้ำค่าของสำนักอื่นๆ”
“ต่อมาได้ยินว่าก่อเรื่องกับ ‘เซียนจื่อเย่’ หลบหนีไปมาอยู่หลายคราก็ถูกสังหารสิ้น”
เสียงพูดคุยมาจากจักรพรรดิบางส่วน
ในขณะนี้
ทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ มียอดฝีมือชั้นสูงจำนวนมาก จักรพรรดิที่เก่าแก่บางส่วน และห้วงคิดเซียนมารวมตัวกันอยู่ในที่ดังกล่าว
“เรื่องในคราก่อนทุกท่านล้วนสามารถยืนยันได้ เช่นนั้นก็ดี!” จักรพรรดิวายุทมิฬผงกศีรษะ
“แต่ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับจ้าวเฟิงได้อย่างไร?”
หนึ่งในห้วงคิดเซียนของจักรพรรดิท่านหนึ่งหัวเราะอย่างเย้ยหยัน
“เกี่ยวข้องแน่นอน!”
จักรพรรดิอัสนีทมิฬเอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “ผู้เยาว์คนนี้คือผู้รับมรดกของเจ้าหัวขโมยนั่น ตามกฎการสืบทอดมรดกแล้ว เจ้าเด็กนี้เป็นคนนอกสำนัก ศึกษาวิชาอัสนีที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งยวดของสำนักหมื่นอัสนีของข้า..จะต้องตายสถานเดียว!”
ตายสถานเดียว!
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมาก็ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในที่ดังกล่าว
“ขอถามสักหน่อย ทุกท่านในที่แห่งนี้ หากว่าเคล็ดวิชาของสำนักท่านถูกคนนอกขโมยเรียนไปหมดสิ้นจะทำเช่นไร?” จักรพรรดิอัสนีทมิฬย้อนถาม
“จะต้องโทษตายสถานเดียว! หรือมิฉะนั้นก็ต้องทำลายพลังฝึกบำเพ็ญตน แล้วลบความทรงจำเสีย”
มีห้วงคิดเซียนไม่น้อยที่คล้อยตาม
ตามความเป็นจริงแล้ว นี่เป็นวิธีการของสำนักจำนวนมากที่จะควบคุมเคล็ดวิชาของสำนักตนอย่างเข้มงวด
คนทั่วไปในสำนัก น้อยนักที่จะกล้าเอาหลักเคล็ดวิชาลับของสำนักไปเผยแผ่สู่โลกภายนอก
สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินก็มีบทลงโทษที่รุนแรงกับการกระทำดังกล่าวเช่นกัน
“เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องจริงงั้นรึ?”
จ้าวเฟิงตะลึงงัน
ตวนมู่ชิงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
“จักรพรรดิวายุอัสนีผู้นั้นในยามก่อนมีนิสัยขี้ขโมยจริงๆ พฤติกรรมก็เลวทราม”
เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยย้อนถึงความหลัง
จ้าวเฟิงใจเต้นรัว
เป็นเรื่องจริงเสียด้วย!
เช่นนั้นตามกฎสำนักแล้ว สำนักหมื่นอัสนีมีเหตุผลที่จะ ‘ริบคืน’ วิชาที่ถูกส่งต่อไปภายนอกสำนักได้