บทที่ 725 ทะลวงขั้นราชัน (1)
หลังจากเสียงระเบิดดังโครมครามราวกับพื้นดินถล่มทลาย พื้นที่ไกลออกไปหลายพันลี้สัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนนี้อยู่รางๆ
“ตูม”
เมื่อมองจากไกลๆ ในใจกลางของพื้นที่ที่เกิดเสียงระเบิดเหมือนมีกลุ่มลูกไฟสีทองสว่างระเบิดตัวเอง เพลิงโลหิตแสงสีทองที่สว่างแสบตาทำลายทุกอย่างในรัศมีหลายร้อยลี้
ใจกลางของพื้นที่ที่ระเบิดตัวตายมีกลิ่นอายต้องห้ามโบราณลอยกรุ่นอยู่น้อยๆ
อานุภาพของการระเบิดตนเองครั้งนี้แข็งแกร่งกว่ายามอยู่ในอุทยานครึ่งเซียนมากกว่าเท่าสองเท่าทีเดียว
ต้องรู้ว่า อานุภาพของการระเบิดในครั้งก่อนสามารถสังหารราชาจิตวิญญาณมรณะผู้หนึ่งได้
แต่ว่าในครั้งนี้ เวินลั่วอันระเบิดตนเองใน ‘สภาวะสมบูรณ์’ และไม่ใช่เคล็ดวิชาลับใดๆ
เพราะสิ่งที่มาพร้อมการระเบิดตัวเองของเขา ยังมีพลังสายเลือดของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ กระทั่งรวมไปถึงดวงวิญญาณตนเองด้วย
จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าพลังจากระเบิดตนเองในครั้งนี้น่ากลัวขนาดไหน เกรงว่าต่อให้เป็นจักรพรรดิธรรมดาทั่วไป ก็ยังไม่สามารถหนีรอดออกมาได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน
ฟิ้ว!
รัศมี้พันลี้ปกคลุมไปด้วยฝุ่นธุลี สภาพแวดล้อมในดินแดนขนาดเล็กทั้งหมดล้วนได้รับผลกระทบไปด้วย
ดินแดนภูเขาต้นไม้ขนาดเล็กแห่งนี้เป็นประเภทเดียวกับเขาปาฮวง มิติที่ดำรงอยู่มีขนาดเทียบเท่าได้กับพื้นที่ของแคว้นเมฆาและสิบสามแคว้น
ในดินแดนแห่งนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นเพียงแค่ยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง
การระเบิดตนเองในระดับนี้ มีกลิ่นอายน่ากลัวที่ทำให้ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดบางส่วนภายในดินแดนแห่งนี้หวาดกลัวจนใจเต้นระรัว
ฝุ่นธุลีที่ปกคลุมเป็นรัศมีพันลี้ยังไม่สลายตัวไปแม้จะผ่านไปเป็นเวลานาน
“จ้าว…เฟิง…”
ในใจกลางของระเบิด หุบเขาที่ถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากลองมีเสียงที่ทำให้ใจเย็นวาบลอยแว่วมา
น้ำเสียงนั้นต่ำและเย็นเยียบยิ่ง เหมือนลอยออกมาจากนรกขุมที่ลึกที่สุด
เห็นเพียงแค่ร่างเงามรณะที่สวมมงกุฎสีทองยืนนิ่งไม่ไหวติง ชุดคลุมสีดำตัวใหญ่บนร่างพลิ้วไหวไปกับสายลมพัด
จักรพรรดิแห่งความตายที่ยืนอยู่ตรงนั้นดูไปแล้วไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่ปลายเล็บ
แต่ทว่าสีหน้าของเขากลับเขียวคล้ำอย่างยิ่ง ดวงตาสีดำที่ลึกไร้ก้นบึ้งหรี่เล็กลง
อาณาเขตทั่วทั้งหุบเขาในครรลองสายตา นอกจากจักรพรรดิแห่งความตายแล้ว องครักษ์แห่งความตายสองสามคนแม้กระทั่งกระดูกก็สูญสลายกลายเป็นธุลี
ในจุดที่จักรพรรดิแห่งความตายยืนอยู่เหมือนมีพลังไร้รูปร่างอบอวลอยู่ ขนาดพื้นที่ใต้เท้าของเขายังไม่เหลือร่องรอยอะไรเลย
พลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ มากพอที่จะทำให้จักรพรรดิในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่งต้องอกสั่นขวัญแขวน
“ป๋าย…ป๋ายหลิน!”
จักรพรรดิแห่งความตายพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ หน้าจึงเปลี่ยนสี
ถ้าหากว่าเด็กน้อยนัยน์ตาขาวโพลนอยู่ในรัศมีหลายร้อยลี้นั้นด้วยก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
นางไม่มีพลังในการรักษาชีวิตไว้และความสามารถอย่างองครักษ์แห่งความตาย
การตายของเวินลั่วอันผู้เป็นลูกศิษย์คนที่สามนำความอัปยศอย่างยิ่งมาสู่จักรพรรดิแห่งความตาย
ต้องมองดูลูกศิษย์ที่ฟูมฟักมานานหลายปีระเบิดตนเองตายไปต่อหน้าต่อตา แต่กลับขัดขวางไว้ไม่ทัน ช่างอับอายและน่าหัวร่ออะไรเพียงนี้
แล้วทั้งหมดนี้เป็นจ้าวเฟิงนั่นที่ลงมือทำ
แต่ถ้าหาก ‘เด็กหญิงนัยน์ตาขาว’ ที่มีเนตรทำนายตายอยู่ในเหตุการณ์ระเบิดด้วยแล้วล่ะก็ การสูญเสียที่เกิดขึ้นก็จะหนักหนาสาหัสกว่ามาก
เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว จักรพรรดิแห่งความตายแค่นเสียงหัวเราะออกมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้
การระเบิดตัวเองเมื่อครู่นี้ ถึงแม้จะไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ ให้แก่เขา แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนแอ แล้วยังฝืนกระตุ้นเคล็ดวิชาทำการป้องกัน จึงโดนผลสะท้อนกลับมาไม่น้อย
สำหรับจักรพรรดิแห่งความตายที่ต้องฟื้นฟูร่างกายแล้วเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งบนหิมะ[1]อย่างไม่ต้องสงสัย
“ป๋ายหลิน!”
จักรพรรดิแห่งความตายฝืนกระตุ้นห้วงความคิดให้ครอบคลุมรัศมีหลายพันลี้
“ท่าน…ท่านอาจารย์!”
น้ำเสียงขลาดกลัวดังขึ้นจากบนฟ้าที่อยู่ไกลๆ เมื่อแหงนศีรษะมองก็เห็นเด็กหญิงนัยน์ตาขาวที่มีสีหน้าซีดขาวท่าทีกลัวค่อยๆ ร่อนลงบนพื้น
“ไม่ตายก็ดีแล้ว!” จักรพรรดิแห่งความตายอดถอนใจยาวไม่ได้
เด็กน้อยนัยน์ตาขาวไม่เสียทีที่มี ‘ดวงตาทำนาย’ จึงมีประสาทสัมผัสที่ไวต่ออันตรายอย่างยิ่ง
ก่อนที่เวินลั่วอันจะระเบิดตัวเอง เด็กหญิงนัยน์ตาขาวก็ ‘บังเอิญ’ หนีไปเล่นพอดิบพอดี
โชคชะตาก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
แต่สำหรับ ‘เด็กหญิงนัยน์ตาขาว’ ที่มี ‘เนตรทำนาย’ แล้ว นางถึงขั้นที่น่าจะมีความสามารถในการควบคุมดวงชะตาได้
“จ้าวเฟิง…เกรงว่านี่ถึงจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเจ้าสินะ”
นัยน์ตาลึกไร้ก้นบึ้งของจักรพรรดิแห่งความตายจ้องไปยังทิศทางของดินแดนศักดิ์สิทธิ์โจรสลัด มุมปากของเขายกรอยยิ้มเย็น
เพียงแค่เนตรทำนายยังอยู่ฝั่งเดียวกับเขา จักรพรรดิแห่งความตายก็จะมีโอกาสชนะมากกว่านัก
“ศิษย์พี่สาม…ข้าจะล้างแค้นให้ท่าน”
ในดวงตาของเด็กน้อยนัยน์ตาขาวฉายอารมณ์โกรธแค้นที่หาได้ยากยิ่งออกมา
ช่วงเวลาที่ศิษย์พี่เวินอยู่เคียงข้างนางเหมือนปรากฏชัดในดวงตา บุรุษหนุ่มผู้อบอุ่นที่มีรอยยิ้มสดใสเสมอและดูแลนางไม่ห่าง ยังวนเวียนอยู่ในหัวของนางไม่จางหาย
บนใบหน้าของเด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลน ค่อยๆ มีวี่แววตั้งใจจริงและเคร่งเครียดยิ่งขึ้น
“ป๋ายหลิน การคาดเดาของเจ้าพัฒนาเป็นอย่างไรบ้าง?” จักรพรรดิแห่งความตายเอ่ยถาม
เด็กหญิงผู้มีเนตรทำนายผู้นี้มีท่าทีเอื่อยเฉื่อยไม่สนใจต่อสิ่งใด น้อยครั้งนักที่จะเห็นนางเอาจริงเอาจัง
“ข้อมูลกับเบาะแสเพิ่มขึ้นทีละน้อย ข้าหาร่องรอยที่อยู่ของเขาได้แน่” เด็กน้อยนัยน์ตาขาวโพลนจับพู่กันแล้วกัดริมฝีปาก
ตามเส้นทางการหลบหนีของจ้าวเฟิงและการปะทะกับราชาจิตวิญญาณมรณะ จำนวนข่าวสารที่เล็ดลอดออกมานับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ทะเลความว่างเปล่าที่ห่างไกลอีกฟากหนึ่ง
สวบ!
เรือหุ่นเชิดศพโบยบินไปยังทิศทางหนึ่งด้วยความเร็วคงที่
ภายในห้องหัวหน้าเรือ
“เสียดาย…”
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ สีหน้าเผยแววเสียดาย
วินาทีที่เวินลั่วอันระเบิดตัวเอง จ้าวเฟิงเองก็เห็นภาพที่เลือนรางผ่านทางตราผนึกดวงใจทมิฬ
ความแข็งแกร่งของจักรพรรดิแห่งความตายเกินกว่าที่คิดไว้มาก
อีกทั้งในอาณาเขตที่ระเบิดตนเองไม่มีกลิ่นอายของเด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลนผู้นั้น
แต่ทว่า การระเบิดตนเองของเวินลั่วอันนับเป็นครั้งแรกที่จ้าวเฟิงลงมือโต้กลับอย่างแท้จริงหลังจากต้องเผชิญหน้ากับคำสั่งล่าสังหาร
ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อจ้าวเฟิงเผชิญหน้ากับคำสั่งล่าสังหารล้วนเป็นการหนีจากการโดนจู่โจมหรือไม่ก็สู้หลังชนฝา
แต่ว่าในครั้งนี้ จ้าวเฟิงไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อมือซ้ายมือขวาของจักรพรรดิแห่งความตาย ทั้งยังโจมตีกลับใส่ฝ่ายนั้นด้วย
“เจ้าหอโครงกระดูก เปลี่ยนเส้นทางเดินเรือเล็กน้อยแล้วกัน” จ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ยในทันที
ผู้ครอบครองดวงตาทำนายส่งสัญญาณเตือนมาให้เขา
เขาไม่สามารถเดินทางตามเส้นทางและตรงดิ่งไปที่ตำหนักเซียนพิณสวรรค์เสียแล้ว
ต่อมา จ้าวเฟิงให้เจ้าหอโครงกระดูกเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือระหว่างทางอย่าง ‘ไร้รูปแบบ’
จุดหมายปลายทางไม่เปลี่ยน แต่ว่าเส้นทางระหว่างนั้นกลับมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร้รูปแบบ จ้าวเฟิงอาศัยความรู้สึกของตนเองในการเลือกกระทำเช่นนี้
“นายท่าน ตามเส้นทางการเดินเรือเส้นใหม่ ระยะทางจะยาวไกลกว่าเดิมอยู่ส่วนหนึ่ง ต้องใช้เวลาอีกปีหนึ่งถึงจะไปถึงตำหนักเซียนพิณสวรรค์” เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ย
“ทำตามนี้ได้เลย” จ้าวเฟิงผงกศีรษะ
เวลาหนึ่งปีต่อมา เขาต้องสงบจิตใจฝึกตน จ้าวเฟิงปิดเปลือกตาลงและเริ่มปิดด่านฝึกบำเพ็ญ
ในวันนี้ นอกเหนือจากจำนวนปราณที่แท้จริงของจ้าวเฟิง ด้านต่างๆ ล้วนแข็งแกร่งกว่าราชันในขอบเขตปราณเทวะธรรมดา
จ้าวเฟิงจัดแจงสิ่งของที่ยึดมาได้จากคู่ต่อสู้ส่วนหนึ่งภายในแหวนเหล็กโบราณ เพื่อที่จะเพิ่มความเร็วในการเพิ่มปราณที่แท้จริง
ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากได้รับโอกาสที่เผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์ ต้นทุนในมือของจ้าวเฟิงก็ใช้ไปจนเกือบหมดแล้ว
ทรัพยากรล้ำค่าส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่ของเขาล้วนแต่แย่งชิงมาได้ในภายหลัง
แต่ว่าเมื่อมาถึงระดับขั้นนี้แล้ว ทรัพยากรที่สามารถกระตุ้นผลักดันจ้าวเฟิงนับวันยิ่งน้อยลงไปทุกที
เวลาสองเดือนผ่านไป
จ้าวเฟิงดื่มสุราเพลิงมังกรและสุราเมฆาอัสนีที่เหลือเพียงเศษเสี้ยวจนหมด แต่ว่าผลลัพธ์ของมันก็ไม่ได้เห็นอย่างชัดเจน
ในเมื่อปราณที่แท้จริงพิฆาตสีชาดของจ้าวเฟิงไปถึงระดับความแข็งแกร่งของขั้นราชัน แล้วยังเหนือกว่าขอบเขตปราณเทวะทั่วไปอยู่เล็กน้อย
“ยังเหลือสุราเซียนมายาครึ่งแก้วสุดท้าย” ในมือของจ้าวเฟิงปรากฏแก้วผลึกสีม่วงใบหนึ่ง
อึก อึก!
จ้าวเฟิงดื่มสุราเซียนมายาครึ่งแก้วสุดท้ายจนหมด
จากการต่อสู้อย่างหนักหน่วงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้ระดับสำนึกรู้ของจ้าวเฟิงมั่นคงและพัฒนาขึ้น
หลังจากที่ดื่มสุราครึ่งเซียนไปแล้ว ฤทธิ์สุราที่รุนแรงก็เข้าครอบงำสตินึกคิดและดวงวิญญาณของจ้าวเฟิง
ในส่วนของแก่นแท้ ฤทธิ์ของสุราครึ่งเซียนโดนดวงวิญญาณดูดซึมไป ความเมามายส่งผลโดยตรงต่อสตินึกและคิดดวงวิญญาณ
สตินึกคิดของจ้าวเฟิงเข้าสู่สภาวะความว่างเปล่าที่ลี้ลับอย่างรวดเร็ว
ในช่วงไม่กี่ลมหายใจสั้นๆ
สำนึกรู้ในจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้น ความสอดประสานเข้าใจในจักรวาลและฟ้าดินเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย
แน่นอนว่าการเพิ่มขึ้นของสำนึกรู้เช่นนี้เป็นเรื่องเพียงชั่วคราวเท่านั้น
จ้าวเฟิงจึงรีบทำเวลา รวบรวมสตินึกคิดดำดิ่งเข้าไปในสภาวะความลึกซึ้ง
สิบช่วงลมหายใจต่อมา
ความเมามายก็ค่อยๆ ลดลงจากระดับสูงสุด
หลังจากช่วงเวลาจิบชาครึ่งถ้วย
สตินึกคิดของจ้าวเฟิงกลับมากระจ่างชัด เขาส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจยาว
เมื่อมาถึงระดับขอบเขตของเขาในวันนี้ ผลลัพธ์ของสุราเซียนมายาต่างชั้นกว่าครั้งแรก และผลของมันก็น้อยนิดอย่างยิ่ง
การรับรู้เมื่อครู่ สำนึกรู้ในจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงก็เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ทว่าสำนึกรู้ในจิตวิญญาณอยู่ในกระบวนการเข้าใกล้ขอบเขตปราณเทวะอย่างสมบูรณ์ ถึงจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยากอย่างยิ่ง
“การรับรู้ที่ข้ามีต่อสำนึกรู้ในฟ้าดินน่าจะเกินระดับขั้นราชันส่วนมากไปแล้ว” จ้าวเฟิงผงกศีรษะน้อยๆ
คิดๆ ดูแล้ว มีเพียงจักรพรรดิปราณเทวะที่สมบูรณ์เท่านั้นถึงจะสามารถกดข่มจ้าวเฟิงในด้านสำนึกรู้ได้
หลังจากที่สำนึกรู้เพิ่มขึ้น ความเร็วในการฝึกตนของจ้าวเฟิงก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
เดือนสองเดือนต่อจากนั้น พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เสียดายก็เพียงแต่ ทรัพยากรที่สามารถกระตุ้นให้เพิ่มพลังในมือนับวันยิ่งน้อยลงไปทุกที
ในเดือนที่สี่หลังเดินทางออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์โจรสลัด จำนวนปราณที่แท้จริงของจ้าวเฟิงก็ไปจนถึงขีดสุดของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดช่วงสุดยอด
ต่อจากนี้จ้าวเฟิงก็อาจสามารถทะลวงผ่านไปยังขอบเขตปราณเทวะได้ทุกเมื่อ
“เพิ่มระดับขึ้นเป็นราชัน ถึงแม้ไม่สามารถทำให้พลังของข้าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ว่าส่วนแฝงในพลังฝึกตนของข้าก็จะลึกล้ำอย่างยิ่ง และไม่ยุ่งยากอีกต่อไป…” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ
ระดับความแข็งแกร่งของปราณที่แท้จริง ระดับขั้นดวงวิญญาณ สำนึกรู้ในจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะด้านใดๆ จ้าวเฟิงก็อยู่ในขอบเขตปราณเทวะทั้งสิ้น สิ่งที่เขาขาดไปก็คือจำนวนปราณที่แท้จริงเท่านั้น
การต่อสู้ครั้งใหญ่ของขั้นราชันในยามก่อน จ้าวเฟิงล้วนต้องรีบสู้และรีบเอาชนะให้เสร็จสิ้น ในทันทีที่ใช้เวลายาวนานก็จะทำให้พลังสำรองไม่เพียงพอ
ภายในห้องหัวหน้าเรือ
จ้าวเฟิงอยู่ห่างจากขอบเขตปราณเทวะเพียงแค่กำแพงบางๆ กั้น แต่ว่าทรัพยากรล้ำค่าที่สามารถใช้ได้ในมือของเขาล้วนถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว
ในวันนี้ จ้าวเฟิงปิดเปลือกตาลง แล้วปล่อยให้สตินึกคิดของเขาดำดิ่งลงไปในน้ำวนไร้รูปร่างที่ใจกลางทะเลวิญญาณสีม่วง
พรึ่บ!
จ้าวเฟิงเข้าไปภายในพื้นที่เก่าแก่ดั้งเดิมแห่งนี้อีกครั้ง
จนถึงในเวลานี้ แรงต่อต้านที่ห้วงฝันบรรพกาลมีต่อจ้าวเฟิงนับวันยิ่งน้อยลงไปทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่หลอมรวมสายเลือด ‘เผ่าพันธุ์เกล็ดมังกรเหมันต์’ ของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณเข้าไปแล้ว แรงต่อต้านก็ลดลงไปอย่างยิ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พลังรบที่จ้าวเฟิงจะสำแดงออกในห้วงฝันบรรพกาลนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก
ตุบ ตับ! ตุบ ตับ!
จ้าวเฟิงสาวเท้าเร็วๆ เหยียบลงบนพื้น ตรงดิ่งเข้าไปใกล้ป่าไม้ด้านหน้า
ผ่านไปสักพัก
ตุบ!
จ้าวเฟิงกระโดดเข้าไปภายในป่าไม้
ภายในป่ามีสัตว์อสูรเฉพาะที่ในห้วงฝันบรรพกาลจำนวนมากมาย อันตรายมีมากมายรอบด้าน
จ้าวเฟิงจึงเบิกเนตรเทพเจ้าเพื่อหลบหลีกสัตว์อสูรขนาดใหญ่ส่วนหนึ่งก่อน
ในตอนนี้ เลือดเนื้อของสัตว์อสูรธรรมดาหรือว่าน้ำพุก็ล้วนแต่ช่วยอะไรจ้าวเฟิงไม่ได้มากนัก
เขาต้องหาทรัพยากรใหม่!
หลังจากที่เข้าสู่ภายในป่าพฤกษาแล้ว ความเร็วของจ้าวเฟิงก็ค่อยๆ ลดลง
ในระยะเวลานี้ จ้าวเฟิงพบกับงูพิษสีดำตัวหนึ่ง เสือดาวทองตัวหนึ่ง และได้จัดการอย่างง่ายดายไร้ปัญหา
สำรวจอยู่ครึ่งค่อนวัน
จ้าวเฟิงสมดั่งใจปรารถนา มองเห็นต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ออกผล
บางทีอาจเป็นเพราะสภาพอากาศจึงทำให้ต้นไม้ในป่าต้นอื่นๆ ไม่ออกผล แม้แต่ใบไม้ยังเหลืองแห้งกรอบอยู่ส่วนหนึ่งด้วย
มีเพียงต้นไม้สูงเสียดฟ้าต้นนี้ที่มีกลิ่นอายไม่ธรรมดา มีผลไม้สีเหลืองอ่อนและสีแดงหลายสิบลูกขึ้นอยู่
แต่ว่าพื้นที่เวิ้งว้างในละแวกของต้นไม้ใหญ่กลับมีกลิ่นอายที่ทำให้คนกระวนกระวายใจ
………………………………………….
[1] หมายถึง เคราะห์ซ้ำกรรมซัด