บทที่ 799 ภัยเงียบ
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่มีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือไม่มากโบก ‘คทาปีศาจ’ กระโดดโลดเต้น ยกเท้าสูงยโสโอหัง ช่างดูเหมือนกับพวกผู้วิเศษที่หลอกหลวงผู้คน
ในเวลาดังกล่าว
ทุกคนในเหตุการณ์นี้ไม่มีใครกล้ามองข้ามเจ้าตัวเล็กๆนี้ เพราะว่ามันเองก็มีพลังในการสื่อสารกับ ‘ผลึกปีศาจ’ เช่นกัน
มันมีความสามารถในด้านนี้ไม่ด้อยไปกว่าไต้ซือมนุษย์งูคนก่อน
ผู้นำกลุ่มของทั้งสามสำนักอย่างกูเจาจื้อ บุรุษหนุ่มชุดม่วง ข่งเฟยหลิง และผู้เฒ่าเฟ่ย ทำท่าทางราวมีอะไรติดคออย่างนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกูเจาจื้อและบุรุษหนุ่มชุดคลุมม่วงซึ่งไม่เข้าใจสถานการณ์มากนัก
พวกเขาไม่คิดเลยว่าเพิ่งจะกำราบไต้ซือคนหนึ่งไปได้อย่างยากเย็น ก็มีคนใหม่อีกคนหนึ่งปรากฏกายขึ้น
“จ้าวเฟิง!”
แววตาลูกศิษย์ยอดฝีมือของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นหยุดลงบนร่างของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา
ด้วยเหตุเพียงเพราะว่า เจ้านายของแมวตัวนี้คือจ้าวเฟิง
“จ้าวเฟิง! เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย…”
ใบหน้าของหนานกงเซิ่งที่อยู่ไม่ไกลมากนัก ปรากฏอารมณ์ที่ทั้งสับสนทั้งจริงจัง
หลังจากเห็น ‘เจ้าแมวขโมยตัวน้อย’ แล้ว หนานกงเซิ่งก็ค่อนข้างมั่นใจว่า ‘จ้าวเฟิง’ ผู้นี้คือจ้าวเฟิงคนก่อน
ส่วนรูปลักษณ์ของจ้าวเฟิงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เขาเองก็ยากจะคาดเดา
“จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งรู้จักกันงั้นรึ?” เหล่ายอดฝีมือและผู้อาวุโสของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นเผยสีหน้าคาดไม่ถึง
จะต้องรู้ว่า หนานกงเซิ่งเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักสามดาวในชางไห่ที่ห่างไกล
แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว เหมือนว่าหนานกงเซิ่งจะหวาดกลัวและยำเกรงจ้าวเฟิงอย่างประหลาด
“ข้ามิบอกว่าไม่ใช่”
จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ หนานกงเซิ่งชะงักค้างไป
ย้อนคิดๆ ดู จ้าวเฟิงก็เคยตอบขณะที่อยู่ในอาณาเขตของเผ่าพันธุ์มนุษย์แมงป่องว่า ‘จ้าวเฟิงคือชื่อของข้า’
จ้าวเฟิงไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้ออกตัวอธิบาย
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน!”
บรรดายอดฝีมืออัจฉริยะทั้งสามสำนักล้วนแต่งุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก
โดยเฉพาะเหล่าลูกศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่ประหลาดใจยิ่ง
“จ้าวเฟิงผู้นี้…”
ข่งเฟยหลิง หลิวเทียนฝาน และหวงอวิ๋นหูล้วนจ้องจ้าวเฟิงเขม็ง
พวกเขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เหมือนอยู่กลางหมอกหนา มีปริศนาต่างๆ มากมาย
ฉับ ฉับ! จ้าวเฟิงเดินทอดน่องไปที่แท่นบูชาปีศาจ
อันที่จริงแท่นบูชาปีศาจถูกตัดแยกออกเป็นสี่ห้าส่วนแล้ว แต่ว่าบ่อเลือดตรงใจกลางกลับไม่ถูกทำลายไป
“จ้าวเฟิง…” หนานกงเซิ่งมองภาพด้านหลังของเด็กหนุ่มผู้นั้น อยากเอ่ยแต่หยุดไว้
เวลานี้ใจของเขามีข้อสงสัยนานัปการ
ณ ชางไห่ ชื่อเสียงของ ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ สะเทือนไปทั้งสามดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
‘คำสั่งล่าสังหาร’ ที่น่ากลัวเขย่าประสาทครั้งนั้น กลายเป็นเรื่องเล่าที่กระจายไปไกล
จักรพรรดิแห่งความตายเป็นถึงจักรพรรดิที่เก่าแก่และต้องห้ามที่สุดของชางไห่ ขนาดเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับยังไม่กล้าจะมีปัญหากับเขา
หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น
ผู้อาวุโสสูงสุดในขอบเขตเทวาเร้นลับของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินทราบข่าว ก็ตระหนกตกใจอย่างยิ่งที่สำนักของตนเองกลับสร้างบุคคลที่โดดเด่นเช่นนี้
ถ้าหาก ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ ยังอยู่ที่ชางไห่ ถึงจะเป็นเซียนก็ยังต้องเกรงอกเกรงใจเขา
จ้าวเฟิงไม่ได้อธิบาย แต่เดินไปที่บ่อเลือดอย่างช้าๆ
ตุบ! ร่างของจ้าวเฟิงฉับพลันกระโดดเข้าไปภายในบ่อเลือดที่อยู่ใต้เสาผลึกปีศาจ
บุ๋ง บุ๋ง~
ระลอกเลือดสีม่วงอ่อนในบ่อเลือดชะล้างร่างกายจ้าวเฟิง แต่กลับไม่ได้เผชิญหน้ากับการกัดกร่อนของพลังที่ชั่วร้ายแต่อย่างใด
“บ่อเลือดนี้ไม่เพียงแต่แฝงไปด้วยพลังเลือดที่บริสุทธิ์มหาศาล ทั้งยังหลอมรวมพลังของผลึกปีศาจเข้าไป”
จ้าวเฟิงเอนกายลงในบ่อเลือด ท่าทางพึงพอใจ
เพราะเจ้าแมวขโมยตัวน้อยได้ใช้คทามารสื่อสารพลังของผลึกปีศาจ จ้าวเฟิงจึงไม่ถูกกัดกร่อนจากพลังชั่วร้าย
ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น ถึงจะเป็นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำ กระโดดลงไปในบ่อเลือดก็สลายไปจนหมด
จ้าวเฟิงโคจร ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ใช้พลังผลึกเซียนและเลือดบริสุทธิ์ในบ่อเลือดมาหล่อหลอมเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของตนเอง
พลังของเลือดแนบสนิทอย่างยิ่งกับร่างกายมนุษย์ จึงทำให้ผลลัพธ์ในการหล่อหลอมร่างกายไม่เลวทีเดียว อีกทั้ง พลังในบ่อเลือดนี้ไม่เพียงแต่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย ยังเพิ่มความแกร่งกล้าให้กับกับปราณที่แท้จริงได้ด้วย
จ้าวเฟิงสนใจบ่อเลือดนี้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
ถึงแม้ว่าผลึกปีศาจจะมีมูลค่าสูงส่ง แต่เขาในตอนนี้ไม่สามารถรับพลังที่อยู่ภายในผลึกเซียนได้เลย
พรึ่บ! พรึ่บ!
อัจฉริยะขั้นราชันทั้งสองอย่างหนานกงเซิ่งและกูเจาจื้อกระโดดมายังบ่อเลือด
กูเจาจื้อปรายตามองจ้าวเฟิงที่อยู่ในบ่อเลือดแวบหนึ่ง แล้วจึงมองไปที่หนานกงเซิ่งด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม
หากจะพูดเรื่องพลัง หนานกงเซิ่งยังอยู่เหนือกว่าเขาขั้นหนึ่ง
แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว หนานกงเซิ่งหวาดกลัวและระแวดระวังเจ้าเด็กในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำอย่างประหลาด
“จ้าวเฟิง เจ้ามีแผนจะจัดการผลึกปีศาจนี้อย่างไร?”
ในที่สุดหนานกงเซิ่งก็เปิดปากถาม
ทันทีที่เอ่ยออกมา ยอดฝีมืออัจฉริยะทั้งสามสำนักในที่นั้นล้วนใจเต้น รวมไปถึงกูเจาจื้อที่อยู่ในขั้นราชันด้วย
พลังของหนานกงเซิ่งย่อมสามารถเอาชนะคนในที่แห่งนี้ทั้งหมด
เคล็ดวิชาและพรสวรรค์ด้านมิติของเขา หรือกระทั่งพลังของ ‘กระบี่ฟ้าดิน’ที่เป็นมรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ล้วนตราตรึงในใจคน
แต่ทว่า การแบ่ง ‘ผลึกปีศาจ’ ในเวลานี้ หนานกงเซิ่งกลับถามความเห็นของจ้าวเฟิง
“บ่อเลือดเป็นของข้า ผลึกปีศาจใช้ทำอะไรไม่ได้สำหรับข้าในตอนนี้ แต่หากใครช่วยเอา ‘แก่นผลึก’ ของสิงโตวายุอัสนีที่ติดตัวราชามนุษย์แมงป่องมาให้ข้าได้ ข้าจะช่วยคนผู้นั้นฉกชิงเอาผลึกปีศาจมาอย่างสุดความสามารถ”
จ้าวเฟิงเอ่ยช้าๆ
เขาครุ่นคิดอยู่ครั้งหนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจถอดใจจากผลึกปีศาจ
จุดแรก ผลึกปีศาจมีกลอุบายมากเกินไป ทั้งยังเป็นผลึกของเซียน เมื่อมาอยู่ในมือก็รังแต่จะเป็นเผือกร้อนที่ลวกมือเท่านั้น
จ้าวเฟิงในตอนนี้อย่างมากก็พอจะรับมือกับพลังราชันหรือรักษาชีวิตได้ ไม่อยากกลายเป็นจุดโจมตีของทุกคน
จุดที่สอง พลังที่แฝงอยู่ในผลึกปีศาจมีระดับขั้นสูงส่งเกินไป ยากจะดูดซึมเข้าไปได้ ครอบครองไว้ชั่วคราวก็ไร้ประโยชน์
แล้วยังมีจุดสำคัญอีกข้อ
พลังในผลึกปีศาจไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป ความชั่วร้ายเกิดขึ้นภายใน เผชิญกับการปนเปื้อนไปแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบดู ในบ่อเลือดก็หลอมรวมพลังผลึกเซียนส่วนหนึ่ง ดูดซึมสะดวก สามารถเพิ่มพลังของจ้าวเฟิงได้เลย
แล้วยังมีจุดที่สามคือ จะชิงผลึกปีศาจนั้นยากเย็นอย่างยิ่ง!
ขณะที่จ้าวเฟิงเพิ่งเข้าไปที่แท่นบูชาปีศาจ เขาเคยใช้ดวงตาเทพเจ้าตรวจตรา
ผลึกปีศาจนี้มีพลังสะท้อนกลับรุนแรง
“จ้าวเฟิงคนนี้ฉลาดไม่ธรรมดา เพียงประโยคเดียวก็ยึดครองบ่อเลือดที่มีประโยชน์ที่สุดเอาไว้ได้ แล้วจึงยกส่วนผลึกปีศาจที่มีปัญหาให้กับคนอื่น”
แววตาของผู้เฒ่าเฟ่ยเป็นประกายสว่างวาบ
ต่อจากนั้น ไม่มีใครกล้าแย่งชิงบ่อเลือดของจ้าวเฟิง
ด้วยเพราะแมวของเขามาแทนที่ไต้ซือมนุษย์งูคนก่อน สามารถสื่อสารกับพลังของผลึกปีศาจได้
อีกทั้งท่าทางเคารพนับถือที่หนานกงเซิ่งมีต่อจ้าวเฟิง ทำให้เขาดูลึกล้ำเกินจะคาดเดาอย่างยิ่ง
“ได้” หนานกงเซิ่งตอบรับเป็นคนแรก
เขาฝึกฝนศาสตร์มิติ มิใช่ร่างกาย จึงไม่ได้ปรารถนาพลังของบ่อเลือดมากนัก
กูเจาจื้อรวมไปถึงยอดฝีมืออัจฉริยะของ ‘ตำหนักวิญญาณปฐพี’ รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
“ศิษย์พี่กู พวกเราจะยกผลประโยชน์บ่อเลือดให้กับเขาอย่างง่ายดายเช่นนี้หรือ?”
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายคนเบื้องหลังเอ่ยด้วยสีหน้าไม่ยินยอม
แววตาของกูเจาจื้อกวาดผ่านร่างของจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่ง ยังคงอยู่ในความสงบก่อนชั่วคราว
สถานการณ์ในตอนนี้
หนานกงเซิ่งยืนอยู่ฝั่งจ้าวเฟิงอย่างสมบูรณ์ เจ้าแมวขโมยตัวน้อยกลายมาเป็นไต้ซือของแท่นบูชาปีศาจ
“น้องชายผู้นี้ เจ้าต้องรักษาคำพูด ใครช่วยให้เจ้าได้ ‘แก่นผลึก’ ของสิงโตวายุอัสนี เจ้าก็จะช่วยคนผู้นั้นเอาผลึกปีศาจมา?”
ครึ่งก้าวสู่ราชันผมขาวคนหนึ่งของตำหนักวิญญาณปฐพี แววตาอ่อนเยาว์กระฉับกระเฉง จับจ้องไปที่จ้าวเฟิงในบ่อเลือด
“แน่นอนว่าต้องเชื่อถือได้ ข้าจะไม่ขัดขวางการเก็บผลึกปีศาจของผู้อื่น ข้าทำได้เพียงช่วยสุดความสามารถ แต่รับรองไม่ได้ว่าจะได้ผลึกปีศาจมาแน่นอน”
จ้าวเฟิงตอบ
เมื่อเอ่ยออกมา คนทั้งสามสำนักในที่ดังกล่าวก็มีคนลองช่วงชิงเอาผลึกปีศาจมา
ผลสุดท้าย คนเหล่านี้ก็ล้วนแต่พ่ายแพ้ ถึงกระทั่งโดนโต้กลับจากผลึกปีศาจ
อั่ก!
ครึ่งก้าวสู่ราชันผมขาวผู้นั้นกระอักเลือดในทันที ส่วนคนอื่นที่ทดลองล้วนเสียเปรียบไปส่วนหนึ่ง คนที่อนาถาที่สุดก็ถูกพลังของผลึกปีศาจกระแทกออกไปจนสลบคาที่
จ้าวเฟิงแช่อยู่ภายในบ่อเลือด มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ผลึกปีศาจชิ้นนี้ไม่ใช่ผลึกเซียนธรรมดา
ว่ากันว่ามันเกาะตัวเป็นผลึกจาก ‘พลังของเซียน’ ชั่วร้ายผู้หนึ่ง ในวันนี้ความชั่วร้ายได้ถือกำเนิดขึ้น จึงมีความสามารถก้าวก่ายและโต้กลับโลกภายนอก
คทาในมือของเจ้าแมวตัวน้อยฝังเพชรโลหิตม่วง ที่แท้แล้วเป็นผลึกเริ่มต้นระดับสุดยอดซึ่งเคยถูกพลังผลึกเซียนกลืนให้เป็นเหมือนกัน แล้วผ่านวิธีการหลอมแบบพิเศษ เพื่อเชื่อมโยงกับผลึกปีศาจที่เป็นแหล่งกำเนิด
บุ๋ง~
จ้าวเฟิงเอนกายอยู่ในบ่อเลือด ใช้พลังของเลือดบริสุทธิ์และผลึกเซียนมาหล่อหลอมคุณสมบัติร่างกาย และเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังฝึกตนกับปราณที่แท้จริง
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
เบื้องหน้าของจ้าวเฟิงปรากฏพฤกษาอัสนีมืด ไผ่วายุทมิฬ และหญ้าจิตวารีห้าเสียง
เพียงชั่วพริบตา เวลาครึ่งวันก็ผ่านไป
ในช่วงระยะเวลานี้ ยอดฝีมืออัจฉริยะจำนวนมากของทั้งสามสำนักครุ่นคิดหาวิธีใช้ความพิเศษของพลังตน ลองช่วงชิงผลึกเซียน ทว่าไม่มีใครทำได้สำเร็จ
หนานกงเซิ่งนั่งขัดสมาธิบนพื้น ไม่ได้ลองทำอะไร
เขาลองชิงเอา ‘ผลึกปีศาจ’ ตั้งแต่มาถึงในตอนแรก แล้วต้องเผชิญกับการโต้กลับที่แกร่งกล้า
กูเจาจื้อแห่งตำหนักวิญญาณปฐพีลอบส่งคนไปตามหาร่ององรอยของราชามนุษย์แมงป่องผู้นั้น
“จ้าวเฟิง! ข้าจะไปเอา ‘แก่นผลึก’ ของสิงโตวายุอัสนีนั่นมา”
หนานกงเซิ่งยืนขึ้น
ยามนี้เขาฟื้นฟูไอสวรรค์แล้ว ร่างกายสว่างวาบหนึ่งแล้วจึงหายไปจากแท่นบูชาปีศาจ
“ศิษย์พี่กู หนานกงเซิ่งไปแล้ว ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะลงมือกับเจ้าเด็กนั่น”
ศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของตำหนักวิญญาณปฐพีเอ่ยแนะนำ
กูเจาจื้อยืนอยู่ที่เดิม ทอดสายตาลึกล้ำไปยังจ้าวเฟิงในบ่อเลือด
“ศิษย์พี่กูผู้นี้ ถ้าหากต่อสู้กันตัวต่อตัว ข้าคนแซ่จ้าวยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน”
จ้าวเฟิงยิ้มเหมือนไม่ใช่ยิ้มขณะมองเขา
เมื่อเอ่ยออกมาแล้ว ใบหน้าของกูเจาจื้อกระตุกอย่างรุนแรง
ลูกศิษย์ยอดฝีมือจากทั้งสามสำนักที่เหลือก็มีท่าทางแปลกประหลาด มีคู่ต่อสู้แบบนี้ที่ไหน จงใจบอกว่าพลังของตนสู้ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ อีกทั้งยิ่งเป็นเช่นนี้ ในใจของกูเจาจื้อก็ยิ่งรู้สึกระแวดระวัง
เมื่อนึกถึงที่หนานกงเซิ่งคอยระวังเด็กหนุ่มผู้นี้ และยังมีสีหน้าวุ่นวายอย่างเคารพยำเกรง ในใจของเขาก็รู้สึกสับสน
“ไป ไปตามหาราชามนุษย์แมงป่อง”
กูเจาจื้อเอ่ยสั่ง พลางนำกำลังคนกลุ่มหนึ่งไปตามหาราชามนุษย์แมงป่อง
ในเมืองใต้ดินแห่งนี้ สถานที่ที่สามารถเอาทรัพยากรมาไม่ได้มีเพียงแต่แท่นบูชาปีศาจนี้ ยังมีพื้นที่จำนวนมากที่สืบเสาะหาเอาได้
บุ๋ง!
จ้าวเฟิงเอนกายอยู่ในบ่อเลือด สั่นศีรษะอย่างอดไม่ได้
คำพูดของเขาเมื่อครู่ไม่ได้หลอกลวงกูเจาจื้อ
ตอนนี้ ระดับขั้นวิญญาณของจ้าวเฟิงอย่างมากก็เทียบเท่าได้กับราชันในขอบเขตปราณเทวะ กับคนต่ำกว่าราชันลงไปก็ยังรับมือได้อย่างสบายๆ
แต่กูเจาจื้อเป็นราชันในอัจฉริยะรายชื่อจักรพรรดิ กำลังรบยอดเยี่ยมนัก
ถ้าหากสู้กันตัวต่อตัวจริงๆ บางทีจ้าวเฟิงอาจมีความสามารถรักษาชีวิต แต่โอกาสจะชนะมีน้อยนิดอย่างยิ่ง
ในบ่อเลือด พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ของล้ำค่าทั้งสามชนิดอย่างพฤกษาอัสนีมืด ไผ่วายุทมิฬ กับหญ้าจิตวารีห้าเสียง หลังจากที่ใช้พวกมันไปจนหมดแล้ว พลังฝึกตนของเขาก็เข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย
ซ้ำบ่อเลือดนั้นยังแฝงไปด้วยพลังของผลึกเซียนและเลือดบริสุทธิ์ จึงสามารถเพิ่มพลังให้กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์และพลังฝึกตนของปราณที่แท้จริงได้อีกมาก
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง สมาชิกส่วนหนึ่งเอ่ยพึมพำอย่างไม่พอใจ
“จ้าวเฟิงคนนี้กลับฮุบพลังของบ่อเลือดนี้ไปเพียงคนเดียว เห็นแก่ตัวเกินไปจริงๆ!”
“เขามีความสามารถ แต่กลับไม่ช่วยสำนักเราช่วงชิง ‘ผลึกปีศาจ’…”
ยอดฝีมือผู้อาวุโสและลูกศิษย์ของสำนักหลายคนไม่พอใจยิ่ง ตัดสินใจกันว่าจะไปเอ่ยสั่งสอนจ้าวเฟิงเสียหน่อย