บทที่ 753 กลับสู่ทวีปบุปผาคราม
ในส่วนลึกของมหาสมุทรความว่างเปล่า
ปุด! ปุด!
เสียงฟองน้ำบางเบาดังมาติดๆ กัน แล้วพลันได้ยินเสียงสำลักน้ำและเสียงไอของเด็กเล็กดังขึ้น
หลายช่วงลมหายใจต่อมา
เด็กน้อยวัยสามสี่ขวบผู้มีใบหน้าซีดเผือดปรากฏกายขึ้นบนทะเลหมอก
“ข้า..ยังไม่ตายหรอกรึ? เอ๊ะ! ตราประทับของเมล็ดดวงใจทมิฬหายไปแล้ว หรือว่าจะเป็นเพราะการระเบิดตัวตายของวิญญาณจักรพรรดิแห่งความตาย” เด็กน้อยผู้นั้นยืนอยู่กลางอากาศพลางเอ่ยพึมพำกับตนเอง
ระหว่างการระเบิดดวงวิญญาณของจักรพรรดิแห่งความตาย วิญญาณของเด็กน้อยครึ่งเซียนถูกทำลายไปในพริบตา จิตสำนึกสูญสลายไป
ณ ขณะนั้นเบื้องหน้าของเขามืดมิด จึงแกล้งตายก่อนร่วงหล่นลงไปยังทะเลหมอกความว่างเปล่า
ขนาดเขายังคิดว่าวิญญาณของตนกระจัดกระจายไปแล้ว รวมถึงเมล็ดดวงใจทมิฬนั่นก็หายไปด้วย
เวลานี้เด็กน้อยครึ่งเซียนฝืนพยายามจะมีชีวิตรอด ดวงวิญญาณเกือบจะสูญสลาย กลิ่นอายอ่อนแอนจนถึงขีดสุด
“โชคดีที่มี ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ สตินึกคิดของข้าส่วนหนึ่งตีตราประทับไปบนแก่นแท้พลังกายศักดิ์สิทธิ์” เด็กน้อยครึ่งเซียนเอ่ยพึมพำ
เมื่อฝึก ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ ไปถึงช่วงปลายระดับสุดยอดจะส่งผลไปถึงชั้นดวงวิญญาณ และดวงวิญญาณจะหลอมรวมเข้ากับร่างกาย
เมื่อบรรลุมาถึงระดับขั้นนี้ ร่างกายจะอยู่ยงคงกระพัน ดวงวิญญาณก็จะไม่สูญสลายไปอย่างง่ายดาย
ในเวลานี้
เรือทะเลความว่างเปล่าลำหนึ่งกำลังลอยละล่องมาจากฟากนี้
“ท่านปู่ นั่นมันอะไรกัน….” เด็กสาวชุดลายดอกมองไปยังเด็กน้อยใบหน้าขาวซีด
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เด็กน้อยผู้นั้นลอยอยู่ท่ามกลางทะเลหมอก รอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ดูอำมหิตอย่างเห็นได้ชัด “ข้าครึ่งเซียนคุนอวิ๋นกลับมาตั้งตัวเป็นใหญ่ได้อีกครั้งแน่นอน อานุภาพจะเกรียงไกรในชางไห่”
ในมุมหนึ่งที่ไม่โดดเด่นสะดุดตา ครึ่งเซียนคุนอวิ๋นทำลายโซ่ตรวนสำเร็จ ได้รับอิสระอีกครั้ง
ครึ่งเซียนคุนอวิ๋นที่ไร้ซึ่งพันธนาการใด จะนำพาความเปลี่ยนแปลงและความพินาศอย่างไรมาสู่โลกใบนี้?
พรึ่บ!
ร่างของเด็กน้อยครึ่งเซียนสว่างวาบแล้วจึงหายไปจากที่เดิม
ในวินาทีต่อมา
เรือทะเลความว่างเปล่าลำนั้นก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น
“ต่อแต่นี้ไป ข้าคือหัวหน้าของเรือลำนี้ ผู้ที่ขัดคำสั่งข้าจะโดนสังหารโดยไม่มีข้อแม้ใด!”
แก่นแท้พลังกายศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งของเด็กน้อยครึ่งเซียนกระเทือนและกดดันทั่วที่แห่งนั้น
ในเรือทะเลลำนี้ ยอดผู้สูงศักดิ์ระดับสุดยอดผู้หนึ่งซึ่งมีพลังเก่งกล้าที่สุด เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วก็เป็นดั่งมดปลวก
หลังจากช่วงชิงเอาสิทธิ์ในการควบคุมเรือมาแล้ว เด็กน้อยครึ่งเซียนก็ออกคำสั่งทันที ให้ใช้ความเร็วสูงสุดบินตรงไปยังทิศทางหนึ่ง
เด็กน้อยครึ่งเซียนรู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวเฟิงแน่นอน
ในช่วงท้ายของ ‘คำสั่งล่าสังหาร’ พลังที่จ้าวเฟิงสำแดงออกไปสามารถคุกคามเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับได้เล็กน้อย
เด็กน้อยครึ่งเซียนตัดสินใจแล้วว่า ต้องหามุมที่ห่างไกลให้ร่างใหม่นี้ได้ฝึกตนเสียก่อน ฟื้นฟูพลังถึงขอบเขตเทวาเร้นลับแล้วค่อยว่ากัน
มิฉะนั้น หากพบกับจ้าวเฟิงเมื่ออยู่ต่ำกว่าเซียนขอบเขตเทวาเร้นลับ นั่นก็เท่ากับพบกับหายนะแล้ว
เมื่อระลึกถึง ‘นายท่าน’ ที่ตนตกเป็นทาสรับใช้มาหลายปี เด็กน้อยครึ่งเซียนก็ทั้งเกลียดทั้งกลัว
ในระยะเวลาสั้นๆ นั้น เขาไม่กล้ามีความคิดจะแก้แค้นแม้เพียงนิด การรักษาชีวิตรอดมาก่อนเป็นอันดับหนึ่ง
สวบ!
เรือทะเลความว่างเปล่าลำนั้นไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย เดินทางออกจากอาณาเขตของตำหนักวิญญาณที่ดูแลโดยจักรพรรดิจื่อมู่ไป
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า ภายในเรือลำนี้มีเด็กน้อยคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
เด็กน้อยครึ่งเซียนฉลาดมาก เขาไม่ได้อาศัยความสามารถในการบินของตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทิ้งกลิ่นอายเอาไว้ ทว่าอาศัยเรือทะเลแห่งความว่างเปล่าในการหลบหนีแทน
คำสั่งล่าสังหารที่มีมายาวนานกว่าครึ่งปี ทำให้เขาเองเข้าใจวิธีการสะกดรอยตามของจ้าวเฟิงอย่างยิ่ง จึงมีแผนการรับมือต่างๆ ไว้เรียบร้อย
ครึ่งวันต่อมา บุรุษหนุ่มผมสีม่วงที่เห็นได้ว่าผอมแห้งเล็กน้อยบินมาถึงเขตทะเลแห่งความว่างเปล่าส่วนนี้
“ที่นี่น่าจะเป็นดินแดนที่จักรพรรดิแห่งความตายระเบิดดวงวิญญาณของตนเอง” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ
บนไหล่ของเขามีแมวขโมยสีเทาเงินตัวหนึ่งนั่งอยู่
จ้าวเฟิงเบิกดวงตาเทพเจ้าสำรวจดินแดนทะเลแห่งความว่างเปล่า โดยเน้นที่มหาสมุทรเป็นจุดหลัก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สีหน้าของจ้าวเฟิงจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไม่พบศพของเด็กน้อยครึ่งเซียน
เขาจำได้แม่นเลยว่าดวงวิญญาณของเด็กน้อยครึ่งเซียนสลายไปจากการระเบิดตัวเองของจักรพรรดิแห่งความตาย ขนาดเมล็ดดวงใจทมิฬก็หายไปด้วยเช่นกัน
ถ้าหากดวงวิญญาณของเป้าหมายแหลกสลายไป เมล็ดดวงใจทมิฬและตราประทับดวงใจทมิฬก็ย่อมพังทลายไป ปฏิกิริยาตอบสนองก็จะหายไปด้วย
“หรือว่าเด็กน้อยครึ่งเซียนไม่ตาย ระหว่างการระเบิดดวงวิญญาณยังทำลาย ‘เมล็ดดวงใจทมิฬ’ ไปแล้ว” ความคิดของจ้าวเฟิงหมุนวนไปมา
ถ้าหากพิจารณาจากผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดนี้ โชคชะตาของเด็กน้อยครึ่งเซียนก็ดีเกินไปเสียแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจ้าวเฟิงโชคร้ายกว่ามากที่โดน ‘คำสาปมรณะ’ ของจักรพรรดิแห่งความตายเข้า
‘คำสาปมรณะ’ นั้นพิเศษเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจ้าวเฟิงจะสังหารผู้ที่ร่ายคำสาปหรือผู้ที่ร่ายคำสาปฆ่าตัวตาย ก็ล้วนเป็นการปลดปล่อยคำสาปแช่งนี้ออกมา
เพราะว่าคำสาปชนิดนี้ถูกจัดเตรียมไว้ก่อนตายเรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่จักรพรรดิแห่งความตายดับดิ้นไป ผู้ลงมือสังหารที่เขาเกลียดชังที่สุดก็จะตกอยู่ภายใต้ ‘คำสาปมรณะ’ อีกทั้งไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลเท่าไหร่ก็ไม่มีทางหลบหลีกไปได้
ดังนั้นเคราะห์ร้ายครั้งนี้จ้าวเฟิงจึงไม่อาจหลีกหนีได้
นอกเสียจากว่าเขาจะไม่ลงมือสังหารจักรพรรดิแห่งความตาย
แต่ว่าต่อให้มีโอกาสเลือกเป็นครั้งที่สอง จ้าวเฟิงก็ยังคงเลือกสังหารจักรพรรดิแห่งความตายอยู่ดี
เขาถูกไล่ล่ามาเจ็ดปีเต็มๆ ชีวิตนี้ไม่เคยมีความอัปยศเช่นนี้มาก่อน
อีกทั้ง ขอแค่จักรพรรดิแห่งความตายยังไม่สิ้นชีพก็จะกลายเป็นจุดกำเนิดของอันตรายอย่างหนึ่ง หลังจากที่พ่ายแพ้ เขาอาจวางแผนร่วมมือกับจักรพรรดิชั้นยอดของดินแดนจิตวิญญาณว่านเซินหรือกระทั่งเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับเพื่อทดลองช่วงชิงเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า
ด้วยเหตุนี้จ้าวเฟิงจึงไม่เสียใจในภายหลังกับการเลือกของตนเองเลยสักนิด
การหายตัวไปของเด็กน้อยครึ่งเซียนเป็นเรื่องเกินความคาดหมายอย่างหนึ่ง
ครึ่งเซียนคุนอวิ๋นจะนำพาผลกระทบดีหรือร้ายอย่างไรมาแก่ดินแดนชังไห่ จ้าวเฟิงก็คร้านจะไปรับผิดชอบส่วนนั้นแล้ว
“น่ารังเกียจ…ยิ่งกระตุ้นปราณที่แท้จริง ก็ยิ่งเสื่อมถอยแห้งเหี่ยวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ”
ภายในร่างกายของจ้าวเฟิง ความรู้สึกที่ทั้งเจ็บปวดและคันยิบไม่เคยจางหายไป
เขาถึงกระทั่งใช้น้ำแข็งผนึกร่างกา ทว่าผลลัพธ์ก็ยังคงไม่ชัดเจน
‘คำสาปมรณะ’ นั้นมาจาก ‘เผ่าพันธุ์แม่มดโบราณ’ จัดอยู่ในลำดับที่สองของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ
เผ่าพันธุ์ในตำนานเก่าแก่นี้ลึกลับอย่างยิ่ง ศึกษาศาสตร์วิญญาณจนลึกล้ำเกินอดีตและปัจจุบัน
ในช่วงการล่มสลายของยุคบรรพกาล แม่มดและคำสาปแช่งเป็นพลังที่ทำให้แต่ละเผ่าพันธุ์ขวัญผวา
ผู้ใช้คำสาปมรณะยิ่งแข็งแกร่ง ผลกระทบก็จะยิ่งมากขึ้น
จักรพรรดิแห่งความตายเดิมอยู่ในระดับจักรพรรดิ เมื่อบวกกับเนตรมรณะ ทำให้คำสาปมรณะที่ปลดปล่อยออกมา เกรงว่าขนาดครึ่งเซียนก็ยังไม่อาจจะหนีรอดได้
แซ่ด พรึ่บ!
จ้าวเฟิงเรียกปีกอัสนีออกมา แล้วจึงร่อนลงใกล้เคียงตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า
“เทพราชาดวงตาซ้าย!”
ภายในตำหนักวิญญาณที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง จักรพรรดิจื่อมู่กำลังจัดการกับปัญหาหลังมหันตภัย
การมาเยือนของจ้าวเฟิงทำให้คนมายมายที่อยู่ภายใต้ความดูแลของจักรพรรดิจื่อมู่ต่างหวาดกลัว
“ค่ายกลข้ามดินแดนใช้ได้หรือไม่?” จ้าวเฟิงถาม
“ค่ายกลข้ามดินแดนมีค่ายกลที่แข็งแกร่งปกป้องไว้อยู่ ถือว่ายังปลอดภัยดี”
จักรพรรดิจื่อมู่พูดด้วยสีหน้าเคารพนบนอบ
จ้าวเฟิงพูดถึงเจตนาในการมาของตนกับจักรพรรดิจื่อมู่คร่าวๆ
เมื่อรู้ว่าจักรพรรดิแห่งความตายถูกฆ่าตายไปแล้ว จักรพรรดิจื่อมู่ก็ผ่อนลมหายใจยาวออกมา
ถ้าหากจักรพรรดิแห่งความตายยังไม่สิ้นไป ย่อมต้อง ‘จดจำ’ เขาไว้แน่นอน
“น้องจ้าววางใจเถอะ เรื่องที่เจ้าจะใช้ค่ายกลข้ามเขต ข้าจะช่วยจัดการให้เจ้าเอง รวมทั้งค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่งด้วย”
จักรพรรดิจื่อมู่เอ่ยอย่างเป็นมิตรยิ่ง
ยอดฝีมือผู้มีพลังแฝงไร้ขีดจำกัดอย่างจ้าวเฟิง เขาย่อมต้องหาวิธีการต่างๆ มาเอาอกเอาใจอยู่แล้ว
ส่วนความอ่อนแอที่ปรากฏออกมา เขากลับไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก
ถึงอย่างไรจักรพรรดิแห่งความตายก็เป็นดั่งฝันร้ายที่มีมาเนิ่นนานของดินแดนแห่งชางไห่ จะสังหารได้ย่อมต้องจ่ายอะไรตอบแทนไปไม่น้อย
จักรพรรดิจื่อมู่เป็นคนจำพวกหญ้าบนยอดกำแพงที่พร้อมเอียนเอียงไปหาผู้มีอิทธิพลและผลประโยชน์
ณ ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า เขาเอาอกเอาใจจ้าวเฟิงสารพัด ทั้งมอบของขวัญให้ หรือกระทั่งผลึกเริ่มต้นที่ต้องใช้ในค่ายกลข้ามดินแดนก็ล้วนให้ของตนเองด้วยซ้ำไป
ครึ่งเดือนต่อมา
ด้วยความช่วยเหลือจากจักรพรรดิจื่อมู่ จ้าวเฟิงจึงเดินทางมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง
ในขณะที่มาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง สำนักระดับสองดาวสองหลายแห่งหรือกระทั่งสำนักระดับสามดาว ก็ล้วนแต่เชิญชวนจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงเอ่ยปากปฏิเสธไปโดยไม่ได้ถ่อมตนหรือเย่อหยิ่งจนเกินไป
จากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง จ้าวเฟิงได้ใช้ค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณมุ่งไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่
จักรพรรดิจื่อมู่ควักผลึกเริ่มต้นจำนวนมหาศาลของตนจ่ายให้อีกครั้งเพื่อจะเอาใจจ้าวเฟิง ซึ่งประจวบเหมาะกับที่จ้าวเฟิงกำลังขาดผลึกเริ่มต้น เขาจึง ‘รับเอาไว้’ เสีย
จักรพรรดิจื่อมู่ปีติยินดีในใจ การที่จ้าวเฟิงรับความช่วยเหลือและผลประโยชน์จากเขานับได้ว่าเป็นการติดหนี้บุญคุณเขาทางอ้อม
ก่อนออกเดินทางจักรพรรดิจื่อมู่สอบถามถึงสถานที่ที่จ้าวเฟิงต้องการจะเดินทางไป
จ้าวเฟิงเพียงเอ่ยชื่อของ ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน’ แต่กลับไม่เอ่ยถึงทวีปบุปผาคราม
ดินแดนชางไห่มีสามขั้วอำนาจดินแดนจิตวิญญาณ ส่วนพวกเกาะเล็กเกาะน้อยไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่
จ้าวเฟิงต่อสู้และสังหารอยู่ภายนอก แต่กลับไม่เคยพูดถึงทวีปบุปผาคราม
จักรพรรดิแห่งความตายและเด็กน้อยครึ่งเซียนก็ล้วนแต่ไม่รู้บ้านเกิดของจ้าวเฟิง
ที่เขาทำเช่นนี้เป็นเพราะไม่อยากนำพาความวุ่นวายมาสู่บ้านเกิดของตน
“หากมีเวลาข้าจะไปที่สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินเพื่อขอคำชี้แนะจากน้องจ้าว”
จักรพรรดิจื่อมู่ส่งจ้าวเฟิงจากไปอย่างยินดี
เขาไหนเลยจะล่วงรู้ว่าจ้าวเฟิงไม่ได้วางแผนจะอยู่ที่สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน
หลังจากกลับมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่แล้ว พลังฝึกตนขั้นราชันในขอบเขตปราณเทวะอย่างจ้าวเฟิงย่อมใช้ค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณได้
แต่จ้าวเฟิงไม่ได้ตรงดิ่งไปที่ตำหนักวิญญาณของกลุ่มดินแดนกู่ชิงหรือกลุ่มดินแดนเทียนหลูที่อยู่ค่อนข้างใกล้
การส่งในครั้งนี้จ้าวเฟิงกลับไปที่ตำหนักทะเลวิญญาณแห่งหย่งเฟิง
ในคราแรกที่จ้าวเฟิงสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่และได้พบกับตวนมู่ชิง เป็นเพราะความช่วยเหลือของเจ้าตำหนักหย่งเฟิง
เวลาไม่นานนัก จ้าวเฟิงก็ได้พบกับเจ้าตำหนักหย่งเฟิง
“คนรุ่นหลังช่างมากความสามารถ ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีเจ้าก็กลายเป็นราชันคนใหม่เสียแล้ว”
เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
จ้าวเฟิงมีเรื่องลำบากแต่เขากลับไม่ได้พูดออกมา เกรงแต่ว่า ‘คำสาปมรณะ’ ที่เขาเผชิญอยู่จะเป็นคำสาปที่ทรงพลังที่สุดในชางไห่
ยังดีที่ไม่กี่วันมานี้จ้าวเฟิงพยายามเก็บกลิ่นอายไว้อย่างสุดความสามารถ ไม่ใช้ปรานที่แท้จริงและพลังดวงวิญญาณ เพื่อหลีกเลี่ยงการลดลงอย่างรวดเร็วของพลังฝึกตน
สายเลือดเผ่าพันธุ์เกล็ดมังกรเหมันต์และดวงตาเทพเจ้าต่างมีพลังของตัวมันเอง จึงข่มพลังของคำสาปนั้นเอาไว้ได้
ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เกรงว่าจ้าวเฟิงคงจะกลายเป็นผู้เฒ่าที่แห้งเหี่ยว พลังฝึกบำเพ็ญตนคงร่วงลงไปอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเป็นอย่างน้อย
จ้าวเฟิงอยู่ตำหนักวิญญาณหย่งเฟิงหลายวัน
จ้าวเฟิงมอบสมบัติล้ำค่าชั้นยอดหลายชิ้นให้เจ้าตำหนักหย่งเฟิงอีกครั้งหนึ่งเพื่อตอบแทน อย่างเช่นน้ำอมฤต หญ้าเกล็ดม่วง หรือว่าของมีค่าต่างๆ ที่ฉกชิงได้มาจากราชันคนอื่น
ในกลุ่มนี้ สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือผลไม้จิตวิญญาณจากห้วงฝัน
จ้าวเฟิงมองออกว่าพลังฝึกตนของเจ้าตำหนักหย่งเฟิงใกล้จะถึงราชันในขอบเขตปราณเทวะอย่างยิ่ง
สมบัติล้ำค่าชั้นยอดเหล่านี้เป็นพื้นฐานให้เขาทะลวงผ่านขั้นราชันได้
จ้าวเฟิงอยู่ที่ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าหย่งเฟิงสองสามวันแล้วก็จากไป
หนึ่งเดือนต่อมา
ณ ดินแดนหมู่เกาะกู่ชิง ทวีปบุปผาคราม
แซ่ด แซ่ด!
ลำแสงวายุอัสนีสายหนึ่งพุ่งผ่านเข้ามาจากภายนอกดินแดน ราวกับฝนดาวตกที่สว่างระยิบระยับ
พื้นที่ที่จ้าวเฟิงร่อนลงทิ้งรอยหลุมตื้นๆ เอาไว้
“ที่นี่คือที่ไหนกัน?”
ถึงแม้จ้าวเฟิงจะเกิดในทวีปบุปผาราม แต่ว่าก็ยังมีสถานที่อีกหลายแห่งที่ไม่เคยไปมาก่อน
เขาตรวจสอบกลิ่นอายร่างกายและวิญญาณของตนเป็นอันดับแรก
พลังฝึกตนของเขาถดถอยลงมาถึงขอบเขตปราณเทวะช่วงต้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
แซ่ด พรึ่บ!
จ้าวเฟิงบินไปกลางอากาศอีกครั้ง แล้วกวาดสายตาไปยังด้านล่างเพื่อเทียบกับแผนที่ของทวีปบุปผาคราม
“ดินแดนตะวันตก อาณาจักรเชียนหมัว”
จ้าวเฟิงมองจุดที่ตนเองอยู่ออกอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหอโครงกระดูก”
จ้าวเฟิงเอ่ยปากช้าๆ แล้วจึงปรากฏหมอกควันปีศาจดำมืดขึ้นข้างกาย เผยให้เห็นโครงกระดูกร่างขาวเงิน ตัวยาวเก้งก้าง ในเบ้าตามีลูกไฟสีแดงก่ำสองดวง
หลังจากที่เปลี่ยนสายเลือดที่เมืองเก่าของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์ จนถึงตอนนี้สภาวะของเจ้าหอโครงกระดูกก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
“นายท่าน พวกเราถึงทวีปบุปผาครามแล้วหรือ?”
เจ้าหอโครงกระดูกรู้สึกถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยจากในพื้นดิน ก็ตื่นเต้นปีติยินดี