บทที่ 727 ยึดครองพื้นที่
ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป จ้าวเฟิงได้ย่างก้าวสู่ระดับขั้นของขอบเขตปราณเทวะอย่างสมบูรณ์แล้ว
ถ้าหากเขาไม่จงใจเก็บงำกลิ่นอาย ปราณที่แท้จริงและสำนึกรู้ในตนเองจะทะลวงผ่านไปมาในอากาศ และจะสอดประสานกับฟ้าดินอยู่ทุกเวลา
นี่คือเหตุผลว่าทำไมราชันปราณเทวะส่วนหนึ่งล้วนแต่ปกคลุมด้วยแสงจากพลังมหาศาลของฟ้าดิน ในทุกการกระทำยังมีพลังอยู่ในนั้นไม่มีสิ้นสุด
“ขอแสดงความยินดีกับนายท่าน!”
เจ้าหอโครงกระดูกและเด็กน้อยครึ่งเซียนต่างพากันแสดงความยินดี
สีหน้าของทั้งสองล้วนมีความรู้สึกสับสนปนเป
ที่ต่างกันก็คือ ความเคารพนบนอบที่เจ้าหอโครงกระดูกแสดงออกมาจากใจจริง ถึงกระทั่งมีความศรัทธาฉายออกมาด้วย
การเติบโตราวปาฏิหาริย์ในแต่ละก้าวของจ้าวเฟิง เขาได้เห็นเองกับตา
ราชันในขอบเขตปราณเทวะ หากเป็นที่ทวีปบุปผาครามนั่นคือยอดฝีมือที่อยู่ในบันทึกตำนานเรื่องเล่า ถึงจะเป็น ‘จ้าวลัทธิจันทราชาด’ ในอดีต ก็ทำได้เพียงแค่แตะขอบเขตปราณเทวะเพียงผิวเผินเท่านั้น
หรือจะพูดได้ว่า การฝึกตนในตอนนี้ของจ้าวเฟิง หากเป็นที่ทวีปบุปผาครามก็จะเป็นผู้อาวุโสที่ไร้เทียมทาน ไม่ต้องพูดถึงพลังที่แท้จริงของเขาเลย
เด็กน้อยครึ่งเซียนเองก็ประหลาดใจในการเติบโตอันรวดเร็วราวติดปีกของจ้าวเฟิง ในใจยิ่งเกิดความอิจฉาและกดดันเพิ่มมากขึ้น
“คุนอวิ๋นน้อย พลังฝึกตนของเจ้าก็ห่างจากขั้นราชันปราณเทวะไม่มากแล้ว…”
สายตาของจ้าวเฟิงกวาดมองไปที่เด็กน้อยครึ่งเซียน
‘การฟื้นฟู’ พลังของเด็กน้อยครึ่งเซียนต้องพึ่งพาทรัพยากรเป็นที่สุด
ถ้าหากว่าไม่ขาดแคลนทรัพยากร เด็กน้อยครึ่งเซียนน่าจะทะลวงผ่านไปถึงราชันปราณเทวะเร็วกว่าจ้าวเฟิงเสียอีก
แววตาของจ้าวเฟิงก่อให้เกิดความรู้สึกบีบคั้นที่ไร้ซึ่งรูปร่างแก่เด็กน้อยครึ่งเซียน
ในเวลานี้ ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงหรือกระทั่งปราณที่แท้จริงล้วนแต่อยู่เหนือเด็กน้อยครึ่งเซียนขั้นหนึ่ง
มีเพียงสิ่งเดียวที่ด้อยกว่าก็คือสำนึกรู้
ก่อนที่เด็กน้อยครึ่งเซียนจะตายก็เป็นถึงครึ่งเซียน ถึงไม่ได้ฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ในตอนนี้ สำนึกรู้ก็ยังอยู่เหนือกว่าจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะ
ในห้องหัวหน้าเรือ จ้าวเฟิงหลับตาลงและฝึกบำเพ็ญตน
เด็กน้อยครึ่งเซียนกลับเข้าไปในแหวนเหล็กโบราณด้วยความกลัดกลุ้มใจอยู่เล็กน้อย
เขาค้นพบได้ไม่ยากว่า การทะลวงผ่านระดับในครั้งนี้ของจ้าวเฟิงได้อาศัยพลังของสมบัติล้ำค่าชั้นยอด
เนื่องจากขีดจำกัดของทรัพยากร ทำให้เด็กน้อยครึ่งเซียนต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีถึงจะทะลวงผ่านขั้นราชันได้
นี่เป็นเพราะสัญชาตญาณและความระมัดระวัง จ้าวเฟิงจึงคอยควบคุมระดับของเด็กน้อยครึ่งเซียนให้อยู่พอๆ กับตนเอง
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถควบคุมอีกฝ่ายได้ และในเวลาเดียวกันยังใช้ประโยชน์ได้สูงสุดด้วย
ไม่กี่วันต่อมา
จ้าวเฟิงปิดด่านฝึกบำเพ็ญตน ถึงแม้ว่าเขาจะยืมพลังจากภายนอกมาใช้เพื่อทะลวงผ่าน แต่ว่าสำนึกรู้ของตนเองและระดับขั้นดวงวิญญาณได้ไปถึงขอบเขตปราณเทวะนานแล้ว
หลังจากเลื่อนขั้นเป็นราชัน พลังของจ้าวเฟิงก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายนัก
จำนวนปราณที่แท้จริงของเขาเพียงแค่เพิ่มขึ้นมาก แต่ว่าระดับความแข็งแกร่งพัฒนาขึ้นไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในจุดนี้ได้คาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว
แต่ว่าส่วนแฝงในพลังของจ้าวเฟิงก็ลึกล้ำมากยิ่งขึ้น
จ้าวเฟิงมั่นใจในตนเอง ด้วยพลังของตนในตอนนี้ คนในขั้นต่ำกว่าจักรพรรดิไม่อาจต่อกรเขาได้ เมื่อบวกกับสายเลือดดวงตาแล้ว น่าจะทำให้สามารถประมือกับจักรพรรดิได้ด้วยซ้ำ
ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับ ‘ราชันอินหยาง’ อีก ต่อให้เป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว จ้าวเฟิงก็ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย
สิบวันต่อมา
ความตั้งใจหลักของจ้าวเฟิงจดจ่ออยู่ที่การดูดซึมพลังอัสนีเทวะ และฝึกฝนมรดกวายุอัสนีให้เพิ่มขึ้นไปอีกขั้น
วิชาเหล่านี้ล้วนแต่สามารถเพิ่มระดับพลังได้โดยตรง
การดูดซึมพลังอัสนีเทวะ ขอเพียงแค่จ้าวเฟิงมีเวลาว่างก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ
ในมิติดวงตาซ้าย กะโหลกเทวะค่อยๆ ลอยขึ้นมา ไม่นานนักก็เข้าใกล้ขอบของทะเลวิญญาณสีม่วง
จ้าวเฟิงใช้ ‘เคล็ดวิชาผลาญอัสนี’ รูปแบบดวงวิญญาณ ดูดซึมพลังอัสนีเทวะของกะโหลกนั้น
โครม ครืน! ในจิตใต้สำนึกและวิญญาณเกิดเสียงสายฟ้าดังกึกก้อง สาดซัดกลิ่นอายอัสนีเทวะที่ไม่มีวันสูญสลายออกไป
ในตอนนี้ พลังดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงมีแรงต้านทานค่อนข้างแข็งแกร่งต่อการโจมตีเล็กๆ น้อยๆ ของอัสนีเทวะ
หลังจากที่ดูดซึมพลังอัสนีเทวะหลายเส้นสายแล้ว ดวงวิญญาณของเขายังได้รับการชะล้างด้วย
ในระหว่างการดูดซึมอัสนีเทวะ ดวงวิญญาณและพลังของจ้าวเฟิงได้รับการเสริมสร้างให้แกร่งกล้าขึ้น ซึ่งผลลัพธ์นี้ดีกว่าที่คาดไว้มาก
เวลาดำเนินผ่านไป
ต่อมาไม่กี่วัน จ้าวเฟิงดูดซึมพลังอัสนีเทวะที่เล็กละเอียดได้ อีกทั้งเขายังใช้ ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ แบ่งหนึ่งห้วงความคิดไปทำหลายอย่างพร้อมกัน
ดูดซึมอัสนีเทวะ ขัดเกลาพลังดวงวิญญาณ นี่เป็นการฝึกตนที่ต้องทำในทุกวัน
ส่วนห้วงความคิดอื่นของจ้าวเฟิงก็ใช้ไปกับการฝึกฝน ‘มรดกวายุอัสนี’ ให้พัฒนาอีกขั้น รวมไปถึงการศึกษาและค้นคว้าวิชาปีกวายุอัสนี
ทุ่มเทตั้งใจในการฝึกเช่นนี้ ทำให้เวลาสามสี่เดือนผ่านไปเร็วราวกะพริบตา
ภายในห้องหัวหน้าเรือ กลิ่นอายที่สาดซัดออกมาจากร่างของจ้าวเฟิงจะน่ากลัวยิ่งขึ้นในบางครั้ง
ทะเลวิญญาณสีม่วง
จ้าวเฟิงที่ดูดซึมพลังอัสนีเทวะขนาดเล็กไปได้เจ็ดสิบถึงแปดสิบส่วน อีกทั้งปริมาณของมันมีมากกว่าตอนที่อยู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์โจรสลัดถึงยี่สิบสามสิบเท่า
“พลังอัสนีเทวะขนาดเล็กมีทั้งหมดเจ็ดสิบแปดส่วน”
ในทะเลวิญญาณสีม่วงของจ้าวเฟิง ปรากฏพลังอัสนีเทวะขึ้นเจ็ดสิบแปดส่วนอย่างชัดเจน
พลังอัสนีเทวะเหล่านั้นไร้รูปร่างไร้ร่องรอย ไม่มีวันดับสูญ และยังมีกลิ่นอายยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใดในใต้หล้า
เมื่อสำรวจมองอย่างละเอียดแล้ว ในทะเลวิญญาณสีม่วงมีตราประทับลายอัสนีโบราณที่แปลกประหลาดเจ็ดสิบแปดสิบเส้นกระจายอยู่ทั่ว มันเปล่งแสงสลัวๆ กลิ่นอายลึกล้ำ ซ้ำยังสอดประสานกันราวกับเป็นวงจร
วิ้ง โครม!
จ้าวเฟิงโคจร ‘ วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ระลอกพลังดวงวิญญาณส่งผลกระทบต่อพลังอัสนีเทวะเจ็ดแปดสิบส่วนนั้น ทำให้เกิดอัสนีเทวะขนาดเล็กลอยละลิ่วขึ้นมาไม่หยุด พร้อมทั้งขัดเกลาดวงวิญญาณของตน
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง จ้าวเฟิงใช้สิ่งนี้เป็นจุดศูนย์กลาง ฝึกฝนเสวียนอ้าวอัสนีเทวะ และหลอมรวมมันเข้าไปภายในแก่นผลึกตรงจุดตันเถียน
ภายในแก่นผลึกนั้น พื้นที่ของปราณที่แท้จริงปั่นป่วนรุนแรงราวทะเลสาบ แล้วค่อยๆ ปลดปล่อยกลิ่นอายอัสนีเทวะที่ควบคุมสรรพสิ่งนับหมื่นได้ออกมา
ระดับความเข้าใจในวายุอัสนีพิฆาตสีชาดของจ้าวเฟิงใกล้จะเต็มสิบส่วนบริบูรณ์โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว!
วายุอัสนีพิฆาตสีชาดเป็นเหมือนเมฆสายฟ้าที่กำลังเผาไหม้ บริเวณพื้นผิวของมันเปล่งแสงสีทองจางๆ
“ต่อจากวายุอัสนีพิฆาตสีชาด ก็คือวายุอัสนีสีทอง! ทว่าพลังวายุอัสนีของข้าอยู่เหนือกว่าความคาดหมายของจักรพรรดิวายุอัสนีไปแล้ว” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำในใจ
กลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาลหลอมรวมกับเสวียนอ้าวอัสนีเทวะ ทำให้พลังวายุอัสนีของเขาไปไกลกว่าขอบเขตศาสตร์อัสนีโดยทั่วไป
“นายท่าน!” เสียงเด็กน้อยครึ่งเซียนดังขึ้นโดยพลัน
หืม?
จ้าวเฟิงเปิดเปลือกตาขึ้น แล้วจึงทอดสายตามองไปยังข้างกาย เด็กน้อยครึ่งเซียนดูออกจะกระตือรือร้น
“เรื่องเป็นแบบนี้ มีกองกำลังโจรสลัดที่เก่งกล้าในละแวกใกล้เคียงนี้ ข้าอยากจะปล้นพวกมันและฉกชิงเอาทรัพยากรส่วนหนึ่งมา” เด็กน้อยครึ่งเซียนกล่าว
ห้วงความคิดของจ้าวเฟิงกวาดผ่าน แล้วจึงค้นพบกองกำลังโจรสลัดหลายกลุ่มตามนั้น ทุกกลุ่มอย่างน้อยๆ จะมีครึ่งก้าวสู่ราชันควบคุมอยู่
“นายท่าน ข้าจะรีบจัดการให้จบ จะไม่ให้การเดินทางล่าช้าแน่นอน”
เด็กน้อยครึ่งเซียนเอ่ยขอร้อง
จ้าวเฟิงเข้าใจว่าเด็กน้อยครึ่งเซียนขาดแคลนทรัพยากรที่จะนำมาใช้เพื่อฟื้นฟูพลังฝึกตน
“ไปเถอะ” จ้าวเฟิงโบกมือ ไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด
ในระยะนี้เขาไม่ได้มอบทรัพยากรล้ำค่าให้เด็กน้อยครึ่งเซียน แต่ว่าอย่างไรก็คงไม่อาจขัดขวางไม่ให้อีกฝ่ายไปเก็บเกี่ยวทรัพยากรได้
สวบ!
เรือหุ่นเชิดศพที่อยู่กลางทะเลหมอกความว่างเปล่า ความเร็วไม่ลดลง ยังคงโบยบินไปเรื่อยๆ
ที่ต่างไปก็คือ เด็กน้อยครึ่งเซียนออกจากเรือหุ่นเชิดศพไป
ถัดจากนั้น จ้าวเฟิงก็ได้เห็นการรบราฆ่าฟันครั้งใหญ่
ยามอยู่เบื้องหน้าเด็กน้อยครึ่งเซียน กองกำลังโจรสลัดเหล่านั้นไม่มีโอกาสได้ลงมือคืนเลยด้วยซ้ำ
โครม!
เด็กน้อยผิวพรรณสีทองอายุสามสี่ขวบปล่อยหมัดออกไป ทำลายเรือโจรสลัดทั้งลำจนแตกระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ใช้เพียงชั่วเวลาจิบชาครึ่งถ้วย
เด็กน้อยครึ่งเซียนก็ใช้พลังของตนเองเพียงคนเดียวทำลายกองกำลังโจรสลัดไปหลายกลุ่ม
“ถึงทรัพยากรเหล่านี้จะไม่ได้อยู่ในระดับสูง แต่ว่าก็ยังดีกว่าไม่มีเลย”
เด็กน้อยครึ่งเซียนจัดแจงเก็บของที่ได้จากการต่อสู้
พรึ่บ!
ต่อมาเขาจึงกลายร่างเป็นลำแสงสีทอง แล้วโบยบินตามหลังเรือหุ่นเชิดศพไป
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ไม่ได้กินเวลาของเรือหุ่นเชิดศพเลย
หลังจากนั้น จ้าวเฟิงไม่ได้ขัดขวางการกระทำเช่นนี้แต่อย่างใด
แต่เขาเอ่ยเตือนเด็กน้อยครึ่งเซียนว่าห้ามอยู่ห่างตนเกินรัศมีหมื่นลี้
ในความเป็นจริงแล้ว จ้าวเฟิงเองก็ยังขาดทรัพยากรในการฝึกตนอยู่เช่นกัน
หลังจากเลื่อนขึ้นเป็นราชันแล้ว ก็ยิ่งขาดแคลนทรัพยากรและสมบัติล้ำค่าหนักมากยิ่งขึ้น
ราชันปราณเทวะเหล่านั้นมีอายุขัยยืนยาวหลายพันปี ในทุกการพัฒนาขั้นเล็กๆ ก็ล้วนแต่ต้องการทรัพยากรจำนวนมหาศาล
จ้าวเฟิงเข้าไปภายในห้วงฝันบรรพกาลในวันนี้อีกครั้งหนึ่ง
เขาเข้าไปภายในป่าเหมือนกับครั้งก่อน
เป้าหมายก็ยังคงเป็น ‘ผลไม้จิตวิญญาณ’ บนหอคอยพฤกษาที่ส่วนลึกในป่า
จ้าวเฟิงมาในครั้งนี้ จำนวนของผลไม้จิตวิญญาณบนหอคอยพฤกษาน้อยลงไปหลายผล
บนร่างของงูเหลือมยักษ์นั่นมีร่องรอยบาดแผลเพิ่มขึ้นบางส่วน
คาดเดาได้ไม่ยากว่าในห้วงฝันบรรพกาลแห่งนี้น่าจะยังมีสัตว์อสูรส่วนหนึ่งอีก
จ้าวเฟิงเบิกเนตรเทพเจ้าเพื่อตรวจตรารอบกาย รวมไปถึงสภาพแวดล้อมบนท้องฟ้า
และเป็นไปอย่างที่คาด จ้าวเฟิงมองเห็นนกอสูรโบราณตัวนั้น บนปีกสองข้างของมันมีรอยแผลปรากฏอยู่และยังไม่หายสนิท
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ผลไม้จิตวิญญาณบนต้นย่อมต้องน้อยลงไปทุกวัน”
จ้าวเฟิงขมวดคิ้วมุ่น ดำดิ่งลงไปในห้วงความคิด
เขาสามารถสังหารสัตว์อสูรได้สองตัว สำหรับจ้าวเฟิงในตอนนี้แล้วไม่ได้ยากเย็นอะไรมากนัก
แต่ว่าผลไม้สองส่วนในสามส่วนบนต้นไม้ใหญ่ยังคงดิบอยู่ อีกนานนักถึงจะสุก
ผลไม้สีเขียวเหล่านั้นน่าจะยังสุกไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนเลยด้วยซ้ำไป
ผลไม้ที่จ้าวเฟิงกินไปในคราวก่อนผลหนึ่งยังสุกอยู่ประมาณเจ็ดส่วน จึงยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ห้วงความคิดส่วนหนึ่งของจ้าวเฟิงปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“เอาละ เช่นนั้นเลือกพวกเจ้าก็แล้วกัน”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดผ่านงูเหลือมยักษ์และนกอสูรโบราณ
จิตวิญญาณของสัตว์อสูรโบราณทั้งสองตัวหนาวสั่นอย่างประหลาด
จ้าวเฟิงเลือกนกอสูรโบราณเป็นเป้าหมายแรกของเขา เพราะว่านกอสูรโบราณปราดเปรียวคล่องแคล่ว สามารถมองได้กว้างไกล จ้าวเฟิงกังวลว่าในยามที่ประมือกับงูเหลือมยักษ์ อาจโดนนกยักษ์ตัวนี้ลอบโจมตีได้
ฟิ้ว!
จ้าวเฟิงบินออกไปนอกเขตป่าอย่างเงียบงัน ดวงตาข้างซ้ายเล็งเป้าหมายไปที่นกอสูรโบราณ
จิตวิญญาณของนกอสูรโบราณสั่นสะท้าน สัมผัสได้ถึงอันตราย มันรู้สึกได้ถึงความเป็นศัตรูจากจ้าวเฟิง จึงกรีดร้องเสียงแหลม โผทะยานเข้าไปหา
“เพลิงเนตรล้างผลาญ!” ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงปรากฏระลอกแสงสีชาดที่มีแสงสีทองผุดขึ้นรำไร
พู่ว โครม!
นกอสูรโบราณยังโบยบินมาไม่ถึง ก็ถูกวายุอัสนีสีชาดกึ่งโปร่งแสงกลุ่มหนึ่งโจมตีจนตั้งตัวรับมือไม่ทัน
เพลิงเนตรล้างผลาญแฝงไปด้วยแก่นสำคัญของเปลวเพลิงในวายุอัสนีพิฆาตสีชาด ซึ่งเอาเสวียนอ้าวอัสนีเทวะหลอมรวมเข้าไปด้วย
นกอสูรโบราณถูกโจมตีเข้าไปจนมึนหัวตาลาย เพียงแค่กระบวนท่าโจมตีของเพลิงเนตรนี้ ก็ทำให้ร่างกายและวิญญาณของนกอสูรโบราณถูกเปลวไฟโจมตีอย่างรุนแรง บนปีกยังมีรอยไหม้หลงเหลืออยู่
“ตราผนึกดวงใจทมิฬ!”
จ้าวเฟิงอาศัยโอกาสตอนที่เจ้านกตัวนี้สับสนงุนงงและลนลานเพราะเจ็บปวด ปลดปล่อยวิชาดวงตาวิญญาณต้องห้ามออกมา
ในบริเวณกลางอากาศ
นกอสูรโบราณที่กำลังดิ้นรนไปมาหยุดการต่อต้าน แล้วเผยท่าทีว่านอนสอนง่าย จากนั้นบินร่อนลงไปยังเบื้องหน้าของจ้าวเฟิง
“สำเร็จแล้ว” จ้าวเฟิงยิ้มออกมาน้อยๆ
หลังจากนั้นเขาจึงนำนกอสูรโบราณเข้าไปใกล้งูเหลือมยักษ์ที่อยู่แถวหอคอยพฤกษา
ฟ่อ!
เมื่อเจ้างูเหลือมยักษ์เห็นจ้าวเฟิงกับนกอสูรโบราณพร้อมใจกันใกล้เข้ามา ก็ขู่ฟ่อด้วยความตกใจและตื่นตัว
“ไป!”
จ้าวเฟิงสั่งนกอสูรโบราณให้ไปโรมรันกับงูเหลือมยักษ์
แล้วเขาจึงใช้กระบวนท่าหนามจิตวิญญาณลอบโจมตีจากที่ไกลๆ ทำลายไอวิญญาณของงูเหลือมยักษ์จนบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะประสบความสำเร็จในการประทับ ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’
เช่นนี้แล้ว ภายในอาณาเขตป่าไม้ผืนนี้ สัตว์อสูรระดับสูงสองตัวถูกจ้าวเฟิงจับเป็นทาสรับใช้สำเร็จ
จ้าวฟิงถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้นกอสูรและงูยักษ์เฝ้าพฤกษาสูงใหญ่ ไม่ปล่อยให้สิ่งมีชีวิตใดๆ เข้ามาใกล้
“ทั้งหมดมียี่สิบแปดผล”
จ้าวเฟิงนับจำนวน ผลไม้จิตวิญญาณเหล่านี้มีไม่มากแล้ว
ในนั้นมีผลไม้ดิบอยู่สองในสามส่วน มีส่วนที่เกือบจะสุกอยู่เจ็ดผลแปดผล
จ้าวเฟิงเด็ดเอาผลไม้จิตวิญญาณสองผลที่สุกไปแล้วเจ็ดแปดเก้าส่วนมา
หลังจากนั้น จ้าวเฟิงจึงเริ่มสืบความจากวิญญาณของ ‘นกอสูรโบราณ’ เขาอยากจะทำความเข้าใจมิติห้วงฝันบรรพกาลให้มากขึ้นผ่านทางนกตัวนี้