Skip to content

King of Gods 763

King Of Gods

บทที่ 763 จักจั่นลอกคราบ

วันนี้

เมฆแสงวายุอัสนีทะยานผ่านการจำกัดของสนามพลังภายในแผ่นดิน ก่อนเข้าไปยังทะเลความว่างเปล่านอกดินแดน

แซ่ด พรึ่บ!

บุรุษหนุ่มผมม่วงคนหนึ่งลอยตัวอยู่ในทะเลความว่างเปล่า บนบ่ามีเจ้าแมวขโมยสีเงินเทาตัวหนึ่งนั่งอยู่

เขาจ้องมองทวีปบุปผาครามอย่างลึกล้ำครั้งหนึ่ง แล้วจึงสยายแสงปีกสีแดงก่ำออกมา บินไปยังส่วนลึกของทะเลความว่างเปล่า

หนึ่งคนหนึ่งแมวนี้ ย่อมเป็นจ้าวเฟิงและเจ้าแมวขโมยตัวน้อย

ในขณะที่พลังฝึกตนร่วงลงมาสู่ขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน จ้าวเฟิงจึงค้นพบว่าการถดถอยในแต่ละด้านรวดเร็วยิ่งขึ้น

เหตุผลที่สำคัญก็คือ ระดับขั้นราชันมีรายละเอียดพลังลึกล้ำ หากจะต้านทานต่อคำสาปมรณะจำต้องแข็งแกร่งอยู่ส่วนหนึ่งด้วย

ถ้าหากว่าเป็นลูกศิษย์ในขอบเขตรวบรวมปราณ เมื่อต้องคำสาปมรณะในระดับนี้ เกรงว่าพลังฝึกตนและอายุขัยน่าจะโรยราไปอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นกองกระดูกสีขาวกองหนึ่ง

สิ่งนี้เพิ่มความกดดันในใจของจ้าวเฟิงอย่างที่สัมผัสไม่ได้

“ต้องอาศัยช่วงที่มียังพลังส่วนหนึ่งรีบไปที่ดินแดนทวีป” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ

ปราชญ์ลิ่วอูได้แนะนำวิธีในการแก้คำสาปสามทางให้กับเขา หนึ่งในนั้น

หนึ่งในนั้น ตัวเลือกที่สามจะต้องยอมสูญเสียครั้งใหญ่ยิ่ง

สองอันดับแรกมีเพียงในดินแดนทวีปที่ห่างไกลถึงจะสามารถทำให้เป็นจริงได้

นอกเหนือจากนี้ จ้าวเฟิงยังคิดจะไปดินแดนทวีปเพื่อไปหาจักรพรรดิตวนมู่ชิงและจ้าวหยูเฟย

ด้วยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ทำให้จ้าวเฟิงจำเป็นต้องไปดินแดนทวีป

โบยบินไปหลายวัน จ้าวเฟิงมาถึงตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าซึ่งตั้งอยู่ที่กลุ่มดินแดนกู่ชิง

กลุ่มดินแดนกู่ชิง ก็คือกลุ่มดินแดนอันเป็นที่ตั้งของดินแดนบุปผาคราม มีกลุ่มดินแดนเทียนหลูอยู่ด้านข้าง

ถ้าหากว่าเป็นคนธรรมดาย่อมไม่มีคุณสมบัติใช้ค่ายกลข้ามผ่านดินแดน

แต่ว่ากับจ้าวเฟิงที่หนึ่ง เป็นลูกศิษย์ของสำนักสองดาวอย่าง ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน’ แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ สอง เพียงแค่เค้าปลดปล่อยพลังของราชันหรือไม่ก็พลังของจักรพรรดิ ก็ได้รับสิทธิพิเศษมากมาย

ด้วยโลกนี้นับถือผู้ที่แข็งแกร่งเสมอ

แน่นอนว่า ในทุกครั้งที่จ้าวเฟิงใช้ค่ายกลข้ามผ่านดินแดนล้วนสิ้นเปลืองผลึกเริ่มต้นที่ล้ำค่าจำนวนมหาศาล

อีกทั้งค่ายกลข้ามผ่านดินแดนของตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่ามีขีดจำกัด ส่งไปถึงได้เพียงตำหนักวิญญาณส่วนหนึ่งที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง

หลังจากใช้ไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน จ้าวเฟิงจึงค่อยมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่

เมื่อมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ แววตาของจ้าวเฟิงก็อดจะมองไปยัง ‘ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่’ ที่อยู่ตรงกลางไม่ได้

ค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณอยู่ที่ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่

นอกจากนั้น ทางเข้าและทางเชื่อมต่อของมรดกหรือว่ามิติลี้ลับใหญ่น้อยก็ล้วนแต่อยู่ที่ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์นั้น

จ้าวเฟิงเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า เด็กน้อยครึ่งเซียนจะมีวิธีไหนเข้าไปภายในอุทยานครึ่งเซียนหรือไม่

เพราะอย่างไรเด็กน้อยครึ่งเซียนก็ยังมีพลังครึ่งเซียนอยู่ส่วนหนึ่งด้วย

ต่อให้จ้าวเฟิงมั่นใจว่าเด็กน้อยครึ่งเซียนอยู่ภายในอุทยานครึ่งเซียน เขาก็ไม่สามารถเข้าไปภายในได้แน่นอน

จ้าวเฟิงไม่ได้อยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่นานนัก เขาใช้ค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณตรงดิ่งไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง

“ดินแดนชางไห่มีดินแดนจิตวิญญาณสามแห่ง หนึ่งในนั้นเขตแดนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่งได้อยู่ใกล้กับ ’ทะเลแดนใต้’ ”

ในหัวของจ้าวเฟิงปรากฏภาพของแผนที่ที่เกี่ยวข้องขึ้นมา

ทะเลแดนใต้อยู่ติดทิศใต้ของดินแดนทวีป แต่ว่าชางไห่จะไกลออกไปอีก ราชวงศ์ในดินแดนทวีปจึงไม่สามารถทำอะไรได้

นั่นแปลว่า เพียงแค่จ้าวเฟิงเข้าไปภายใน ‘ทะเลแดนใต้’ ต่อให้ไปถึงชายทะเลของดินแดนทวีป อิทธิพลของราชวงศ์ก็แข็งแกร่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

จ้าวเฟิงใช้ค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณมาถึงยังเขตแดนของ ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง’

ในระยะเวลานี้ ผลึกเริ่มต้นในมือของจ้าวเฟิงมีจำนวนไม่เพียงพอ เขาจึงติดต่อกับจักรพรรดิจื่อมู่เพื่อขอผลึกเริ่มต้นส่วนหนึ่งด้วยเพราะ ‘เงินขาดมือ’

ยามที่เผชิญหน้ากับจักรพรรดิจื่อมู่ กลิ่นอายของจ้าวเฟิงรางเลือนอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับไม่ปกปิดพลังจักรพรรดิ

จักรพรรดิจื่อมู่เองก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก เขาตั้งใจจะผูกมิตรกับจ้าวเฟิง ย่อมต้องมอบผลึกเริ่มต้นจำนวนมหาศาลให้

“จักรพรรดิจ้าวเฟิง ชื่อเสียง ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ ของเจ้าแทบจะเขย่าขวัญสั่นประสาทคนทั่วชางไห่ ถึงจะเป็นเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับผู้นั้นก็ต้องหวาดกลัวเจ้าถึงสามส่วน“ จักรพรรดิจื่อมู่เอ่ยอย่างเอาอกเอาใจอย่างยิ่ง

แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พลังฝึกตนจริงๆ ของจ้าวเฟิงในตอนนี้ได้ร่วงลงไปถึงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง

จ้าวเฟิงไม่ได้รั้งอยู่กับจักรพรรดิจื่อมู่นานนัก เมื่อได้รับผลึกเริ่มต้นกองใหญ่มาได้แล้ว จึงอ้างว่ามีธุระด่วนต้องรีบร้อนจากไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เผยอะไรออกมา

อยู่มาวันหนึ่ง

จ้าวเฟิงปรากฏตัวที่ตำหนักวิญญาณแห่งหนึ่งในแถบชายแดนของอาณาเขตดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง

หลังจากนั้น เขาออกจากตำหนักวิญญาณดังกล่าว แล้วเดินทางไปยังตำหนักวิญญาณที่อยู่ในทะเลแดนใต้

ในทะเลความว่างเปล่า โดยปกติแล้วตำหนักวิญญาณจะเชื่อมต่อกัน

ว่ากันว่าตั้งแต่ที่อำนาจของราชวงศ์ปกครองทวีปและหมื่นทะเล ก็เตรียมจะรวมให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

แต่ในวันนี้ ราชวงศ์ที่สูญเสียการควบคุมชางไห่ไปแล้ว ยังมีอิทธิพลต่อทะเลแดนใต้ในระดับหนึ่ง

ทะเลแดนใต้มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์กว่าชางไห่ ดินแดนทะเลแห่งนั้นจึงมีดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สี่แห่ง

“จากทะเลแดนใต้ผ่านไปยังดินแดนทวีป เส้นทางยาวไกลเหลือเกิน” จ้าวเฟิงทอดถอนใจ

หลังจากที่พลังฝึกตนถดถอยลงไปยังขอบเขตแก่นก่อกำเนิด พลังดวงวิญญาณของเขาก็กำลังลดน้อยลงไปด้วย

ระดับขั้นดวงวิญญาณของเขาในวันนี้ยังประคับประคองให้อยู่ในขอบเขตปราณเทวะช่วงต้นและกลาง ซึ่งแตกต่างจากระดับขั้นดวงวิญญาณของจักรพรรดิชั้นยอดในช่วงสูงสุดค่อนข้างมาก

“ถ้าหากระดับขั้นดวงวิญญาณถดถอยลงไปขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแล้วล่ะก็ ‘พลังจักรพรรดิ’ ของข้าก็จะตกอยู่ในสภาวะหลับใหลเกินกว่าครั้ง”

ในใจของจ้าวเฟิงยิ่งกดดัน

พลังจักรพรรดิอยู่บนพื้นฐานของวิญญาณ ถ้าหากพลังวิญญาณไม่มากพอ ก็จะทำให้พลังจักรพรรดิหลับใหลลงไปชั่วขณะหนึ่ง

หลายวันต่อมา ดวงวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น พลังของจักรพรรดิก็ค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมา

ด้วยพลังจะค่อนไปทางด้านสำนึกรู้และความลึกซึ้งในเสวียนอ้าว

คำสาปมรณะไม่อาจส่งผลกระทบต่อความคิดและความลึกซึ้งในสำนึกรู้ของคนได้

เมื่อเข้าไปภายในทะเลแดนใต้แล้ว จ้าวเฟิงมักจะใช้ ‘ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า’ อยู่เสมอ

ขอเพียงแค่พลังจักรพรรดิของเขายังคงอยู่ เหล่าเจ้าตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าล้วนแต่ต้องเห็นแก่หน้าเขา

ทะเลแดนใต้แห่งนี้ เจ้าตำหนักวิญญาณจำนวนไม่น้อยอยู่ในขั้นราชัน อารยะธรรมการฝึกบำเพ็ญของที่นี่อยู่เหนือชางไห่ครึ่งส่วน

ครึ่งเดือนต่อมา

จ้าวเฟิงข้ามจากทะเลแดนใต้ไปยังดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง

ในเวลาดังกล่าว เพราะการถดถอยของพลังดวงวิญญาณ ทำให้พลังของจ้าวเฟิงส่วนหนึ่งถูกปิดผนึกเอาไว้จนร่วงหล่นลงมายังขั้นราชัน

แต่ถึงแม้จะเป็นขั้นราชันก็ยังสูงส่งอย่างยิ่งที่ทะเลแดนใต้

เมื่อผ่านตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า บรรดาเจ้าตำหนักเหล่านั้นเมื่อเห็นราชันผู้อ่อนวัยเช่นนี้ย่อมต้องไว้หน้าให้กันทุกคน

“พลังฝึกตนและดวงวิญญาณของข้าถดถอยลงไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ” ใจจ้าวเฟิงพลันเคร่งเครียด

เขาคาดเดาว่าตนเองไปดินแดนทวีปไม่ทันแน่ เพราะพลังฝึกตนจะตกลงไปยังขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

ในทันทีที่ร่วงลงไปยังขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ความเร็วในการถดถอยของพลังก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

เมื่อต้องเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ จ้าวเฟิงจึงจำเป็นต้องเตรียมตัวรับมือให้ดี

ในทะเลวิญญาณสีม่วง

พลังดวงตาและวิญญาณของจ้าวเฟิงลดลงเป็นจำนวนมาก อีกทั้งทะเลวิญญาณยังมีอาณาเขตเพียงสองสามร้อยจั้งเท่านั้น

แต่ว่าใจกลางของทะเลวิญญาณ ทะเลสาบพลังดวงตา และพื้นที่ซึ่งเชื่อมโยงกับห้วงฝันบรรพกาลแทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากคำสาปมรณะแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ตราประทับลวดลายอัสนีเจ็ดแปดร้อยเส้นสายในทะเลวิญญาณช่างลี้ลับลึกล้ำ กลิ่นอายจากด่านเคราะห์เซียนที่เป็นอมตะส่วนหนึ่งยังอบอวลอยู่

“แหล่งกำเนิดดวงตาเทพเจ้าและพลังอัสนีเทวะเป็นเขตหวงห้ามบนร่างกายข้าที่จะไม่โดนกัดกร่อน”

จ้าวเฟิงถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกอยู่ในใจ

ส่วนในพื้นที่อื่น ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงรู้ชัดว่าเส้นแสงโลหิตสีดำที่ไร้รูปร่างเหล่านั้นแทรกซึมไปยังอณูทุกส่วนของร่างกาย

พลังที่น่ากลัวเช่นนั้นจะทะลวงผ่านดวงวิญญาณและกายเนื้อ หากจะใช้โจมตีดวงวิญญาณก็ล้วนแต่ทำอะไรมันไม่ได้

จ้าวเฟิงอาศัยช่วงที่พลังยังอยู่ในขั้นราชันเร่งรุดเดินทางไม่หยุด

สองเดือนต่อมา

กลุ่มลำแสงวายุอัสนีสีมืดเข้าไปภายในพื้นที่กว้างใหญ่เก่าแก่แห่งหนึ่ง

ในขณะที่เข้าไปภายในสถานที่ดังกล่าว ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดที่อยู่ในละแวกดังกล่าวเอ่ยพึมพำกันเสียงเบา

“เป็นแค่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเท่านั้น กลับสามารถเดินทางผ่านนอกดินแดนได้”

ผู้เฒ่าในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำผู้หนึ่งเผยสีหน้าประหลาด

พื้นที่กว้างใหญ่แห่งนี้ไม่ใช่ดินแดนทวีป แต่เป็น ‘ดินแดนเกาะ’ ที่มีขนาดใหญ่ยิ่งนามว่า ‘ดินแดนเกาะเทียนเฟิง’ ยังมีดินแดนเกาะเล็ก ๆคล้ายทวีปบุปผาครามอยู่ใกล้เคียงอีกหลายสิบเกาะ

‘ดินแดนเกาะเทียนเฟิง’ แห่งนี้มีที่ตั้งโดดเด่นอย่างยิ่ง อยู่ใกล้ทวีป มีสายน้ำล้อมรอบ แล้วยังอยู่ในอาณาเขตที่ปกครองโดยราชวงศ์

ว่ากันว่าดินแดนเกาะแห่งนี้ปกครองโดยเจ้าเมืองผู้หนึ่งของราชวงศ์ที่ลงจากตำแหน่งแล้ว

เปรี๊ยะ!

ร่างชราที่เหี่ยวแห้งผอมโซมีลำแสงวายุอัสนีล้อมรอบกาย เดินทางเข้ามาภายในดินแดนเกาะที่กว้างใหญ่กว่าเกาะใกล้เคียงแห่งนี้ที่ทะเลแดนใต้

ใบหน้าของผู้เฒ่าผู้นี้ละม้ายคล้ายกับจ้าวเฟิงในยามหนุ่มอยู่หลายส่วน

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยสีเทาเงินยืนอยู่บนบ่าของผู้เฒ่า โบกกรงเล็บไปมาอย่างลิงโลด

“เจ้าแมวขโมยตัวน้อย ข้าตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เจ้ายังจะกระตือรืนร้นอะไรอีก?” จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มใจ

อายุขัยและแก่นแท้ชีวิตของเขาถดถอยมาจนมากกว่าเก้าสิบห้าส่วนขึ้นไป

ส่วนพลังฝึกตนร่วงลงมาถึงระดับขั้นจิตวิญญาณที่แท้จริง พลังจักรพรรดิกว่าเก้าส่วนก็หลับใหลไปแล้ว

“ไม่ทันแล้ว เห็นทีต้องวางมือจากการเข้าไปภายในดินแดนทวีป”

จ้าวเฟิงถอนหายใจเสียงต่ำ

ยังดีที่เขาได้เอาแหวนเหล็กโบราณและของมีค่าต่างๆ เก็บเข้าไปภายในมิติดวงตาซ้ายแล้ว

“ไป!” ร่างกายและดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงกลายเป็นก้อนควันสีเทาที่เผาผลาญอยู่ภายในเพลิงวายุอัสนี

วิ้ง!

แก่นแท้ชีวิต ดวงวิญญาณ และปราณที่แท้จริง เผาผลาญไปจนเป็นพลังมหาศาลกลุ่มก้อนหนึ่ง

“เนตรเทพเจ้าออกจากร่าง!”

ดวงตาสีม่วงที่สุกสกาวราวแก้วผลึกใสส่องประกายเจิดจ้า อยู่ในสภาวะรูปธรรมกึ่งเงา เข้าไปภายในเขตดินแดนด้วยความเร็วเกินกว่าความเร็วสูงสุดของจักรพรรดิ

โครม!

แก่นแท้ชีวิต พลังดวงวิญญาณ ปราณที่แท้จริงของจ้าวเฟิงสูญสลายไปสิ้น

แล้วที่สูญสลายไปพร้อมกันนั้นยังมีพลังของคำสาปมรณะด้วย

“แซ่ด~”

เส้นแสงสายเลือดสีดำสลายคืนกลับไปสู่วัฏจักรธรรมชาติ

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงและพื้นที่หวงห้ามห้ามพลังอัสนีเทวะ เป็นส่วนที่พลังของคำสาปมรณะไม่อาจกัดกร่อนได้

หากไม่เป็นเช่นนั้น ต่อให้จ้าวเฟิงถอดจิตออกจากกายเนื้อก็ไม่สามารถหลุดพ้นออกจากคำสาปมรณะได้

“ตามวิธีที่สาม การลอกคราบก็ถือได้ว่าเป็นการหลุดพ้นจากคำสาปมรณะได้…” จ้าวเฟิงถอนหายใจยาว

ในสภาวะที่ดวงตาเทพเจ้าออกจากร่างไปแล้ว ประสาทสัมผัสต่างๆ ของเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เขากวาดตามองพื้นที่รอบๆ ในรัศมีหลายหมื่นลี้

ในเวลาเดียวกันนี้เอง

ณ ผืนแผ่นดินกว้างใหญ่เก่าแก่ มีป่าไม้ที่ห่างไกลเงียบสงัดแห่งหนึ่ง

“พวกเจ้าเป็นคนของบ้านสกุลอิน…”

เด็กหนุ่มหน้าสีขาวซีดเผือด มือกำดาบที่หักครึ่งหนึ่งไว้แน่น ฝืนพยายามพยุงร่างกายขึ้นมา

ข้างกายของเขายังมีซากอสูรเละเทะตัวหนึ่ง ก่อนที่มันจะตายมีพลังฝึกตนอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

“จ้าวเฟิง! เจ้าเป็นอัจฉริยะที่ในพันปีจะมีเพียงหนึ่งคนของบ้านสกุลจ้าว ตอนนี้ยังเข้าร่วม ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์ว่าน’  เพิ่งจะอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น ยังสามารถทะลวงผ่านขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ ถือเป็นภัยคุกคามซ่อนเร้นต่อบ้านสกุลอินของข้า”

“เหอะ เหอะ ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเจ้าเสี่ยงภัยเข้ามาใน ‘ป่าไร้ปรานี’ พวกเราก็คงไม่มีโอกาสเช่นนี้”

เงาสวมหน้ากากหลายร่างเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างได้ใจ  หนึ่งในนั้นพลังฝึกตนอยู่ในขั้นนายเหนือแท้

“อ๊าก!”

เด็กหนุ่มที่มีนามว่าจ้าวเฟิงกรีดร้องโหยหวน โดนชายสวมหน้ากากปล่อยหมัดจนร่างกระเด็นลอยออกไป

“นายท่าน เจ้าเด็กนี่ไม่มีลมหายใจแล้ว”

“แย่แล้ว! เหมือว่าจะมีศิษย์ของ ’สำนักศักด์สิทธิ์ว่าน’ กำลังใกล้เข้ามา” ชายชราผู้เป็นแกนนำจึงรีบเอ่ยคำสั่งให้สลายตัว

เปรี๊ยะ!

แล้วในเวลานี้เอง วายุอัสนีสีม่วงกลุ่มหนึ่งลอยผ่านด้านบนของป่าไร้ปรานีไป

ภาพที่เกินจะจินตนาการได้ปรากฏขึ้น

เด็กชื่อจ้าวเฟิงที่เดิมตายไปแล้ว ดวงตาซ้ายของเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วง ทะลักพลังและแสงศักดิ์สิทธิ์ที่น่าสะพรึงกลัวออกมา แล้วจึงเก็บงำไว้อย่างรวดเร็ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!