Skip to content

King of Gods 737

King Of Gods

บทที่ 737 ของขวัญ

ดินแดนหมู่เกาะกู่ชิง ทวีปบุปผาคราม

ดินแดนทางเหนือภายในอาณาเขตของอาณาจักรนภา หอคอยหกเหลี่ยมสีดำสนิทตั้งตระหง่านภายในหุบเขาลึก

หอคอยหกเหลี่ยมเก่าแก่ลึกลับที่สูงถึงสี่สิบเก้าชั้นถูกพลังมืดสลัวเกินจะคาดเดาปกคลุมเอาไว้

นี่คือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในตำนานของมรดกศาสตร์โชคชะตาบนทวีปบุปผาคราม…หอคอยลิ่วอู

ในเวลานี้เอง

บนยอดของหอคอยลิ่วอูชั้นที่สี่สิบเก้า ผู้เฒ่าอาวุโสร่างสูงใหญ่ยืนเอามือไพล่หลัง มองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดารา

ผู้เฒ่าคนดังกล่าวสวมชุดสีดำมืดมิดราวม่านราตรี ดวงตาทั้งสองข้างดูเหมือนเลือนราง แต่กลับส่องประกายลึกล้ำดุจดวงดาวเต็มผืนฟ้า เผยแววชาญฉลาดและมากประสบการณ์อย่างไร้ขอบเขตออกมา

เมี้ยว~

เสียงร้องของแมวที่ยืดยาวและประหลาดแทรกซึมผ่านอากาศ

เห็นเพียงแมวตัวใหญ่สีเทาดำท่าทางเกียจคร้าน พิงอยู่ที่มุมของกำแพงพลางหาวออกมา

“นักปราชญ์ ท่านอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ แล้ว”

เบื้องหลังของปราชญ์ลิ่วอูปรากฏเงาหลายร่างยืนอยู่

ที่อยู่ใกล้เคียงเป็นนักบวชหญิงที่งดงามราวจันทรากับผู้เฒ่าเคราขาวผู้หนึ่ง

“ฉินซิน…เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ และก็มิได้ทำลายความหวังที่อาจารย์แม่มีต่อเจ้า การแก้ไขชะตาชีวิต นับแต่โบราณมามีน้อยคนนักจะทำได้”

ปราชญ์ลิ่วอูมีสีหน้าชื่นชม นัยน์ตาลึกล้ำของเขาคู่นั้นเหมือนทะลุข้ามมิติมากมาย ทิศทางที่มองไปคือตำหนักฟั่นหลุนกู่อินพอดี

วิ้ง!

ทันใดนั้น อากาศเหนือหอคอยลิ่วอูเกิดแสงสีเงินสว่างระยิบระยับปกคลุมไปบนร่างของปราชญ์ลิ่วอู

เมี้ยว~ แมวขี้เกียจตัวใหญ่กระตือรือร้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความรอคอย

“ฉินซิน? หลิวฉินซิน!” เบื้องหลังของปราชญ์ผู้นั้น พวกของนักพรตหญิงและชายชราหนวดขาวต่างพากันหน้าถอดสี

ในห้วงความทรงจำ

หลิวฉินซินมิได้ติดอยู่ในมรดกต่างแดนหรอกหรือ?

สำหรับความเป็นตายของหลิวฉินซิน ปราชญ์ลิ่วอูสรุปไว้นานแล้วว่า ‘โชคร้ายมากกว่าดี’

“หลิวฉินซิน…เป็นไปได้อย่างไรกัน!” สตรีผู้สูงศักดิ์ใบหน้าสะสวยและรูปร่างสมบูรณ์ ไม่รู้ปรากฏกายขึ้นในชั้นที่สี่สิบเก้าของหอคอยลิ่วอูตั้งแต่เมื่อใด

สตรีผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นยอดหญิงงาม ใบหน้างดงามพิสุทธิ์เหนือผู้ใด ทุกรอยยิ้มและสีหน้าล้วนแต่มีพลังที่สามารถเย้ายวนทุกคนในใต้หล้าได้

ผู้มาเยือนก็คือฉินหวางเฟย ลูกศิษย์หญิงของปราชญ์ลิ่วอู

“เมื่อห้าหกปีก่อน อาจารย์ได้ข้อสรุปนานแล้วไม่ใช่หรือว่าหลิวฉินซินตายไปแล้ว?”

ใบหน้าฉินหวางเฟยเต็มไปด้วยความสงสัยและตกใจ สีหน้าสับเปลี่ยนไปมาจนยากจะคาดเดา

ในความเป็นจริงแล้ว การที่ปราชญ์ลิ่วอูได้ข้อสรุปว่า ‘โชคร้ายมากกว่าดี’  ในยามก่อน ก็ยืนยันความตายของหลิวฉินซินได้แล้ว

แต่ว่าเมื่อพิจารณาจากเรื่องราวต่างๆ ปราชญ์ลิ่วอูจึงเปิดเผยเรื่องความเป็นความตายของหลิวฉินซิน

“ท่านอาจารย์ ท่านสรุปไว้นานแล้วไม่ใช่หรือว่าหลิวฉินซินตายไปแล้ว แล้วจะแก้ไขโชคชะตาได้อย่างไรกัน?”

ฉินหวางเฟยเอ่ยถามอย่างสำรวม

ปราชญ์ลิ่วอูรับศิษย์หญิงทั้งหมดสามคน แบ่งเป็นรับมรดกศาสตร์โชคชะตา มรดกศาสตร์มนต์เสน่ห์ และมรดกศาสตร์ดนตรี

หนึ่งในนั้น ถึงแม้ว่าฉินหวางเฟยเป็นเพียงผู้เดียวที่รอดชีวิตมาได้ แต่ว่านางเป็นผู้ที่ถูกมองข้ามมากที่สุดในบรรดาลูกศิษย์สามคน

ศิษย์ในศาสตร์โชคชะตาเป็นศิษย์ที่นักปราชญ์โปรดปรานที่สุด รองลงมาจึงเป็นลูกศิษย์แห่งศาสตร์ดนตรี

เสียดายก็แต่ลูกศิษย์หญิงทั้งสองคนนี้ล้วนต้องจ่ายค่าตอบแทนราคาสูงเพื่อแก้ไขดวงชะตาของหลิวฉินซิน นั่นก็คือความตายของพวกนาง หลินหวางเฟยเป็นส่วนผลักดันเล็กๆ ก็เท่านั้น

“จุดสิ้นสุดของจุดจบคือการเริ่มต้น ความตายก็หมายถึงการเกิดใหม่ด้วยเช่นกัน” ปราชญ์ลิ่วอูเอ่ย

นัยน์ตาที่พร่าเลือนฉายประกายกระจ่างสดใส เผยแววปีติและรักใคร่ออกมา

คนที่อยู่ภายในยอดหอคอยหน้าเปลี่ยนสีไปตามๆ กัน

ปราชญ์ลิ่วอูในภาพจำแสดงสีหน้าเช่นนี้ให้เห็นน้อยครั้งนัก

“เกิดใหม่? หรือว่า…” นักบวชหญิงและผู้เฒ่าเคราขาวใจเต้นระรัว

ในเวลานั้น คนทั้งหลายจึงคาดเดาถกเถียงกันไปต่างๆ นานา

“นางผู้ลึกซึ้งในวัฐจักรของเทพผู้สร้าง หลุดพ้นออกจากกรอบของชะตาชีวิตในชาตินี้ เจ็ดปีที่แล้วเมล็ดพันธุ์แห่งการเกิดใหม่นั้นค่อยๆ แตกหน่อเบ่งบาน เจริญเติบโตอย่างงดงาม และกำลังจะออกผล…”

ใบหน้าของปราชญ์ลิ่วอูยิ่งยิ่งสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ

เหล่ายอดฝีมือในศาสตร์โชคชะตาทางด้านหลัง มีน้อยคนนักที่คล้ายตกอยู่ในห้วงความคิดของตน

“ฉินซิน ที่เจ้ามาในครั้งนี้มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?” ปราชญ์ลิ่วอูหันตัวกลับมา และเขาก็ไม่พูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับ ‘หลิวฉินซิน’ อีก

“ท่านอาจารย์ ในวันนี้ลัทธิมารจันทราชาดกลับมารุ่งโรจน์ขึ้นอีกครั้ง ทั้งยังตอบโต้กลับมาที่ทวีป อันตรายเป็นอย่างยิ่ง เจ้าลัทธิจันทราชาดแข็งแกร่งกว่าใครในใต้หล้า ได้ยินมาว่าในระยะนี้กำลังปิดผนึกฝึกตนเพื่อเตรียมทะลวงผ่านขั้นราชันในขอบเขตปราณเทวะ…” ฉินหวางเฟยเอ่ย

ในระยะหลายปีที่ผ่านมา ขั้วอำนาจของลัทธิมารจันทราชาดกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และจะโจมตีทวีปกลับ

สหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์และสิบยอดสำนักทุ่มเทกำลังกดดัน แต่กลับไม่สามารถยับยั้งสถานการณ์ได้

“นักปราชญ์ ท่านต้องช่วยเหลือสรรพชีวิตในทวีปได้อย่างแน่นอน” บรรดาคนด้านหลังเอ่ย

ในแววตาของฉินหวางเฟยมีประกายคาดหวังรอคอย

อาณาจักรนภาที่นางอยู่ก็โดนคุกคามจากลัทธิมารจันทราชาดเช่นกัน

ส่วนลัทธิโลหะเลือดก็ฉวยโอกาสในครั้งนี้เข้าควบคุม และเป็นผู้นำขั้วอำนาจของทั้งอาณาจักรในการรับมือกับลัทธิมาร

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร ทวีปบุปผาครามเป็นถึงดินแดนที่รวบรวมผู้คนมากความสามารถเอาไว้…”

ปราชญ์ลิ่วอูยิ้มแย้มออกมา เขาไม่เอ่ยอะไรต่อ แล้วกลับไปปิดผนึกฝึกตนตามเดิม

ฉินหวางเฟยถอนหายใจยาว บนใบหน้ามีแววดื้อรั้นอยู่เล็กน้อย

เมี้ยว~

เจ้าแมวขี้เกียจตัวใหญ่เหลือบมองนางด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนิดๆ ก่อนจะออกวิ่งเบาๆ แล้วหายตัวไป

กลุ่มดินแดนเฉียนเซิ่ง

บนดินแดนรกร้างขนาดเล็กที่ไอสวรรค์เบาบางแห่งหนึ่ง

ดินแดนขนาดเล็กแห่งนี้เป็นทะเลสาบเวิ้งว้างที่มีขนาดไม่ถึงหนึ่งในห้าของหุบเขาปาฮวง

ในเวลาดังกล่าว

บนผิวน้ำของทะเลสาบมีเรือสำเภาสีทองมรณะลำหนึ่งลอยล่อง มันเปล่งระลอกแสงสีม่วงประหลาดออกมา

องครักษ์แห่งความตายสองคนเฝ้าด้านหน้าและด้านหลังของเรือเอาไว้

“กลุ่มดินแดนเฉียนเซิ่ง สำนักแห่งศาสตร์ดนตรี ไม่คิดเลยว่าจะเป็นที่นี่…”

เงาดำสูงใหญ่ราวกับเทพมรณะปรากฏบนเรือ ข้างกายเขายังมีเด็กน้อยนัยน์ตาขาวโพลนอีกคน

เด็กน้อยนัยน์ตาขาวโพลนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วนัก ในดวงตาสีขาวมีกลิ่นอายของพลังดวงตาที่ลึกล้ำดำมืดแล้วยังมีพลังที่ลี้ลับจนไม่อาจจะสัมผัสได้

“อาจารย์ สำนักที่มีคำว่า ‘พิณ’ อยู่ในชื่อเป็นที่ที่เป้าหมายสังหารอยู่” เด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลนเอ่ย

นางในวันนี้เรือนร่างแบบบางอ้อนแอ้น วงหน้าสะสวยงดงาม แต่กลับมีบุคลิกลักษณะผิดแผกไปจากเด็กหญิงธรรมดาทั่วไป

“สำนักที่มีคำว่า ‘พิณ’ งั้นรึ  เหอะๆ นี่ทำให้ข้านึกถึงสำนักเก่าแก่ที่ยิ่งใหญ่แห่งศาสตร์ดนตรีแห่งหนึ่ง”

รอยยิ้มที่มุมปากของจักรพรรดิแห่งความตายค่อยๆ เย็นเยียบลง

ตำหนักเซียนพิณสวรรค์!

นี่ทำให้เขานึกถึงบุญคุณความแค้นที่เป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ ส่วนหนึ่งในความทรงจำส่วนลึก

จักรพรรดิแห่งความตายพลันหวนนึกถึงความหลัง

ไม่ว่าช่วงชีวิตของจักรพรรดิคนใดก็ตาม ล้วนแต่สามารถเขียนเป็นบันทึกตำนานได้

จักรพรรดิแห่งความตายก็ไม่เป็นข้อยกเว้นด้วยเช่นกัน เส้นทางในการเติบโตของเขาไม่ได้ราบรื่นนัก เต็มไปด้วยอุปสรรคต่างๆ มากมายและระลอกคลื่นลูกใหญ่ที่สาดซัดเข้ามา

น้อยคนนักจะรู้ว่าจักรพรรดิแห่งความตายเคยผ่านประสบการณ์เกิดใหม่มาแล้วสองครั้ง ถึงค่อยประสบความสำเร็จได้อย่างเช่นในวันนี้

ครั้งแรก เขาฝึกตนจนถึงราชันระดับสุดยอดอย่างยากเย็น ทั้งยังต้องการทะลวงผ่านไปยังจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะด้วย

ผลสุดท้าย เขาต้องเผชิญหน้ากับการร่วมมือโจมตีจากจักรพรรดิจำนวนมาก

นั่นเป็นเพราะว่าจักรพรรดิแห่งความตายมีปัญหากับคนมากมาย และมีเนตรมรณะซึ่งมีพลังแฝงยิ่งใหญ่

จักรพรรดิหลายคนเหล่านั้นร่วมมือกันสังหารจักรพรรดิแห่งความตาย

จักรพรรดิแห่งความตายผู้มีเนตรมรณะที่พิเศษอย่างยิ่ง ดวงวิญญาณของเขาหลบหนีไปจนประสบความสำเร็จในการถือกำเนิดใหม่อีกครั้ง

ครั้งที่สอง เขายิ่งโชคร้ายหนักเข้าไปอีก ถึงแม้เพิ่มระดับขึ้นเป็นจักรพรรดิแล้ว แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าสังหารของเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ

ในครั้งนี้เกือบจะทำให้ดวงวิญญาณเขาหลุดลอยออกไป

“การตายในครั้งที่สองของข้าเป็นเพราะโดนตามล่าสังหารจากเซียนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง ในช่วงเวลานั้นเองเหมือนจะได้รับความช่วยเหลือจากสำนักแห่งศาสตร์ดนตรี”

จักรพรรดิแห่งความตายนึกถึงเศษเสี้ยวความทรงจำที่ผ่านมายาวนานนั้น

ผ่านการถือกำเนิดใหม่ถึงสองครั้ง เขาจึงมีฝีมือที่สูงส่งดั่งเช่นในตอนนี้

ในวันนี้เขาอยู่ในขั้นจักรพรรดิระดับสุดยอด มีส่วนแฝงในพลังที่แกร่งกล้าซุกซ่อนเอาไว้ ชำนาญวิชาต้องห้ามมรณะที่น่ากลัวต่างๆ มากมาย ต่อให้เป็นเซียนในขอบเขตปราณเทวะก็ไม่ยินยอมมีปัญหากับเขาหรือลงมือโจมตีอย่างง่ายดาย

“ตำหนักเซียนพิณสวรรค์ เช่นนั้นก็จัดการพร้อมกันเลยแล้วกัน”

ดวงตาสีดำไร้ก้นบึ้งของจักรพรรดิแห่งความตายเผยแววเย็นชาและเจตนาสังหารออกมา

ทันทีที่เอ่ยจบ เงาของจักรพรรดิแห่งความตายก็หายไปจากเรือสำเภามรณะสีทองลำนั้นแล้ว

“เพราะอะไร…เส้นทางของโชคชะตาครั้งต่อไปถูกพลังบางอย่างต่อต้านเอาไว้”

เด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลนพู่กันเอาไว้พลางกัดริมฝีปากน้อยๆ ที่สุดแล้วนางก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ฝืนวาดรูปออกมาใบหนึ่ง

ฝีมือการวาดภาพของเด็กหญิงพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ภายในภาพวาดดูออกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นรูปของจักรพรรดิแห่งความตายและบุรุษหนุ่มเรือนผมสีม่วงยืนประจันหน้ากันอยู่ไกลๆ

“ที่สุดแล้วก็จะได้เผชิญหน้ากันแล้วหรือ?”

องครักษ์แห่งความตายสองคนที่อยู่ข้างกายมองรูปวาด

ในเวลาเดียวกันนั้น

ณ ชั้นที่สี่สิบเก้าของตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน

ภายใต้ท้องฟ้าดวงดาวที่เก่าแก่ไร้จุดสิ้นสุด กลุ่มคนในตำหนักรูปทรงวงแหวนหน้าเปลี่ยนสีในทันทีทันใด

เรือนร่างที่ใสกระจ่างราวหยกแก้วล้อมรอบไปด้วยลำแสงสีทองเจิดจ้า สาดซัดกลิ่นอายหอมกรุ่นลี้ลับออกมา แล้วจึงส่งผลขัดเกลาทุกดวงวิญญาณ

ทันใดนั้นเอง ร่างกายขาวนวลราวหิมะค่อยๆ มลายหายไปภายในแสงระยิบระยับที่ลึกลับนั้น

“ฉินซิน!” จ้าวเฟิงตกใจจนสิ้นเสียง

หลิวฉินซินผู้มีใบหน้าอมยิ้มงดงามที่อยู่ใกล้อย่างยิ่งล้มลง ก่อนจะสลายหายไปในแสงดาวพร่างพราว

คนทั้งหมดเบิกตาตกตะลึง แต่กลับทำอะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

“เฟิง เจ้ามาถึงที่นี่ได้ ฉินซินตายไปก็ไม่เสียดายแล้ว นี่ถือเป็นโชคดีอย่างหนึ่งของช่วงชีวิตนี้”

น้ำเสียงอ่อนหวานไพเราะดังขึ้นในตำหนักกู่อินชั้นที่สี่สิบเก้า

เห็นเพียงในร่างศพที่กำลังหลอมละลายปรากฏหลิวฉินซินที่เป็นแสงระยิบระยับขึ้น นางสวมชุดยาวสีขาวประหนึ่งเทพธิดาโบราณในรูปวาด

ติ้ง!

เมื่อร่างศพหลอมละลายจนหมดแล้ว เหรียญทองแดงโบราณหลากสีก็เผยออกมา

“ฉินซิน…สุดท้ายแล้วเจ้าเป็นหรือตายกันแน่? ยังอยู่ในโลกนี้หรือไม่?” จ้าวเฟิงจ้องไปยังหลิวฉินซินที่โปร่งแสง

เขาพอจะมองออกว่าหลิวฉินซินผู้นี้เป็นเพียงอากาศธาตุที่สร้างขึ้นจากจิตสำนึกเท่านั้น

“เฟิง การตายของข้าเป็นไปเพื่อชีวิตใหม่ที่จะข้ามผ่านกำแพงแห่งชะตาชีวิต การที่เจ้าตามมาถึงที่นี่ แปลว่าบุพเพในชีวิตหน้าของพวกเรายังไม่ขาดลง”

หลิวฉินซินที่เป็นเพียงแสงดาวความว่างเปล่าเผยรอยยิ้มออกมาด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจ

วิ้ง~

ร่างของนางที่ประกอบขึ้นจากแสงระยิบระยับเริ่มสั่นไหวไม่มั่นคง จากนั้นค่อยๆ อับแสงลงไป

จ้าวเฟิงหน้าเปลี่ยนสีในทันที นี่เป็นเพียงแค่ร่างจิตใต้สำนึกที่หลิวฉินซินหลงเหลือไว้ แล้วใช้พลังลึกลับของตำหนักฟั่นหลุนกู่อินทำให้ปรากฏขึ้น

“เวลามีไม่มากนัก” หลิวฉินซินเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เฟิง เจ้าจงเก็บเหรียญทองแดงโบราณพวกนี้เอาไว้ บางทีในภายหน้าอาจช่วยเจ้าคลี่คลายภัยอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นได้”

พรึ่บ วูบ!

หลิวฉินซินที่เกิดจากแสงระยิบระยับกลายเป็นจุดแสงสายหนึ่ง แล้วจึงหายเข้าไปในเหรียญโบราณ

พริบตาเดียว เหรียญทองแดงโบราณหลากสีพวกนั้นก็เปล่งแสงระยิบระยับแล้วหล่นลงบนมือของจ้าวเฟิง

“เฟิง นี่คือของขวัญที่ข้าหลงเหลือไว้ให้เจ้า…แล้วพบกันที่โลกหน้า”

น้ำเสียงที่อ่อนหวานไพเราะเลือนหายไปในอากาศ

ณ ตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน บนชั้นที่สี่สิบเก้า กลิ่นอายของหลิวฉินซินหายไปจากโลกนี้

จ้าวเฟิงเพ่งมองเหรียญทองแดงโบราณที่เปล่งประกายระยิบระยับในมือ

หลังจากที่ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง

“อันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นงั้นหรือ? หรือว่าฉินซินมองเห็นเหตุการณ์อะไรในอนาคต?”

สตินึกคิดของจ้าวเฟิงดำดิ่งลงไปภายในเหรียญทองแดงโบราณ

ครู่เดียวห้วงความคิดของเขาก็เข้าไปภายในโลกแห่งดวงดาว

ภายในโลกนี้ ทั้งดวงดาว ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ล้วนแต่หมุนโคจรอย่างแปลกประหลาด จนเกิดเป็นพลังที่ลึกลับเกินจะคาดเดา

วินาทีต่อมา สำนึกรู้และความลึกซึ้งต่างๆ ก็หลอมรวมเข้าไปในดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงตามวงโคจรดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดวงดาว

“นี่คือ…”

ข้างหูของจ้าวเฟิงเหมือนได้ยินเสียงพิณเสนาะแว่วมา มันก้องกังวานอยู่ในดวงวิญญาณ

ที่แท้แล้วในเหรียญทองแดงโบราณแฝงไปด้วยพลังและสำนึกรู้ของศาสตร์ดนตรีที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง และหลอมรวมเข้าไปในดวงวิญญาณของจ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าสำนึกรู้ในดวงวิญญาณของตนเองเพิ่มขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว แล้วยังสะอาดกระจ่างยิ่งขึ้น

ผลลัพธ์การเพิ่มพลังและสำนึกรู้มากกว่าสิบเท่าของสุราเซียนมายาด้วยซ้ำไป!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!