Skip to content

King of Gods 762

King Of Gods

บทที่ 762 สัญญาสิบปี

ณ ทะเลทรายเวิ้งว้างไร้สิ่งมีชีวิตของอาณาจักรนภา

ชายหนุ่มผมดำและบุรุษหนุ่มผมม่วงยืนประจันหน้ากันอยู่ไกลๆ พายุทรายสีเหลืองกระจายเต็มท้องฟ้า เสื้อคลุมของพวกเขาโบกสะบัดพริ้อย่างอิสระเสรี

“จ้าวเฟิง คิดไม่ถึงว่าเจอกันอีกครั้ง ระยะห่างของข้าและเจ้าจะมากมายขนาดนี้ แต่ว่าข้าก็ยังอยากจะประลองอยู่ดี”

น้ำเสียงของหยูทียนฮ่าวแผ่วต่ำ แต่ในดวงตาสีดำสนิทลึกล้ำกลับมีแววกระหายการต่อสู้อย่างรุนแรง

ภายใต้สถานการณ์ที่จิตต่อสู้ปะทุขึ้นมา จิตวิญญาณของหยูทียนฮ่าวเพิ่มพูนขึ้น พลังครึ่งก้าวสู่ราชันของเขาก็สูงขึ้นเช่นกัน

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ปรับผู้มีจิตต่อสู้ไม่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ จ้าวเฟิงเองก็ยังตกใจเล็กน้อย ในใจเกิดความชื่นชม

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เมื่อเจอกับความแตกต่างมากขนาดนี้ เกรงว่าจะไม่กล้าสู้เลยด้วยซ้ำไป

“หยูทียนฮ่าว สัญญาสิบปีของเรา เวลายังไม่ถึงตามสัญญาเลย” จ้าวเฟิงเอ่ยปนยิ้มด้วยสีหน้าสบายๆ

ในวันนั้น หลังจากการต่อสู้แถวลัทธิโลหะเลือด จนถึงวันนี้เพิ่งผ่านไปเจ็ดปีกว่าๆ เท่านั้น ยังไม่ครบสิบปีเต็ม

“ข้ากำลังจะไปยังตระกูลหยูที่ดินแดนทวีป ไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าเป็นเวลากี่ปี ในเมื่อวันนี้ได้พบกัน เช่นนั้นแล้วก็ประมือกันก่อนเลย”

หยูเทียนฮ่าวย่อมรู้ว่ายังไม่ถึงเวลา แต่จ้าวเฟิงแข็งแกร่งเช่นนี้ ก็ยิ่งกระตุ้นพลังที่ซุกซ่อนอยู่และความกระหายการต่อสู้ในสายเลือดของเขา

ดินแดนทวีป?

แววตาของจ้าวเฟิงเป็นประกาย แต่ไม่ได้พูดอะไร

กลิ่นอายของคนทั้งสองสาดกระจายในพายุทรายทีละน้อย

พลังปราณเทวะมหาศาลทะลักจากร่างของจ้าวเฟิง แล้วจึงทะลวงผ่านฟ้าดินไปไกลไม่มีสิ้นสุด

พลังของระดับจักรพรรดิทำให้เขาอยู่ในจุดที่ได้เปรียบกว่า

เพียงแค่พลังอำนาจก็ทำให้หยูทียนฮ่าวตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ ร่างกายและจิตใจหนักอึ้ง เกิดความรู้สึกว่าหายใจไม่ออก

แต่ว่าจิตต่อสู้ของเขากลับยืนหยัดไม่ยอมแพ้ เพื่อพบผู้แข็งแกร่งก็พยายามทำให้ตนเองแข็งแกร่งไปด้วย

หากเป็นครึ่งก้าวสู่ราชันทั่วไป เกรงว่าแม้แต่ความคิดจะต่อต้านก็ยังไม่มี

ทว่าหยูเทียนฮ่าวนอกจากจะต้านทานเอาไว้ได้แล้ว ยังปล่อยจิตต่อสู้มาไม่หยุด

“นอกเหนือจากเผ่าพันธุ์โบราณแล้ว ยังมีสายเลือดที่พิเศษและแกร่งกล้าเช่นนี้” จ้าวเฟิงเอ่ยแล้วถอนหายใจ

“เหอะ! สายเลือดในผืนพสุธาแห่งนี้ ไม่ได้มีเพียงแต่ ‘รายหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ ที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น รอหลังจากที่เจ้าไปถึงดินแดนทวีปก็จะรู้เองว่าโลกนี้ยังมี ‘รายชื่อสายเลือดวิถีราชา’ ด้วย” หยูทียนฮ่าวแค่นเสียงเย็น

รายชื่อสายเลือดวิถีราชา?

จ้าวเฟิงระลึกได้ว่า ในคลังความจำและข้อมูลของตน มี ‘รายชื่อสายเลือดวิถีราชา’ นี้อยู่จริงๆ เพียงแต่ว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายนัก

เพราะว่าสายเลือดวิถีราชาไม่ได้มาจากบรรพกาล แต่เป็นสายเลือดส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากยุคบรรพกาลแล้ว

“สายเลือดของเผ่าพันธุ์โบราณใกล้จะสูญสิ้น ลดน้อยลงไปทุกวัน แต่ ‘รายชื่อสายเลือดวิถีราชา’ ยังคงแก่งแย่งต่อสู้ไม่หยุด สายเลือดที่แกร่งกว่าจึงจะอยู่รอด”

ในน้ำเสียงของหยูเทียนฮ่าวเผยแววเชื่อมั่นในตนเองอย่างยิ่ง

ตามที่ทุกคนรู้กัน รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณมาจากยุคบรรพกาล แต่ไม่แน่นอนว่ายิ่งเก่าแก่จะยิ่งแข็งแกร่ง

ดังเช่นเนตรเทพเจ้าทั้งแปดที่ถือกำเนิดขึ้นหลังจากยุคบรรพกาล ในตอนที่ผืนพสุธาถือกำเนิดแรกๆ แปดเนตรเทพเจ้าจึงย่อมมีความเกี่ยวข้องอย่างแนบแน่นกับยุคบรรพกาล

ยุคสมัยเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทำให้สายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณหายากขึ้นทุกวัน แต่สายเลือดในยุคหลังกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ก็พัฒนาไปไม่หยุด

“สายเลือดสวรรค์ก็มาจาก ‘รายชื่อสายเลือดวิถีราชา’ ไม่ได้ด้อยไปกว่าหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ  ‘สายเลือดสวรรค์ไร้เทียมทาน’ ของข้าก็เป็นของชั้นเลิศในสายเลือดวิถีราชา”

ทันทีที่เอ่ยจบ ส่วนประกอบสายเลือดภายในร่างกายของหยูทียนฮ่าวก็ลุกไหม้ขึ้น

วูบ~

เห็นเพียง ‘เงาเย็นเยือก’ ขนาดใหญ่ที่ลึกลับเก่าแก่ปรากฏขึ้นเป็นรูปร่างมนุษย์ ทับซ้อนลงบนร่างของหยูเทียนฮ่าว

พริบตาเดียว

ทุกอิริยาบถของของหยูเทียนฮ่าวและเงาเย็นยะเยียบเบื้องหลัง ก็ตอบรับประสานเป็นร่างเดียวกัน เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน

ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแต่มีจิตต่อสู้ของปีศาจ สังหารพลังที่มองไม่เห็นรอบบริเวณ

โครม วูบ!

พลังมหาศาลของจักรพรรดิกระจายไปทั่วทิศทาง ขนาดว่าโดนทำลายไปส่วนหนึ่งแล้วก็ตาม

ในวินาทีนั้น หยูเทียนฮ่าวเป็นประหนึ่งเทพเจ้าแห่งการต่อสู้ อากาศทั่วทิศทางหลอมรวมไปในลำแสงสีส้มงดงาม แล้วจึงพุ่งทะลวงไปในชั้นเมฆ

ถ้าหากเป็นพลังของราชันทั่วไป เกรงว่าน่าจะโดนพลังของหยูเทียนฮ่าวซัดให้แตกกระจายไปแล้ว

“ขวานศึกสวรรค์!” ดวงตาของหยูเทียนฮ่าวเป็นดังดวงดาวสีดำสนิท เขายกมือโบกขึ้นน้อยๆ เสียงดังกึกก้องกัมปนาทลอยมา เห็นขวานศึกเลือนรางในลำแสงสีส้มสว่างมาพร้อมโทสะแรงกล้า มันทะลวงฟ้าทะลุดิน ตัดแหวกพลังจักรพรรดิจนกระทบไปยังร่างของจ้าวเฟิง

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแรงปะทะนี้ หน้าจ้าวเฟิงกระตุกเล็กน้อย

ภายใต้การบีบคั้นของคู่ต่อสู้ หยูเทียนฮ่าวได้กระตุ้นกำลังรบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนออกมา

“ทำลาย!” จ้าวเฟิงค่อยๆ ส่งหมัดออกมา เมืองมายาโบราณที่มีหมอกควันห้อมล้อมทับซ้อนในอากาศ คล้ายจะปรากฏเแต่ก็เลือนราง เต็มไปด้วยความพิศวง

ถึงแม้ว่าจะเป็นจิตต่อสู้ของหยูเทียนฮ่าวก็ยังสั่นสะท้าน

“โครม!”

ยอดฝีมือทั้งสองประมือกันเป็นครั้งแรกหลังจากเวลาผ่านไปถึงเจ็ดปี ทรายที่สาดซัดไปทั่วผืนฟ้าก่อตัวเป็นพายุฝุ่นทราย หมุนคว้างออกไปเป็นรัศมีร้อยลี้

ในพายุทราย ชายหนุ่มผมดำแค่นเสียงขึ้นจมูก ร่างถอยร่นไปหลายก้าว

หยูเทียนฮ่าวใบหน้าซีดเผือด บนร่างมีรอยไหม้เส้นหนึ่ง

การโจมตีของจ้าวเฟิงมีเสวียนอ้าวน่ากลัวอย่างยิ่ง หนำซ้ำยังหลอมรวมเอาเขตแดนเมืองมายาเข้าไปด้วย

เมื่อเขตแดนเมืองมายาแฝงอยู่ในการโจมตี จะทำให้เกิดการโจมตีของศาสตร์มายา

เพียงการประมือครั้งแรกเท่านั้น ก็สร้างอาการบาดเจ็บอย่างสาหัสแก่ร่างกายและจิตใจของหยูเทียนฮ่าว

“พลังฝึกตนของเจ้าข่มเอาไว้ที่ขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน?”

แววตาของหยูเทียนฮ่าวเป็นประกาย การปะทะกันเมื่อครู่นี้ทำให้เขาค้นพบเงื่อนงำบางอย่าง

หากปราณที่จริงของจ้าวเฟิงอยู่ในขั้นราชันต้องสามารถทำร้ายเขาให้บาดเจ็บสาหัส จนกระทั่งปลิดชีพเขาได้ด้วยซ้ำ

“ข่มงั้นหรือ?”

มุมปากของจ้าวเฟิงยกขึ้นอย่างขมขื่น

พลังฝึกตนและปราณที่แท้จริงของเขาในตอนนี้ลดลงไปถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน

ในความเป็นจริงแล้ว ขณะที่เผชิญหน้ากับราชันทั้งสาม พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงก็อยู่ตรงเส้นสุดท้ายระหว่างปราณเทวะและขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแล้ว

แน่นอนว่าพลังของจ้าวเฟิงยังอยู่ในขั้นจักรพรรดิ ดวงวิญญาณถูกชะล้างจากพลังอัสนีเทวะ จึงเทียบเท่าได้กับจักรพรรดิธรรมดา แต่ยังคงอ่อนแอกว่ายามต่อสู้กับจักรพรรดิแห่งความตายสามถึงสี่ส่วน

พลังฝึกตนและอายุขัยชีวิตเป็นสิ่งที่ถดถอยรวดเร็วที่สุด

จ้าวเฟิงคาดเดาว่าอายุขัยของตนเองลดลงไปห้าสิบปีแล้ว ซึ่งเกินกว่าครึ่งชีวิตของคนทั่วๆ ไป

แขนงพลังของตัวเขายากที่จะส่งผลต่อคำสาปมรณะได้

เพราะนี่เป็นพลังที่เกินเลยแบบแผนปกติธรรมดาไปแล้ว

“หยูทียนฮ่าว ถึงจะฝึกตนอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน เจ้าอยู่ในเงื้อมมือข้าก็รับมือได้ไม่เกินสามกระบวนท่า”

จ้าวเฟิงสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว

ขอแค่พลังและดวงตาเทพเจ้ายังอยู่ ความสามารถของเขาก็เทียบเท่าได้กับเด็กน้อยครึ่งเซียน พลังฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว ถึงกระทั่งว่าเขาสามารถฝึกฝน ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ และ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ที่แข็งแกร่งกว่าอีกครั้ง

แต่ที่ต้องทำก่อนก็คือคลี่คลายคำสาปมรณะ

“สามกระบวนท่า? เช่นนั้นก็ใช้สามกระบวนท่าในการแบ่งผลแพ้ชนะแล้วกัน”

จิตต่อสู้บนร่างของหยูทียนฮ่าวเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น ถึงแม้จะบาดเจ็บ กำลังรบกลับไม่ลดลง แต่เพิ่มขึ้นด้วย

สายเลือดในร่างกายของเขาลุกไหม้เดือดพล่าน เงาเย็นยะเยียบเบื้องหลังขยายออก จึงทำให้กำลังรบยิ่งปลดปล่อยออกมาก็ยิ่งแข็งแกร่ง

“สวรรค์ไร้เทียมทาน!” หยูทียนฮ่าวสะบัดฝ่ามือออกมา ลำแสงสีส้มสว่างเจิดจ้าราวอาทิตย์ทะลวงผ่านฟ้าดิน จนก่อให้เกิดอานุภาพที่เทียบเท่าได้กับราชันในระดับลึกซึ้ง

จิตต่อสู้น่ากลัวที่อยู่ในการโจมตีราวกับเป็นรูปธรรรม จู่โจมไปยังขอบเขตวิญญาณและดวงวิญญาณโดยตรง

“กำลังรบเพิ่มขึ้นไปอีกระดับขั้นหนึ่งแล้ว” จ้าวเฟิงสีหน้าจริงจังขึ้นเล็กน้อย

เขายังคงสบายใจ ไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย แล้วจึงปล่อยหมัดธรรมดาออกไปอีกครั้ง

ครั้งนี้จ้าวเฟิงหลอมรวม ‘เขตแดนมายา’ และ ‘เขตแดนฉวนปิง’ เข้าไปด้วยในเวลาเดียวกัน

โครม——ตูม บึ้ม!

ในวินาทีที่คนทั้งสองปะทะพัวพันกัน พลังเหมันต์ที่หนาวเหน็บถึงขีดสุดก็ปกคลุมพื้นที่รัศมีหลายร้อยลี้

พรึ่บ!

หยูทียนฮ่าวบินลอยละลิ่วออกไป ชั้นน้ำค้างแข็งเกาะทั่วร่าง ทั้งร่างกายและจิตใจค้างแข็ง คราบเลือดบริเวณมุมปากแข็งไปในทันที

“กระบวนท่าที่สาม!”

หยูทียนฮ่าวกัดฟัน แล้วเงาเย็นเยือกด้านหลังและทั้งร่างเขาก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้าออกมา เกิดเป็นพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตจนกลืนกินฟ้าและดิน

จิตต่อสู้บนร่างของเขาสามารถโจมตีราชันในระดับสุดยอดได้เสียด้วยซ้ำไป

ขณะเกิดการระเบิดปะทุในทันทีทันใดนั้น กำลังรบของหยูทียนฮ่าวเทียบเท่าได้กับราชันระดับสุดยอด

“จบแล้ว!”

จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก ส่งหมัดออกไป เขตแดนมิติทั้งสามทับซ้อนเข้าด้วยกัน

ครืน! อาณาเขตทะเลทรายที่ทั้งสองคนอยู่เหมือนสั่นไหวอย่างรุนแรง จนเกิดรอยแยกยาวหลายร้อยลี้

วูบ!

เงาเย็นเบื้องหลังหยูเทียนฮ่าวแตกละเอียดไปในทันใด ใบหน้าซีดเผือด

ตุ้บ!

ร่างกายของเขาร่วงหล่นลงบนพื้น สลบไสลไม่ได้สติ

“หยูเทียนฮ่าว คิดไม่ถึงเลยว่าในสามกระบวนท่าสุดท้ายเจ้าจะสร้างพลังราชันออกมาได้” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ

ห้วงความคิดของเขากวาดผ่านหยูเทียนฮ่าว แล้วพบว่าสภาพของเขาค่อนข้างจะคล้ายคลึงกับการประมือครั้งก่อน

สายเลือดสวรรค์ไร้เทียมทาน ในยามต่อสู้จะปลดปล่อยและเพิ่มกำลังรบไม่หยุด แต่ว่าหลังจากที่เรื่องจบแล้วก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปเช่นกัน

เรียกง่ายๆ ว่า เป็นการ ‘ใช้ล่วงหน้า’

พรึ่บ!

ห้วงคิดของจ้าวเฟิงกระตุก พลังฟ้าดินมหาศาลที่ไร้รูปร่างส่งหยูเทียนฮ่าวที่สลบไสลไร้สติออกไปหลายร้อยลี้

สวบ! บนขอบฟ้าที่ไกลออกไป ผู้สูงศักดิ์หยูซิงเฉินแหวกอากาศลอยมารับร่างของหยูเทียนฮ่าวเอาไว้

“จ้าวเฟิง! บุญคุณในวันนี้ ข้าแซ่หยูจะจดจำไว้ในใจ” หยูซิงเฉินมองไปยังทิศทางของจ้าวเฟิง จากนั้นค้อมกายลง

จ้าวเฟิงผงกศีรษะพลางยิ้มแย้มเล็กน้อย แล้วจึงออกจากทะเลทราย ตรงไปยังสาขาหลักของลัทธิโลหะเลือด

ที่แท้ก่อนที่จะประมือกัน หยูซิงเฉินเคยมาหาจ้าวเฟิง

ผลแพ้ชนะของการต่อสู้ครั้งนี้ เดิมไม่มีอะไรที่ต้องกังวล

จ้าวเฟิงรับปากกับหยูซิงเฉินว่าจะลงมือแค่ประมาณหนึ่ง จะไม่ทำร้ายหยูเทียนฮ่าวจนบาดเจ็บสาหัสเกินไป แล้วจะช่วยกระตุ้นสายเลือดสวรรค์ไร้เทียมทานอย่างสุดความสามารถด้วย

ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้ว ต่อให้พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงร่วงหล่นลงมาขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน ก็ยังสามารถรับมือกับกำลังรบของขั้นราชันได้อย่างสบายๆ

หลังจากนั้นพักหนึ่ง จ้าวเฟิงจึงเดินทางกลับไปยังลัทธิโลหะเลือด

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยโผล่หน้าออกมามองประเมินกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างสนอกสนใจ

เจ้าลัทธิหง เถี่ยวหมัว เจ้าหอโครงกระดูกและคนอื่นๆ ล้วนแต่อยู่ในที่นั้นด้วย

“นายท่าน ตำหนักจันทราชาดที่ข้าสร้างกลายมาเป็นขั้วอำนาจลำดับหนึ่งของทวีปบุปผาคราม จะสามารถรักษาความสงบเรียบร้อยและความสมดุลภายในทวีปได้” เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยรายงาน

อำนาจของลัทธิมารจันทราชาดถูกตำหนักจันทราชาดรวบมาแล้วครึ่งหนึ่ง

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อำนาจของตำหนักจันทราชาดย่อมอยู่เหนือลัทธิมารจันทราชาดในยุครุ่งโรจน์

เพียงแค่ค่ายกลหุ่นเชิดศพที่เจ้าหอโครงกระดูกชำนาญก็สามารถสังหารราชันธรรมดาได้แล้ว

“เจ้าหอโครงกระดูก” จ้าวเฟิงเอ่ยกำชับ “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจงอยู่ที่ทวีปบุปผาคราม รอให้ตำหนักมารจันทราชาดมั่นคงแล้วเจ้าก็เป็นอิสระได้”

“นายท่าน…” เจ้าหอโครงกระดูกได้ยินคำพูดดังกล่าว ในใจก็ตื้นตันอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ติดตามจ้าวเฟิงมาหลายปีเช่นนี้ พัฒนาการของเขาสูงส่งอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ได้รับอิสรภาพอีกครั้ง

ที่จ้าวเฟิงทำเช่น เขาพิจารณาแล้วว่าพลังแฝงของเจ้าหอโครงกระดูกและค่ายกลร้อยศพมาจนถึงจุดสูงสุดแล้ว

ฝ่ายแรก อย่างมากก็เลื่อนไปถึงขั้นราชัน ส่วนค่ายกลร้อยศพก็ยากจะคุกคามคนในขั้นราชันได้

เป้าหมายของจ้าวเฟิงคือดินแดนทวีป รวมไปถึงระดับขั้นที่อยู่เหนือขั้นจักรพรรดิขึ้นไป

หากเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ปล่อยให้เจ้าหอโครงกระดูกรั้งอยู่ที่ทวีปบุปผาคราม ให้เขาพัฒนาพลังฝึกตนด้วยตัวเอง

หลังจากมอบหมายงานทั้งหมดแล้ว จ้าวเฟิงก็เตรียมตัวจะเดินทางจากดินแดนบุปผาครามไป

ก่อนจะจากไปจ้าวเฟิงมอบหมายอีกภารกิจหนึ่งแก่เจ้าหอโครงกระดูก

“เด็กน้อยครึ่งเซียนผู้นั้นหนีรอดออกจากการควบคุมของข้าไปแล้ว เขาจะต้องหลบอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งเพื่อสำรวมจิตฝึกตนแน่ เมื่อข้าจากไปแล้วเจ้าต้องคอยระวังทิศทางการเคลื่อนไหวของเขาด้วย”

จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงขรึม

เด็กน้อยครึ่งเซียนในตอนนี้ย่อมหวาดกลัวจ้าวเฟิง ไม่กล้าปรากฏตัวออกมาง่ายๆ

จ้าวเฟิงเองก็ไม่มีแก่ใจจะไล่ล่าสังหารอีกฝ่าย ด้วยเพราะระหว่างคนทั้งสองไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องฟาดฟันให้ตายกันไปข้างหนึ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!