บทที่ 783 เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว
ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ของราชวงศ์ต้าเฉียนไล่ลำดับจากสูงไปหาต่ำได้เป็น กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน
บรรดาศักดิ์ ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของตำแหน่งสถานภาพเท่านั้น ทว่ายังได้รับอภิสิทธิ์ของ ‘โชคชะตาราชวงศ์’ ที่อยู่ในระดับเทียบเท่ากัน
โชคชะตาราชวงศ์เป็นพลังไร้รูปร่างที่ลึกลับ สามารถนำพาปัจจัยซึ่งมีประโยชน์มากมายต่อการฝึกตนและโชคชะตาชีวิตมาให้
การมีโชคชะตาที่ดีเยี่ยม สัดส่วนที่จะสามารถก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ก็มากขึ้นด้วย
เรื่องราวที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า พลังของโชคชะตาสามารถเพิ่มพูนกำลังรบ และทำให้ปลดปล่อยออกมาได้จนถึงขีดสุด
หรือแม้แต่ผู้ที่ดวงดีมากพอ จะมีโอกาสดีๆ ในชีวิตมากกว่าคนธรรมดาอยู่บ้าง…ซึ่งแน่นอนว่าถูกจำกัดอยู่เพียงในขอบเขตของราชวงศ์ต้าเฉียนเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้
ในราชวงศ์ของดินแดนทวีป ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือกี่คนที่ต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อให้ได้ครอบครองบรรดาศักดิ์สักตำแหน่งหนึ่ง
แต่ในเวลานี้ โอกาสที่เป็นดังความฝันของคนนับพันล้านกลับมาวางอยู่ตรงหน้าจ้าวเฟิง
“นี่เป็นถึงตำแหน่งป๋อเลยทีเดียว…”
บนใบหน้าขององค์ชายแปดและท่านหญิงอวี่ชิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ในฐานะที่หนานเฟิงอ๋องเป็นถึงอ๋องโหว แถมยังเป็นพระญาติสนิทขององค์ฮ่องเต้ จึงมีสิทธิ์ในการแนะนำ ‘ป๋อ’ คนหนึ่งในรอบสามร้อยปี
การแต่งตั้งเป็นตำแหน่งป๋อ จะต้องไปที่เมืองหลวงของต้าเฉียน และผ่านการอนุญาตแต่งตั้งจากจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ต้าเฉียน
จากตรงนี้จะสามารถเห็นได้ว่า ตำแหน่งป๋อหนึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยากขนาดไหน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายปีที่ผ่านมานี้ พื้นที่ของราชวงศ์ต้าเฉียนต้องเผชิญกับการถูกรุกรานจากราชวงศ์จันทราทมิฬ จึงทำให้ชะตาของราชวงศ์ตกต่ำลงเล็กน้อย
การควบคุมของราชวงศ์ที่มีต่อบรรดาศักดิ์ต่างๆ ก็ยิ่งเข้มงวดขึ้นทุกที รายชื่อนานวันยิ่งลดน้อยลงไป
“ถ้าหากว่าจ้าวเฟิงมีตำแหน่ง ‘ป๋อ’ แล้วล่ะก็ เขาจะกลายเป็นคนที่มีตำแหน่งรองลงมาจากหนานเฟิงอ๋องที่ดินแดนเกาะเทียนเฟิง”
องค์ชายแปดอดจะกังวลแทนบ้านสกุลลั่วไม่ได้
ที่ผ่านมา การแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ใดๆ ยังมีขอบเขตแบ่งแยกอยู่อย่างชัดเจน
“ขอบพระทัยในน้ำใจท่านอ๋องอย่างยิ่ง”
จ้าวเฟิงครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย แล้วจึงเปิดปากเอ่ย “แต่ข้าเพียงสนใจการฝึกตน คงจะไม่อยู่ที่ดินแดนเกาะเทียนเฟิงนานนัก ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจเข้าร่วมกับทางจวนอ๋องโหวได้”
ส่วนผลประโยชน์ที่จะได้จากตำแหน่งป๋อ จ้าวเฟิงใช่ว่าจะไม่หวั่นไหว
แต่ในขณะที่เสวยสุขอยู่ ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนและชดเชยบางสิ่งกลับไปเช่นกัน อย่างเช่นอิสระเสรี
จ้าวเฟิงไม่ได้อยากถูกผูกติดกับราชวงศ์และกองทัพของหนานเฟิงอ๋องรวดเร็วเพียงนี้
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่จ้าวเฟิงฟื้นฟูพลังฝึกตนเสร็จ ก็จะเริ่มเดินทางไปยังดินแดนทวีปเพื่อรวมตัวกับตวนมู่ชิงและจ้าวหยูเฟย
บ้านสกุลตวนมู่นั้น เป็นหนึ่งในแปดตระกูลชั้นสูงของราชวงศ์ จะเป็นพวกเดียวกับหนานเฟิงอ๋องหรือไม่ก็ยังพูดยาก
“การตัดสินใจของเจ้า ข้าจะไม่ฝืนใจ ผลตอบแทนที่จะมอบให้ย่อมต้องไม่มีขาดไป ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าครั้งหนึ่งจริงๆ” หนานเฟิงอ๋องเสียดายเล็กน้อย
เขาไม่เพียงแต่เห็นความสำคัญของความสามารถในการฝึกสัตว์ของจ้าวเฟิง ยิ่งไปกว่านั้น ยังสัมผัสได้ถึงพลังที่แฝงอยู่ภายในร่างกายของจ้าวเฟิงด้วย
สำหรับองค์ชายแปดและท่านหญิงอวี่ชิง จ้าวเฟิงปฏิเสธความเย้ายวนของตำแหน่งป๋อ ทำให้คนทั้งสองแทบจะไม่เชื่อ
“จ้าวเฟิง เจ้ากล้าปฏิเสธความหวังดีนี้ของท่านพ่อ”
ท่านหญิงอวี่ชิงไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
ในขณะที่หนานเฟิงอ๋องยินยอมใช้สิทธิ์แนะนำจ้าวเฟิงแต่งตั้งเป็นป๋อ ท่านหญิงอวี่ชิง ตกใจและรู้สึกยินดีไปกับเขา
แต่คาดคิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเฟิงจะรีบร้อนปฏิเสธเช่นนี้
“จ้าวเฟิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย…”
องค์ชายแปดยิ่งรู้สึกว่าคนหนุ่มตรงหน้านี้เหมือนอยู่กลางหมอกหนา ทำให้คนไม่อาจจะมองได้ปรุโปร่ง
หลังจากที่ระลอกคลื่นเรื่องแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ผ่านไปแล้ว บรรยากาศของที่แห่งนั้นก็กลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง
ในวันนั้น หนานเฟิงอ๋องตัดสินใจจัดงานเลี้ยงที่จวนอ๋องโหวเพื่อตอบแทนน้ำใจของจ้าวเฟิง
เมื่อหนานเฟิงอ๋องและท่านหญิงอวี่ชิงเชิญซ้ำๆ ทำให้จ้าวเฟิงยากจะปฏิเสธได้
สถานที่จัดงานเลี้ยงเป็นสวนพฤกษาของจวน จัดในเวลากลางคืน และยังเชิญผู้มีอิทธิพลส่วนหนึ่งที่อยู่ใกล้ในดินแดนเกาะเทียนเฟิงมาด้วย
ตอนนี้แขกที่ทางจวนอ๋องโหวเชิญมายิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นบรรยากาศรื่นเริงสนุกสนานแน่ๆ
จ้าวเฟิงถือเสียว่าเป็นการผ่อนคลายในเวลาที่เหลือจากการฝึกตนอย่างยากลำบาก
เวลากลางคืนมาถึงอย่างรวดเร็ว
ภายในสวนดอกไม้ของจวนประดับประดาโคมไฟ และเต็มไปด้วยเสียงดนตรี
ท่านหญิงอวี่ชิงเกาะติดอยู่ข้างกายของจ้าวเฟิง แนะนำสหายมากมายให้เขาได้รู้จัก เสียดายก็เพียงฝ่ายหลังไม่ได้ใส่ใจมากนัก
“จ้าวเฟิง” ในยามที่เดินไปยังที่แห่งหนึ่ง เสียงมุทะลุของชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ดังขึ้น
จ้าวเฟิงเหลือบตามอง กลับเห็น ‘คนคุ้นเคย’
ไม่คิดเลยว่าคนบ้านสกุลลั่วก็ได้รับคำเชื้อเชิญครั้งนี้ด้วย
ลั่วจุน ผู้นำสกุลลั่ว รวมไปถึงผู้อาวุโสสูงสุดในขอบเขตปราณเทวะผู้นั้นก็มาร่วมงานด้วย
งานเลี้ยงของจวนอ๋องโหวย่อมไม่ธรรมดา
คนส่วนหนึ่งถึงจะไม่ได้รับบัตรเชิญ ก็อาจเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้ด้วยตนเอง
ด้วยเพราะที่นี่คือสถาบันสูงสุดที่ปกครองดินแดนเกาะเทียนเฟิง
สกุลลั่วเป็นตระกูลใหญ่เป็นอันดับสามของเทียนเฟิง มีความสัมพันธ์อันดีกับจวนอ๋องโหว โดยเฉพาะลั่วจุนผู้เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนเกาะ
“พี่ลั่ว มีอะไรจะชี้แนะหรือ”
จ้าวเฟิงยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพลางมองประเมินกลุ่มคนสกุลลั่ว
ผู้นำสกุลลั่วฝืนยิ้มออกมา ไม่มีมาดของประมุขตระกูลอย่างในยามปกติเลยแม้แต่น้อย
สีหน้าของลั่วจุนดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าไรนัก
พวกเขาย่อมรู้ดีว่า ตัวหลักของงานเลี้ยงในจวนครั้งนี้ก็คือจ้าวเฟิง
ขอถามหน่อย หลังจากที่งานเลี้ยงนี้จบลง จะยังมีใครกล้าไปหาเรื่องจ้าวเฟิงหรือตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆากัน?
“จ้าวเฟิง น้องสาวของข้าอยากจะพบเจ้า” ลั่วจุนเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
ความรู้สึกพ่ายแพ้และไม่ยินยอมในใจของเขาที่มีต่อเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ นับวันยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที
ถึงแม้ว่าจ้าวเฟิงไม่เคยจะสู้แพ้เขาซึ่งๆ หน้า แต่ว่าฝ่ายตรงข้ามก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเขา
ความรู้สึกอับอายเช่นนี้แทบจะเทียบเท่ากับการพ่ายแพ้แก่ ‘ซินอู๋เหิน’ ต่อหน้าสาธารณะชนในคราวก่อนได้เลย
“น้องสาว? ลั่วสุ่ยเอ๋อร์!”
จ้าวเฟิงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แววตาหันมองไปรอบๆ
ลั่วสุ่ยเอ๋อร์เป็นหญิงงามที่มีชื่อเสียงไม่น้อยในดินแดนเกาะเทียนเฟิง
เมื่อท่านหญิงอวี่ชิงได้ยินชื่อของ ‘ลั่วสุ่ยเอ๋อร์’ ก็อดไม่ได้ รู้สึกระคายหู คิ้วขมวดเล็กน้อย
เรื่องของจ้าวเฟิง ทางจวนอ๋องโหวย่อมเคยได้ยินมาก่อน
ท่านหญิงอวี่ชิงเองก็รู้ว่าลั่วสุ่ยเอ๋อร์ผู้นั้นคือคู่หมั้นของจ้าวเฟิง และองค์ชายแปดก็ต้องตานางด้วย
“ฮึ! ข้าเองก็อยากจะดูว่าลั่วสุ่ยเอ๋อร์ผู้นั้นจะงามขนาดไหน” ท่านหญิงอวี่ชิงแค่นเสียงต่ำ
“สุ่ยเอ๋อร์อยากจะพบจ้าวเฟิงเพียงลำพัง”
นับว่าลั่วจุนเกรงอกเกรงใจท่านหญิงอวี่ชิงอยู่มาก
“ท่านหญิงอวี่ชิง ข้าขอตัวสักครู่” จ้าวเฟิงยิ้มให้ท่านหญิงน้อย
เขาเดินตามลั่วจุนไป ทิ้งท่านหญิงอวี่ชิงที่สีหน้าบูดเบี้ยวเอาไว้
“น้องอวี่ชิง ข้าเองก็หวังให้เจ้าเพียรพยายามช่วงชิงจ้าวเฟิงมา เช่นนี้แล้วพวกเราก็จะได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย” น้ำเสียงยั่วเย้าเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง เจ้าของน้ำเสียงนั้นคือองค์ชายแปด
“แย่งอะไร? ใครบอกว่าข้าชอบเขา! ข้าเพียงแค่…” วงหน้าขาวสะอาดของท่านหญิงอวี่ชิงแดงระเรื่อ
“หืม ชอบ? นี่เจ้าพูดเองเลยนะ” ใบหน้าขององค์ชายแปดมีแววกระเซ้าเย้าแหย่
เขามองยังทิศทางที่จ้าวเฟิงจากไป ในใจของเขากลับไม่ได้รู้สึกตามที่แสดงออกมาทางสีหน้าเท่าไรนัก
จากสถานการณ์ในตอนนี้ หากจ้าวเฟิงคิดจะชิงเอา ‘ลั่วสุ่ยเอ๋อร์’ ไป เขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย
“ผิดใจกับจ้าวเฟิงเพื่อสตรีนางเดียว จะคุ้มหรือไม่?” องค์ชายแปดเอ่ยอย่างครุ่นคิด
ในเวลาดังกล่าว เขาไม่ได้มองจ้าวเฟิงเป็นเพียงเด็กหนุ่มอัจฉริยะธรรมดาคนหนึ่งอีกต่อไป
องค์ชายแปดรู้สึกว่า บางทีจ้าวเฟิงผู้นี้อาจจะเป็นคนประเภทเดียวกับ ‘ซินอู๋เหิน’…ช่างลึกล้ำเกินจะคาดเดา
จ้าวเฟิงปลุก ‘ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน’ ได้ เปลี่ยนชะตาชีวิตของหนานเฟิงอ๋องไป หรือถึงขั้นสร้างผลกระทบต่อการแก่งแย่งอำนาจในราชวงศ์ด้วยซ้ำไป
คนหนุ่มผู้นี้ไม่เคยเข้าไปในดินแดนทวีป แต่กลับทิ้งก้อนหินก้อนหนึ่งลงบนผิวน้ำลึกของราชวงศ์ จนส่งผลกระทบออกไปในวงกว้าง
อีกฟากหนึ่ง จ้าวเฟิงเดินตามลั่วจุนไปที่ป่าไผ่ที่ห่างไกลภายในสวนของจวน
“สุ่ยเอ๋อร์รอเจ้าอยู่ภายใน” ลั่วจุนเอ่ยอย่างไร้ความรู้สึก หลังจากเอ่ยจบก็ยืนเฝ้าอยู่ที่ด้านข้างป่าไผ่
เขาเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนเกาะเทียนเฟิง และเป็นราชันขอบเขตปราณเทวะ ต่อให้เป็นคนของจวนอ๋องโหวก็ยังต้องให้ความเคารพนับถืออยู่บ้าง
เมื่อเดินเข้าไปในป่าไผ่ เงาร่างสง่างามเจ้าของเรือนผมยาวปรากฏขึ้นในครรลองสายตา
ดรุณีผู้นั้นมีใบหน้าสะสวยเรือนร่างอ้อนแอ้น ชุดสีเขียวพลิ้วบาง ผิวขาวเนียนละเอียด คิ้วโก่งงามดังขุนเขา มีความรู้สึกวิตกกังวลปรากฏบนใบหน้านาง
นัยน์ตาและผิวพรรณของนางงามผ่องดุจผิวน้ำ ราวกับเป็นดอกบัวหลังฝนตก ปราศจากเครื่องประทินโฉม
“ลั่วสุ่ยเอ๋อร์”
จ้าวเฟิงลอบถอนหายใจเบาๆ เกรงว่าชายหนุ่มคนใดมองเห็นสตรีที่พิสุทธิ์ไร้มลทินผู้นี้ คงอดไม่ได้อยากจะปกป้องและทะนุถนอม
ในสาวงามที่เคยพบทั้งหมด ลั่วสุ่ยเอ๋อร์อยู่ในห้าลำดับต้นๆ เป็นอย่างน้อย หากจะพูดเรื่องบุคลิก นางไม่ได้ด้อยไปกว่าหลิวฉินซินมากนัก
“จ้าวเฟิง เจ้ายังจำได้สถานที่แรกที่พวกเราเจอกันได้หรือไม่…” นัยน์ตาใสกระจ่างของลั่วสุ่ยเอ๋อร์หยุดลงบนร่างของจ้าวเฟิง
นัยน์ตาที่สุกใสราวสายน้ำเผยความงามให้เห็นอยู่รำไร
“ครั้งแรกงั้นหรือ?”
ในหัวสมองของจ้าวเฟิงปรากฏทิวทัศน์ของป่าไผ่เต็มไปด้วยฝนโปรยปราย
เป็นวันนั้นเองที่จ้าวเฟิงคนเก่าและลั่วสุ่ยเอ๋อร์พบกัน
ในวันนั้น เมื่อจ้าวเฟิงเห็นวงหน้าโดดเด่นชวนตะลึงของลั่วสุ่ยเอ๋อร์ ก็อึกๆ อักๆ หน้าแดงอยู่นาน
ดวงตาเปื้อนยิ้มของลั่วสุ่ยเอ๋อร์ปรากฏแววเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ว่าจ้าวเฟิงในตอนนั้นมีอายุเพียงสิบสามปีเท่านั้น ยังไม่รู้ประสีประสาอะไรมากนัก เขาที่ตื่นเต้นอย่างยิ่งไม่เคยสังเกตเลยว่า ความบังเอิญครั้งนี้เป็นการจงใจจัดฉากของลั่วสุ่ยเอ๋อร์
ลั่วสุ่ยเอ๋อร์ผุดผาดสะสวย งามเหนือใครในแผ่นดิน ย่อมไม่ยินยอมให้การแต่งงานของตนถูกบิดพลิ้ว
ครั้งแรกที่นางเจอจ้าวเฟิงก็มีความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นในระดับหนึ่ง
ความรักครั้งแรกของเด็กสาวช่างคลุมเครือและสำรวมกิริยา นางยอมรับการหมั้นหมายครั้งนี้อย่างเงียบๆ แล้ว
ที่แท้เป็นเช่นนี้!
จ้าวเฟิงหวนระลึกถึงเรื่องในความทรงจำอย่างละเอียดก็เข้าใจมากยิ่งขึ้น
จ้าวเฟิงคนเดิมผู้นั้นใบหน้าหล่อเหลา ความบริสุทธิ์จริงใจของเด็กหนุ่มกระทบใจของลั่วสุ่ยเอ๋อร์เข้าอย่างจัง
“สุ่ยเอ๋อร์ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะใช้หนังสือหย่า นี่เพื่อเกียรติยศของเจ้า หรือว่าโดนบีบบังคับจากองค์ชายแปดกันแน่?”
ดวงตาคู่งามที่มีหยาดน้ำของลั่วสุ่ยเอ๋อร์แดงขึ้นเล็กน้อย
จ้าวเฟิงนิ่งสงบ เอามือไพล่หลังเดินหลายก้าวในป่าไผ่ มองความงามของลั่วสุ่ยเอ๋อร์อย่างชื่นชม
“เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว…” ลั่วสุ่ยเอ๋อร์จ้องจ้าวเฟิงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างรวดร้าว
แววตาของจ้าวเฟิงในเวลานี้ที่มองนางเหมือนเป็นคนละคนกับเมื่อก่อน ไม่มีความลุ่มหลงแม้แต่น้อย
นางถึงขั้นสงสัยว่า หนุ่มน้อยผู้นี้ใช่คนที่นางเจอคราวก่อนหรือไม่
“แม่นางลั่ว ต้องขออภัยด้วย จ้าวเฟิงที่เคยชอบเจ้าในคราวก่อนได้จากไปนานแล้ว”
จ้าวเฟิงไม่ได้พูดอะไรอีก
เขาไม่อยากให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหงหูซ้ำรอย
อย่างไรนี่ก็เป็นบุญคุณความแค้นช่วงหนึ่งของจ้าวเฟิงคนเก่า จ้าวเฟิงไม่อยากจะถลำลึกลงไปในความวุ่นวายนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวเฟิงและหลิวฉินซินกลับไม่เหมือนกัน
ในขณะนั้นถึงแม้ว่าเขาจะถูกคลุมถุงชน แต่ว่าจากการระเห็จระเหเร่ร่อนไปยังเมื่องอื่นๆ และได้รับความคุ้มครองจากคนที่แข็งแกร่งกว่า เขาจึงอยู่ที่เมืองหงหูเป็นระยะเวลากว่าครึ่งปี
ในครึ่งปีนั้นเอง ทำให้เขาและหลิวฉินซินผูกพันกันจนยากจะแยกออกจากกันได้
เมื่อเอ่ยจบ จ้าวเฟิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หมุนตัวแล้วค่อยๆ ก้าวเท้าออกจากป่าไผ่แห่งนั้น
“จ้าวเฟิง เจ้าต้องบอกเหตุผลข้ามาสักข้อหนึ่ง” ลั่วสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยเสียงสะอื้น
“เหตุผล? ในอนาคตอันใกล้นี้เจ้าก็จะรู้เอง”
จ้าวเฟิงไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เดินตรงดิ่งออกจากป่าไผ่ไป
ในวินาทีที่แผ่นหลังนั้นเดินออกจากป่าไผ่ ลั่วสุ่ยเอ๋อร์เหมือนมองเห็นเงาของเรือนผมสีม่วงที่โบกพลิ้ว
ยามนี้จ้าวเฟิงไม่ได้เอ่ยตอบ
แต่ว่าจ้าวเฟิงตัวจริงที่แฝงอยู่ในร่างของ ‘จ้าวเฟิง’ จะบอกความจริงกับทุกคนในไม่ช้าก็เร็ว