บทที่ 689 ออกเดินทาง (2)
โครงร่างคร่าวๆ ของปีกอัสนีผ่านฟ้าปรากฏขึ้นในหัวของจ้าวเฟิง
ในอดีตเขาฝึกฝนเพียง ‘ประกายปีกอัสนี’ ขั้นพื้นฐานที่สุด
ประกายปีกอัสนีเป็นตัวแทนของวิชาปีกวายุอัสนี มีสาระสำคัญของความเร็วในมรดกวายุอัสนีที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
เมื่ออาศัย ‘ประกายปีกอัสนี’ จ้าวเฟิงมั่นใจอย่างยิ่งว่าความเร็วการบินของตนไม่ด้อยไปกว่าราชันในขอบเขตปราณเทวะ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในสองวันสุดท้าย จ้าวเฟิงเข้าใจลึกซึ้งใน ‘ปีกวายุอัสนี’ ในเวลาเดียวกันก็ไม่หยุดทำลายพลังเนตรมรณะไปเรื่อยๆ
สองวันต่อมา
จ้าวเฟิงถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วเก็บเจ้าแมวขโมยตัวน้อยกับเด็กน้อยครึ่งเซียน จากนั้นไปที่คฤหาสน์ของจักรพรรดิตวนมู่
เด็กน้อยครึ่งเซียนพัฒนาการน่าตกใจ ฝึกตนถึงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย นี่ขนาดเขาถูกจำกัดจำนวนทรัพยากรที่จ้าวเฟิงนำออกมาจากห้วงฝัน
คฤหาสน์จักรพรรดิ
“ดีมาก มาถึงครบแล้ว”
ตวนมู่ชิงผงกศีรษะเบาๆ ข้างกายเขาสองข้างคือจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟย
เรื่องยิบย่อยต่างๆ ทั้งสามคนล้วนจัดการเสร็จสรรพ รอเพียงใช้ค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณ
“ออกเดินทางได้!”
ห้วงความคิดของตวนมู่ชิงขยับน้อยๆ พลังมหาศาลของจักพรรดิปกคลุมบนร่างของจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟย
วูบ!
ในวินาทีต่อมา คนทั้งสามก็หายไปจากยอดเขาจิตวิญญาณหลักพร้อมกัน
“รวดเร็วเหลือเกิน” จ้าวเฟิงมีสีหน้าตกใจ ตวนมู่ชิงนำคนทั้งสองออกจากที่ตั้งของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน
จ้าวเฟิงเกิดความรู้สึกประหลาดว่ามิติสับเปลี่ยนแทนที่
ชั้นดวงวิญญาณของจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะอยู่ในขอบเขตพลังที่สมบูรณ์ดังใจหวัง พวกเขามีความเข้าใจในฟ้าดินและบรรลุด้านมิติเหนือกว่าราชันทั่วไป
หนึ่งถึงสองช่วงลมหายใจจากนั้น
ตวนมู่ชิงและคนทั้งสองร่อนลงบนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่
บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่ถือเป็นสถานที่ส่วนกลางของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ มีมรดกต่างๆ มากมายหลงเหลืออยู่ที่นี่
ในขณะจ้าวเฟิงมาถึง มีลูกศิษย์นับร้อยคนของสำนักสองดาวแห่งหนึ่งอยู่ในที่ดังกล่าว
“นี่คือ…” จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจ
ตวนมู่ชิงกวาดสายตาแล้วเอ่ยอธิบายว่า “ปรมาจารย์มากความสามารถผู้ก่อตั้งสำนักสองดาวส่วนหนึ่งในยามก่อน ก่อนที่จะจากไปเคยทิ้งมรดกต่างๆ ไว้ที่นี่ เพื่อให้กลายเป็นมรดกของคนรุ่นหลังในสำนัก”
จ้าวเฟิงตระหนักได้ในทันที เรื่องเหล่านี้เขาก็เคยได้ยินมาก่อนแล้วในขณะที่เพิ่งมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์
“แน่นอนว่ามรดกเหล่านี้ด้อยกว่าสิ่งลี้ลับขั้นสุดยอดในอุทยานครึ่งเซียนเป็นอย่างยิ่ง” ตวนมู่ชิงเอ่ย
มรดกหรือของลี้ลับในระดับเดียวกันกับอุทยานครึ่งเซียน ทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่น่าจะมีเกินสามชิ้น ไม่ต้องพูดถึงสำนักสองดาวเลย
จักรพรรดิตวนมู่เดินนำทางไปยังเสาหินหยกแปดต้นซึ่งเป็นที่ตั้งของค่ายกล แปดเสาหินสีเขียวโบราณแต่ละต้นสูงถึงร้อยจั้ง ด้านบนสลักลายเส้นค่ายกลที่เรียบง่ายและเลือนราง
ลวดลายค่ายกลปรากฏส่วนทับซ้อนของรูปร่างมิติ ดวงตาเทพเจ้ามองผ่านแล้วเกิดความสับสนงุนงงไปชั่วขณะ
เห็นได้ชัดเลยว่าเสาหยกพวกนั้นเกี่ยวข้องกับเสวียนอ้าวมิติที่ลึกล้ำและสูงส่ง
“จักรพรรดิตวนมู่”
บนค่ายกลเสาหยกมีเสียงแว่วมา
จ้าวเฟิงเหลือบตามองแล้วตกใจเล็กน้อย ด้วยทุกยอดสูงสุดของเสาหยกล้วนแต่มีราชันในขอบเขตปราณเทวะผู้หนึ่งนั่งอยู่
นอกจากนี้ ใจกลางของแท่นค่ายกลยังมีผู้เฒ่าสีหน้าเคร่งขรึมผู้เป็นจักรพรรดิปราณเทวะนั่งขัดสมาธิอยู่
จักรพรรดิหนึ่งคน ราชันอีกแปด นั่งเฝ้าค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณเอาไว้
“รบกวนทุกท่านด้วย” ตวนมู่ชิงเอ่ยปนยิ้มด้วยน้ำเสียงอบอุ่นดั่งสายลม
จักรพรรดิชราผงกศีรษะ ปรากฏแสงวูบวาบแล้วหายวับไป
หลังจากนั้น ตวนมู่ชิงหยิบผลึกเริ่มต้นระดับสุดยอดออกมาสามสิบสองชิ้น แบ่งฝังเข้าไปกลางเสาหินทั้งแปด
“ค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณมีไว้เพื่อป้องกันยอดฝีมือจากโลกภายนอกเข้าไป ใจกลางของค่ายกลมี ‘ผลึกเซียน’ ชิ้นหนึ่ง” ตวนมู่ชิงอธิบายและตอบคำถามบางส่วนของคนทั้งสอง
พื้นที่ชางไห่มีสามดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ แบ่งเป็นเจินอู่ ฝูเมิ่ง และว่านเซิน
สามดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เชื่อมต่อกันด้วยค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณ
ทิศทางคร่าวๆ ก็คือทางผ่านของจ้าวเฟิง ตวนมู่ชิง และจ้าวหยูเฟย
“รอถึง ‘ดินแดนจิตวิญญาณฝูเมิ่ง’ เมื่อใด หลังจากนั้นพวกเราต้องไปตามทางของตัวเอง”
ตวนมู่ชิงและอีกสองคนต่างยืนอยู่ใจกลางของฐานแท่นค่ายกลแล้ว
วิ้ง!
แปดเสาหินหยกสีเขียวเปล่งแสงสีเงินที่สว่างเจิดจ้าครอบคลุมทั่วแท่นค่ายกล
ตวนมู่ชิง จ้าวเฟิง จ้าวหยูเฟย ร่างของทั้งสามโปร่งแสงจนเลือนราง แล้วร่องรอยก็ค่อยๆ หายไป
“ไป!”
บนเสาหินหนึ่งในนั้น ฝ่ามือของราชันหน้าดำคล้ำพลันปรากฏตราคำสั่งชิ้นหนึ่งแล้วสาดซัดกลิ่นอายลอยออกมา
แล้วในวินาทีนี้เอง
‘พลังมรณะ’ ที่สะเทือนฟ้าและดินทะลวงผ่านดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ พลังมหาศาลนั้นทำให้ราชันและจักรพรรดิส่วนหนึ่งใจสั่นระริก
“กลิ่นอายมรณะแข็งกล้ายิ่งนัก!”
ใจของราชันในขอบเขตปราณเทวะบางส่วนเย็นยะเยือกไม่สงบ
หลายช่วงลมหายใจจากนั้น ในอากาศเหนือยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่ ปรากฏเรือนร่างขนาดใหญ่สวมมงกุฎสีทอง สูงใหญ่ราวเงามรณะที่ทั้งมืดมิด โบราณ และลึกล้ำ
นัยน์ตาสีดำสนิททั้งสองข้างมืดมิดไร้ก้นบึ้ง ราวกับเป็นหุบเหวลึกแห่งความตาย
“จักรพรรดิแห่งความตาย!”
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จักรพรรดิเก่าแก่ส่วนหนึ่งใจเต้นรัวยามหลุดปากเอ่ยออกมา
“จักรพรรดิแห่งความตายผู้นี้มายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่เมื่อไหร่กัน?”
“อำพรางตัวได้ลึกล้ำจริงๆ!”
ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เกิดระลอกคลื่นความหวาดกลัวไปทั่ว
จักรพรรดิความตายเป็นดั่งฝันร้ายที่มีมานานของพื้นที่ชังไห่
“ท่านอาจารย์” บุรุษหนุ่มเวินลั่วอันค้อมกายยืนอยู่ด้านข้างของจักรพรรดิแห่งความตาย
นอกจากนี้แล้ว เด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลน ราชาจิตวิญญาณมรณะสามคน และองครักษ์แห่งความตายราวสามสิบคนล้วนแต่ยืนเรียงแถวอยู่ด้วย
กระบวนทัพเช่นนี้แข็งแกร่งมากพอจะกวาดล้างสำนักสองดาวนอกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่ง
“พรางกายที่สำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายอยู่เดือนสองเดือน จักรพรรดิ
ตวนมู่ผู้นั้นจากไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่งจริงเสียด้วย” จักรพรรดิแห่งความตายเอ่ยพึมพำ เสียงของเขาเย็นยะเยือกทะลวงผ่านไปในดวงวิญญาณ ยืนตระหง่านอยู่ในจุดสูงสุดเหนือคนทุกผู้
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ยามที่ห้วงคิดเซียนกวาดผ่านจะสั่นสะท้าน เกิดความประหวั่นพรั่นพรึงจากดวงวิญญาณจนไม่กล้าเข้าใกล้
จักรพรรดิแห่งความตายผู้นี้ชำนาญในศาสตร์ดวงวิญญาณมรณะ เกรงว่าต่อให้เป็นแค่ห้วงคิดเซียนเพียงเล็กน้อยก็อาจจะโดนโต้กลับจากพลังมรณะของเขา
เรื่องราวเกี่ยวกับจักรพรรดิแห่งความตาย ไม่ว่าจะราชันหรือจักรพรรดิล้วนแต่เคยได้ยินมาบ้าง
หลังจากนั้นไม่นานนัก
ขบวนของจักรพรรดิแห่งความตายก็มาถึงค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณ
“จักรพรรดิแห่งความตาย…” จักรพรรดิชรา ราชันทั้งแปด เกิดความรู้สึกราวกับว่าควบคุมความเป็นตายของตนไม่ได้ยามต้องเผชิญหน้ากับ ‘เทพแห่งความตาย’
ดวงวิญญาณของราชันแปดคนรู้สึกคล้ายหายใจไม่ออก ไม่สามารถมองจักรพรรดิแห่งความตายตรงๆ ได้
มีเพียงแค่จักรพรรดิชราผู้นั้นที่เผยสีหน้าหวาดหวั่น จ้องไปที่จักรพรรดิแห่งความตายอย่างลึกซึ้ง แต่ไม่พูดอะไร
“ศิษย์พี่ ครั้งนี้พวกเราจะไปชมทิวทัศน์ที่ไหน?” เด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลนยิ้มเผล่ถามอย่างโง่งม
“อีกครู่เดียวก็จะได้รู้แล้ว” เวินลั่วอันหยิบผลึกเริ่มต้นระดับสุดยอดสามสิบสองชิ้นจากมือจักรพรรดิแห่งความตายมาฝังลงกลางเสาหินทั้งแปด
กลิ่นอายมรณะมหาศาลของจักรพรรดิแห่งความตาย ค่อยๆ จางหายไปในลำแสงค่ายกล
อีกฟากของทะเลความว่างเปล่าที่ไกลออกไป
ในบริเวณหนึ่งซึ่งเหมือนกับใจกลางดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง”
จ้าวเฟิงยืนอยู่บนแท่นค่ายกลที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน มองไปทั่วทิศทาง
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เบื้องหน้าปรากฏก้อนเมฆสีรุ้งลอยล่อง ทุกๆ ก้อนเมฆสีรุ้งมีรัศมีอย่างน้อยๆ เกือบร้อยลี้ ในก้อนเมฆสีรุ้งทุกก้อนเหมือนจะจับต้องได้ ด้านบนมีสำนักสองดาวแห่งหนึ่งตั้งอยู่
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง มีเพียงสำนักระดับสามดาวหนึ่งแห่ง และยังมีสำนักสองดาวหลายสิบที่ แต่ทว่าอำนาจของ ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์เทียนเมิ่ง’ ยังแข็งแกร่งกว่าเสวียนเจินและหนึ่งพันเดียวดายอยู่บ้าง” ตวนมู่ชิงพึมพำเสียงต่ำ
เมื่อถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง ตวนมู่ชิงหยิบตราคำสั่งแผ่นหนึ่งออกมา เดิมทีเขาเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของสำนักสองดาวแห่งหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้
หลังจากมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง ตวนมู่ชิงและจ้าวหยูเฟยยังต้องใช้ ‘ค่ายกลข้ามดินแดน’ มุ่งหน้าไปยังเขตดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในละแวกใกล้เคียงดินแดนทวีป
เมื่อถึงเวลานั้น ตวนมู่ชิงกับจ้าวหยูเฟยมีความเป็นไปได้ที่จะออกจากชังไห่ แล้วไปถึงทะเลแดนใต้ซึ่งเป็นเขตชายแดน
“พี่จ้าวเฟิง พวกเราก็จากกันเช่นนี้ ในครั้งหน้าที่เจอกัน บางทีเราอาจจะมีสถานะไม่เหมือนกัน มีจุดยืนไม่เหมือนกัน หรือบางทีอาจจะกลายเป็นคนแปลกหน้ากันก็ได้” จ้าวหยูเฟยกัดริมฝีปากเล็กน้อย ดวงหน้างามละมุนดูเด็ดเดี่ยว ฝืนยิ้มออกมา
ในเวลาดังกล่าว
จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยแยกกันยืนอยู่บนค่ายกลข้ามเขตที่ไม่เหมือนกันสองแห่ง
ไม่รอให้จ้าวเฟิงปริปากพูด
จ้าวหยูเฟยหันร่างแบบบางกลับไป ขอบตาแดงก่ำ ดวงตาเป็นประกายดั่งผลึกใส
“คนแปลกหน้า? หยูเฟย…”
จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ จิตใจสงบนิ่งมาตลอดเกิดความรู้สึกทิ่มแทงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนประสบการณ์ความรักอย่างลึกซึ้งที่สัมผัสได้ใน ‘ผลึกน้ำตาเงือก’
ราวกับว่าเขาตกลงไปในห้วงความรักที่ทั้งสวยงามและเจ็บปวดของเผ่าพันธุ์เงือก
จ้าวหยูเฟยที่ปรากฏในครรลองสายตาดูอ่อนแอบอบบาง โดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างเห็นได้ชัด
ร่างแบบบางที่คุ้นตานั้นทำให้ใจของจ้าวเฟิงดิ้นรนอย่างรุนแรง เกิดความรู้สึกอยากจะพุ่งเข้าไปหา แล้วกอดนางไว้แนบแน่น
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยกระโดดขึ้นบนไหล่ของจ้าวเฟิง กรงเล็บโยนเหรียญทองแดงทิ้ง มีท่าทีเร่งอย่างร้อนรน
“หืม?”
จ้าวเฟิงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย แล้วหยิบผลึกเริ่มต้นระดับสุดยอดออกมาอย่างรีบร้อน
ก่อนที่จะออกเดินทาง ในขณะจ้าวเฟิงอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ได้ใช้ทรัพยากรจำนวนมากแลกเปลี่ยนผลึกเริ่มต้นระดับสุดยอดมาในปริมาณอันน้อยนิด
เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยปราดเปรียวอย่างยิ่ง มันเอาผลึกเริ่มต้นแปดอันฝังลงบนฐานของแท่นค่ายกล
วิ้ง!
จ้าวเฟิงถูกปกคลุมด้วยแสงค่ายกลที่สว่างเจิดจ้า
“หยูเฟย พวกเรายังจะได้พบพานกันอีกในวันหน้า” จ้าวเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดหนักแน่น ทะลวงผ่านเข้าไปในวิญญาณที่ว่างเปล่า
ภาพสุดท้ายคือเงาร่างของจ้าวหยูเฟยไม่หันหลังกลับมามอง ร่างอรชรสั่นสะท้านน้อยๆ
“หยูเฟย จากกันในครั้งนี้เพื่อพบพานในครั้งหน้า ราชวงศ์ในดินแดนทวีปถึงจะเป็นเวทีโลกที่แท้จริง ด้วยพลังแฝงของจ้าวเฟิง ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องไปที่ดินแดนทวีปแน่นอน” เสียงเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงลอยมา
ตวนมู่ชิงกับจ้าวหยูเฟยหายไปในแสงค่ายกลอย่างรวดเร็ว
ไม่กี่ช่วงลมหายใจจากนั้น บนค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณก็ปะทุลำแสงค่ายกลสว่างแสบตาออกมา
ทันใดนั้นเอง กลิ่นอายความตายในฟ้าดินก็ทะลักทะลวง เหล่ายอดฝีมือที่คุ้มกันค่ายกลหน้าเปลี่ยนสีโดยพร้อมเพรียงกัน
กำลังคนของจักรพรรดิแห่งความตายปรากฏกายขึ้นในค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณ
ความเงียบสงัดจึงเกิดขึ้นในที่ดังกล่าว
“ไปแล้วงั้นรึ?” จักรพรรดิแห่งความตายเอ่ยพึมพำ ‘เนตรมรณะ’ คู่นั้นของเขาจับจ้องไปยังราชันผู้หนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“อ๊าก…” ราชันปราณเทวะผู้นั้น จิตสำนึกและวิญญาณราวกับว่าถูกคุมขัง ขนาดแรงดิ้นรนจะเปิดปากพูดยังแทบไม่มี
“ผู้ชายผมม่วงนั่นไปที่ไหน?” เวินลั่วอันถามด้วยสีหน้าอบอุ่น
“ขะ…เขาไปที่ ‘ทวีปเทียนฮวา’ ”
ราชันปราณเทวะผู้นั้นเอ่ยตอบด้วยเสียงขาดๆ หายๆ เหลือบมองไปที่จักรพรรดิแห่งความตายอย่างหวาดกลัว
อานุภาพฝันร้ายของจักรพรรดิแห่งความตายปกคลุมไปทั่วชางไห่
“ตามไป”
กองกำลังของจักรพรรดิแห่งความตายเปิดค่ายกลข้ามดินแดนอีกครั้ง ก่อนจะหายตัวไปในแสงค่ายกลสว่างเจิดจ้า
“จักรพรรดิแห่งความตาย!”
“ชายที่น่ากลัวผู้นี้ที่แท้ก็เข้ามาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่งแล้ว ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุนองเลือดแบบไหนกัน” ราชันหลายคนเอ่ยด้วยใจที่ยังหวาดกลัวไม่หาย
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จักรพรรดิแห่งความตายนำกลุ่มคนของเขาไปปรากฏตัวในตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าแห่งเทียนฮวา
วูบ!
กลิ่นอายความตายปกคลุมคละคลุ้ง แล้วแทรกซึมไปทั่วตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า
เพียงชั่วพริบตาเดียว
ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าที่ยิ่งใหญ่เหมือนดั่งถูกเงามืดแห่งความตายปกคลุมไว้ ทำให้ยอดฝีมือทั้งหมดร่างแข็งค้างราวกับกลายเป็นหิน
“ลงมือได้ยิ่งใหญ่นัก ท่านอาจารย์ใช้พลังมรณะปิดตายทั้งตำหนักวิญญาณ”