บทที่ 849 พลังของอาวุธเทพชั้นรอง
“จ้าวหยูเฟย ระวัง! ‘มังกรมายาพันผันแปร’ เป็นอันดับสิบของรายชื่อวิถีราชา เป็นรองเพียงเซวียนหยวนเหวินและราชามังกรฟ้าวารี”
ผู้เฒ่าชุดเขียวร้องเตือนทันใด
ที่แท้ มังกรมายามีสายเลือดมายาผันแปรที่หาได้ยากยิ่ง ไม่เพียงลอกเลียนสิ่งต่างๆ ได้หลากหลาย แต่ยังสำแดงการโจมตีศาสตร์ลวงตาที่เยี่ยมยอดด้วย
กล่าวได้ว่า สายเลือดของมังกรมายามีเขตแดนศาสตร์ลวงตาที่พิเศษเฉพาะอยู่ในตัวเอง
ยามที่ประมือกัน จิตใจและประสาทสัมผัสจ้าวหยูเฟยได้รับผลกระทบรบกวน
ในการโจมตีของ ‘เด็กหนุ่มผมม่วง’ รวมเงาแสงลวงตาหลายชั้นเข้าไปด้วย แม้แต่สิ่งแวดล้อมยังบิดเบี้ยวแปรเปลี่ยน
หอหลอมศาสตราที่ร้อนระอุค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยลานที่พักคุ้นตา
“นี่มัน…ตระกูลจ้าว?”
จ้าวหยูเฟยใจสั่นสะท้าน
เด็กหนุ่มผมม่วงตรงหน้าเผยยิ้มที่เหมือนไม่ใช่ยิ้ม ใบหน้าพร่าเลือนทีละน้อย ก่อนจะกลายเป็นเด็กหนุ่มองอาจผู้หนึ่ง
นั่นคือจ้าวเฟิงวัยเด็กที่มีอยู่แค่ในความทรงจำเท่านั้น
สิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้มีเพียงสภาพแวดล้อมภายนอก ตัวจ้าวหยูเฟยเองก็กลายเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาเรือนร่างสะโอดสะอง
ทุกภาพความทรงจำที่เด็กหนุ่มกับเด็กสาวประลองในลานฉายซ้ำตรงหน้าอีกครั้ง
จ้าวหยูเฟยกับ ‘จ้าวเฟิงวัยเด็ก’ ปะทะเข้าหากัน
นางส่งเสียงขึ้นจมูก ร่างแบบบางถอยไปหลายก้าว กำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
พละกำลังที่ใช้ประมือของทั้งคู่ไม่ต่างกันมากนัก แต่ ‘จ้าวเฟิงวัยเด็ก’ ตรงหน้ากลับได้เปรียบก่อน
ไม่ใช่แค่ประสาทสัมผัสของนางเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้
ในสายตาคนภายนอก จ้าวหยูเฟยและมังกรมายาล้วนกลายเป็นตัวนางกับจ้าวเฟิงในวัยเด็ก รอบด้านก็แปรเปลี่ยนเป็นลานตระกูลจ้าวที่เมืองประกายอรุณ
ทุกอย่างผิดจากความจริงเพราะเงาแสงศาสตร์มายาไร้รูป ของจริงของปลอมผสมปนเปไปหมด
“หยูเฟย!”
พวกผู้เฒ่าชุดเขียวจากตระกูลตวนมู่ร้องลั่น
ทิศทางที่จ้าวหยูเฟยถูกบีบให้ถอยไปคือ ‘หลุมเตาหลอม’ แดงฉานแสบตา ตกลงไปเมื่อใด ถึงเป็นจักรพรรดิก็ยากจะรอดพ้นความตาย
เปรี้ยง ผัวะ ผัวะ!
จ้าวหยูเฟยประจันหน้ากับมังกรมายาสิบกว่าครั้งในชั่วพริบตา แสงเงามายาทับซ้อน ภาพรอบตัวบิดเบี้ยว ประสาทสัมผัสใช้การไม่ได้
ยามนี้ จ้าวหยูเฟยถอยร่นไปทางหลุมไฟด้านหลังทีละก้าว
“พี่จ้าวเฟิง…”
นัยน์ตานางคลอน้ำจนพร่ามัว สีหน้าอารมณ์ซับซ้อน ราวกับตกไปอยู่ในความทรงจำเมื่อกาลก่อน
“ตายเสีย!”
มังกรมายาพันผันแปรหัวเราะเยาะหยัน กำปั้นใต้ชั้นแสงสีเขียวอำพรางตา มุ่งตรงเข้าหาใบหน้างามราวกระเบื้องเคลือบหยกของจ้าวหยูเฟย
“น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่…”
ในครรลองสายตา คนในชุดม่วงสูงส่งหรูหรา ดวงตาใสกระจ่างพลันฉายแสงเย็นยะเยือก
จิตสังหารหนาวเหน็บที่แรงกล้าก่อตัวขึ้นบนตัวจ้าวหยูเฟย
พรึ่บ…
ชั่วพริบตาเดียว ผิวทั่วร่างนางโปร่งใสดุจผลึก เปล่งแสงม่วงโชติช่วง พลานุภาพสายเลือดมหาศาลทำให้พลังจำนวนมากในหอปั่นป่วนตื่นกลัว
วินาทีนั้น ไม่ว่าราชันหรือจักรพรรดิปราณเทวะ กำลังวิชาล้วนสะเทือนโดยไร้สาเหตุ จนกระทั่งรั่วไหลออกไปบางส่วน
“เหตุใดจึง…”
เซวียนหยวนเหวินที่อยู่อีกด้าน พลังจักรพรรดิบนร่าง ปราณที่แท้จริงในกาย ปรากฏคลื่นความเปลี่ยนแปลง
ฟุ่บ!
บุรุษต่างเผ่าพันธุ์มีแสงพรางตาถูกจ้าวหยูเฟยสะบัดมือใส่จนถอยร่นไปหลายสิบจั้ง มุมปากมีเลือดไหลหยด
เวลาเดียวกัน
ภาพมายาบิดเบี้ยวในสายตาจ้าวหยูเฟยเลือนหายไปโดยไร้ร่องรอย
“ไม่เสียทีที่เป็นผู้มีสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณ”
บุรุษต่างเผ่าพันธุ์ผู้นั้นหรี่ดวงตาที่เล็กราวเม็ดถั่ว เช็ดคราบเลือดที่มุมปาก อาศัยแรงพลิกตัวกลางอากาศกลับไปรวมพลกับเว่ยจิ้ง
เมื่อครู่นี้
จ้าวหยูเฟยกระตุ้นพลังพรสวรรค์ของสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณไปถึงขีดจำกัด ทำให้ผู้แข็งแกร่งเช่นมังกรมายาที่เป็นอันดับสิบในรายชื่อสายเลือดวิถีราชาบาดเจ็บจนถอยหนี
แน่นอนว่าศาสตร์ลวงตาของมังกรมายา มีแรงต้านทานซึ่งหน้าห่างชั้นจากอันดับเก้าอย่างราชามังกรวารีประมาณหนึ่ง
“ถอย!”
หลังสองมังกรกลับมารวมตัวกัน เงาร่างก็หายวับไปจากที่เดิม
“พวกท่านทั้งหลาย! นั่นคือพรสวรรค์พรางกายหลบหนีของมังกรมายาพันผันแปร!”
ศิษย์พี่จูเก๋อหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
สองดวงตาฉายแสงสีขาวคมกริบสองสาย เพียงแต่พยายามจับได้แค่ร่องรอยบางส่วน
เว้นแต่จะเป็นสายเลือดดวงตาประเภท ‘เนตรดาราม่วง’ ของตระกูลจีที่แข็งแกร่งนัก จึงจะควบคุมการหลบหนีของมังกรมายาได้
แต่น่าเสียดายที่คนตระกูลจีไม่ได้เข้ามาในหอหลอมศาสตราด้วย ในที่นี่ก็ไม่มีสายเลือดดวงตาที่แกร่งมากพอ
ความจริงแล้ว
ร่างมังกรมายาไม่มีความสามารถด้านมิติ แต่เขาสามารถเลียนแบบปรากฏการณ์ต่างๆ รวมทั้งระลอกกลิ่นอายส่วนหนึ่ง
ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาจึงจับคู่กับมังกรฟ้าวารี และลอกเลียนสถานะ ‘มารคู่ผมม่วง’ ได้สมจริงปานนั้น
“กล้าสวมรอยเป็นพี่เฟิง ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”
ใบหน้าสะสวยของนางเผยความโกรธเกรี้ยว
นางสำแดงประสาทสัมผัสสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณจนถึงจุดสูงสุด จับร่องรอยกลิ่นอายที่รางเลือน พร้อมทั้งตามติดไป
ทว่า ผู้ที่ร่วมไล่ตามอย่างแท้จริงมีเพียงจ้าวหยูเฟยและศิษย์พี่จูเก๋อ
ราชันคนอื่นส่วนใหญ่ยากจะจับเบาะแสหลังมังกรมายาพรางตัวหลบหนีแล้ว
เซวียนหยวนเหวินกับเซียนกระบี่ก็มีความสามารถนี้ แต่ยามนี้การแย่งชิง ‘กระบี่สนิมทองแดง’ เข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญสุดท้ายแล้วเช่นกัน
แสงกระบี่รอบกายผู้เฒ่าเคราขาวแวววาวแสบตา ประหนึ่งรัศมีสีขาวรอบดวงอาทิตย์
ในแววมีจิตกระบี่ลืมสิ้นซึ่งความเป็นความตาย ทุกก้าวเดินล้วนละทิ้งหนทางถอยของตนไปด้วย
ถึงแม้เผชิญหน้าอานุภาพกลิ่นอายกระบี่เทพเก่าแก่ ผู้เฒ่าเคราขาวก็ไม่ได้ถอยหนีแม้แต่ครึ่งก้าว
เคร้ง!
‘กระบี่สนิมทองแดง’ กลางอากาศพลันปลดปล่อยแสงกระบี่เขียวหม่นสั่นสะเทือนฟ้าดิน ฟาดฟันเข้าใส่เซียนกระบี่เคราขาว พร้อมด้วยจิตกระบี่เก่าแก่เย็นเยือก
อึก ผู้เฒ่าเคราขาวกระอักเลือด ตกอยู่ท่ามกลางเงาทับซ้อนของกระบี่ที่สับสนวุ่นวายไร้จุดสุดสิ้น
“ผู้อาวุโสเซียนกระบี่!”
สตรีชุดดำผู้เย็นชาจากหอกระบี่ฟ้าพลันร้องตกใจ
“ฟ้าลิขิตไว้ ถึงตายข้าก็ไม่เสียดาย!”
ปราณที่แท้จริงและชีวิตของผู้เฒ่าเคราขาวโรยราลงอย่างรวดเร็วทันตาเห็น ผิวหนังทั้งร่างแห้งเหี่ยวชราลงอีก
“ร่างแปลงกระบี่!”
ทั้งกายผู้เฒ่าเคราขาวพลันลุกไหม้ กลายเป็นแสงกระบี่ใหญ่ยักษ์ดุจอาทิตย์แรงกล้า ก่อนจะพุ่งตรงไปยังกระบี่ทองแดงขึ้นสนิม
ชั่วเวลานั้น ทั้งหอหลอมศาสตราถูกแสงกระบี่แวววับที่ละทิ้งซึ่งทุกอย่างปกคลุม กระทั่งเพลิงร้อนในหลุมยังอับแสงลง
เซวียนหยวนเหวินผู้แข็งแกร่งเผยสีหน้าซับซ้อนและเคารพยกย่อง
“พลังกระบี่แก่กล้ายิ่งนัก เกรงว่าคงสังหารจักรพรรดิได้ในพริบตา ไม่ก็คุกคามเซียนเทวาเร้นลับได้…”
ราชามังกรฟ้าวารีกับมังกรมายาที่กำลังพรางตัวหลบหนีใจกายสั่นระริก กลิ่นอายศาสตร์กระบี่เหล่านั้นทำให้พวกเขาหวาดกลัวหาใดเปรียบ
ในตอนนี้ ทั้งหอทรงหกเหลี่ยมมีแต่แสงกระบี่ระยิบระยับซึ่งปกคลุมทุกสิ่ง
ภายในแสงสว่างมีเสวียนอ้าวศาสตร์กระบี่ตลอดทั้งชีวิตของผู้เฒ่าเคราขาว ไปจนกระทั่งราคาที่ต้องจ่ายด้วยทุกอย่าง
ผัวะ เคร้ง!
‘กระบี่สนิมทองแดง’ ที่ลอยล่องเปล่งแสงสีเขียวหม่นหมุนวน กาลเวลาทุกที่ผิดเพี้ยน ขอบเขตทับซ้อนไร้สิ้นสุดปรากฏขึ้น
ฟุ่บ วูบ!
แสงกระบี่วาววับจากตัวผู้เฒ่าเคราขาว ตรงเข้าสู่วงแสงหมุนวน ขอบเขตทับซ้อนรอบด้านบิดเบี้ยวโค้งงอ
เวลาคล้ายหยุดนิ่งในวินาทีนั้น
แสงกระบี่ที่ล้อมรอบร่างผู้เฒ่าเคราขาว ส่องสว่างแสบตา ประสานเป็นหนึ่งกับแสงที่หมุนวนของกระบี่สนิมทองแดง ทั้งสองรักษาสมดุลของอีกฝ่ายไว้
ทันทีที่มองไป ดูเหมือนมีสองกระบี่เทพพร่างพราว ‘ดึงดูดซึ่งกันและกัน’ กลางอากาศ กระบี่หนึ่งในนั้นมาจากร่างของผู้เฒ่าเคราขาว
ราชันทุกผู้ในหอหลอมศาสตรามีใบหน้าโศกเศร้า พลางมองภาพที่รักษาสมดุลได้อย่างน่าอัศจรรย์นั้น
หากมีข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ผู้เฒ่าเคราขาวก็ไม่อาจฟื้นคืนสภาพได้อีกตลอดกาล
เวลาเดียวกัน
จ้าวหยูเฟยกับศิษย์พี่จูเก๋อตามร่องรอยที่หลบหนีไปจนมาถึงหน้าประตูหอ
“ผนึกประตู!”
ตรงหน้าประตูมีราชันปราณเทวะราวหกคน รวมทั้งสองราชันจากตระกูลตวนมู่ และศิษย์น้องเติ้งเชาที่เพิ่งเลื่อนระดับขั้น
โครม! พลังของราชันหกคนรวมอยู่ที่เขตแดนแห่งหนึ่ง ก่อนกลายเป็นกำแพงแสงหมุนวนห้าสีกีดขวางไว้
ราชันทั้งหกผนึกกำลังกัน ถึงแม้เป็นจักรพรรดิก็ยับยั้งไว้ได้
เปรี้ยง โครม!
‘มังกรวารีน้ำแข็ง’ ที่มีเกล็ดฟ้าปกคลุมทั้งตัว พาฝนเย็นยะเยือกน่าสะพรึงกลัวโจมตีเข้ามา กรงเล็บมังกรคมกริบขนาดใหญ่ตะปบลงบนกำแพงห้าสีอย่างรุนแรง
ผัวะ!
กำแพงแสงของหกราชันอับแสงลงทันใด ส่วนมากหากรับการโจมตีระลอกที่สองจะพังทลายลง
แต่สิ่งนี้ทำให้กลุ่มยอดฝีมือคนอื่นได้โอกาส
“อย่าให้พวกต่างเผ่าพันธุ์สองคนนั่นหนีไป”
นอกหอหลอมศาสตรา ครึ่งก้าวสู่ราชันที่กำลังพักฟื้นส่วนหนึ่งพากันมาเข้าร่วมกับกลุ่มหกราชันที่หน้าประตู
“ค่ายกลลวงตา!”
พัดโบราณในมือศิษย์พี่จูเก๋อกางออก พุ่งขึ้นกลางอากาศ ก่อนส่งโซ่เงินหนาแน่นกลุ่มหนึ่งตรงเข้ารัดมังกรทั้งสอง
หมับ!
ชั่วพริบตาเดียวกัน แสงสีม่วงสว่างดุจดาวตกปะทะมาจากด้านหลัง พร้อมด้วยพลังไอสวรรค์มหาศาล
ภายใต้การจู่โจมจากพลังนั้น ร่างกาย สายเลือด และปราณที่แท้จริงของราชันมังกรฟ้าวารีกับมังกรมายาสั่นสะท้าน
กลางแสงม่วงวาววับ มีเสียงสตรีดังมา มองเห็นหญิงชุดม่วงงดงามเหมือนนางเซียนได้รางๆ
“หยุด!”
มืองามของนางกดลงเบาๆ มิติสีม่วงสมจริงพร้อมกับพลังไม่มีสิ้นสุด ปกคลุมเหนือศีรษะสองมังกร
โลกมิติส่วนตัว!
พวกราชามังกรวารีหน้าเปลี่ยนสี
ยามนี้ สองราชันต่างเผ่าพันธุ์ตกอยู่ท่ามกลางการขนาบโจมตีหน้าหลังจากราชันหลายคน
โดยเฉพาะจ้าวหยูเฟยกับศิษย์พี่จูเก๋อ อย่างน้อยอยู่ในสิบสองอันดับแรกของรายชื่อวิถีราชา กำลังรบใกล้เคียงสิบอันดับแรก
หากเวลายืดยาวออกไป มังกรทั้งสองจะตกอยู่กลางวงล้อมของครึ่งก้าวสู่ราชันและราชันจำนวนมาก
ตอนนี้
มังกรทั้งสองอยู่กลางบ่อโคลน รับมือการจู่โจมจนเหนื่อยล้า อันตรายยิ่งนัก
“เจ้าโง่ทั้งสอง ยังไม่ใช่พลังของ ‘อาวุธเทพชั้นรอง’ อีก”
เสียงเหยียดหยามโอหังดังผ่านหูพวกเขา
เมื่อกล่าวจบ
พรึ่บ! เงามิติทับซ้อนซึ่งโอบล้อมด้วยหมอกขาวปิดบังพวกมังกรวารีไว้
เงามิติลี้ลับนั้นกดและต้านโลกมิติส่วนตัวของจ้าวหยูเฟยลงไป
“เอ๊ะ!”
ราชันและครึ่งก้าวสู้ราชันหลายคนแถวประตู ถูกมิติทับซ้อนนั้นเข้าปกคลุม จึงมึนหัวหลงทิศทางในทันใด
“ระวัง! นี่คือพลังของอาวุธเทพชั้นรอง ‘มนตราอากาศ’ มันมีโลกมิติส่วนตัวของตัวเอง ซ้ำยังมีความสามารถด้านมิติที่แปลกประหลาด…”
ศิษย์พี่จูเก๋อร้องเสียงต่ำ
พรึ่บ! มิติทับซ้อนพร้อมหมอกขาวพลันลดขนาดลง ก่อนกลายเป็นคลื่นหมอกหมุนวน
ทุกคนนิ่งอึ้ง เบิกตาโตมองระลอกหมอกตรงหน้าหดเล็กลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายระเหยเป็นไอ
“นี่คือพลังความสามารถของอาวุธเทพชั้นรอง!”
คนทั้งหลายในที่นั้นคล้ายตื่นจากฝัน
“ตาม!”
ห้วงคิดเซียนของศิษย์พี่จูเก๋อตามจับระลอกหมอกขาวที่เพิ่งปรากฏในป่าห่างไกลออกไป
“ฮ่าฮ่า มีมนตราอากาศชิ้นนี้แล้ว จากนี้พวกเราไม่ต้องกลัวการสู้แบบกลุ่มอีก ต่อให้จักรพรรดิสองคนมาก็ทำอะไรไม่ได้”
เงาร่างมังกรทั้งสองค่อยๆ เผยตัวกลางหมอกขาว
สำหรับพวกศิษย์พี่จูเก๋อที่ไล่ตามหลังมา พวกเขาแสดงสีหน้าหยามเหยียด
กระทั่งทั้งคู่คิดว่าจะกลับไปตามฆ่าใหม่ดีหรือไม่
ทว่าในตอนนั้นเอง
บนต้นไม้ด้านหน้ามีเสียงราบเรียบดังมา “พวกท่านทั้งสองฝ่าวงล้อมออกมาได้ดังคาด คนแซ่จ้าวรออยู่ตรงนี้นานแล้ว”
“ผู้ใดกัน!”
สองมังกรตื่นตระหนกตกใจ มองเด็กหนุ่มผมม่วงที่หลับตานั่งขัดสมาธิอยู่บนต้นไม้ใหญ่