บทที่ 850 เนตรเพ่งเทพเจ้า
หน้าประตูหอหลอมศาสตราทรงหกเหลี่ยม
“ราชามังกรวารีกับมังกรมายาได้อาวุธเทพชั้นรอง ‘มนตราอากาศ’ ไปแล้ว อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไปได้”
“พวกต่างเผ่าพันธุ์กลับลักขโมยอาวุธชั้นรองไปต่อหน้าต่อตาทุกคน…”
ราชันทั้งหกคนกับครึ่งก้าวสู่ราชันอีกราวยี่สิบยังตื่นตระหนกไม่หาย ใบหน้าแตกยับเยิน โกรธแค้นไม่ยินยอม
ถึงอย่างไรในหอก็มีอัจฉริยะกับคนชั้นหัวกะทิ แต่กลับปล่อยให้สองคนนั้นทำการสำเร็จ
ที่หน้าอับอายที่สุดคือ คนมากมายเพียงนี้เข้าขวางยังปล่อยให้หนีรอดไปอีก
“ตาม!” ราชันและครึ่งก้าวสู่ราชันเหล่านั้นไม่ยินยอม พากันไล่โจมตี
สองคนหน้าสุดคือจ้าวหยูเฟยและศิษย์พี่จูเก๋อเช่นเคย
แต่ในกลุ่มคน ‘ศิษย์น้องเติ้งเชา’ ที่เพิ่งข้ามผ่านเป็นราชันกลับไม่ได้ไล่ตามด้วย
“ขอรับ นายท่าน”
เติ้งเชาหมุนกายกลับเข้าไปในหอ เฝ้าดูสถานการณ์ทางนี้ต่อ
คนที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนติดตามไป
ในบรรดาเหล่านั้นมีราชันสองสามคนของตระกูลตวนมู่ พร้อมด้วยราชันจากตระกูลเจียงและจวนหยวนกง
นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่เพิ่งแตะถึงขั้นราชันได้ไม่นาน เป็นชายสูงใหญ่คิ้วหนาผู้หนึ่ง
ชายคิ้วหนาผู้นี้คือกูเจาจื้อ อัจฉริยะราชันจากสำนักสามดาว ‘ตำหนักวิญญาณปฐพี’ ที่จ้าวเฟิงเคยพบที่เมืองใต้ดิน
กูเจาจื้อเข้ามาในคฤหาสน์เสียหยางทีหลัง นำครึ่งก้าวสู่ราชันมาด้วยเพียงสี่คน
คิดไม่ถึงว่าพวกเขาเพิ่งมาใกล้คฤหาสน์ก็โดนมังกรวารีล้างโลกาขู่เข็ญ
“อาวุธเทพชั้นรอง! ไม่นึกเลยว่าในคฤหาสน์จะมีสมบัติสะเทือนฟ้าดินระดับนี้”
กูเจาจื้อเลือดลมพลุ่งพล่าน
สำหรับคนทั่วไป แค่ได้เห็น ‘อาวุธเทพชั้นรอง’ สักครั้ง ก็เป็นความหวังที่ยากจะเป็นจริงแล้ว
“ไปดูเสียหน่อย”
กูเจาจื้อไม่คาดหวังมากนัก แต่ยังนึกปรารถนาอยู่บ้าง
เพราะของต้องห้ามระดับอาวุธเทพชั้นรองและอาวุธเทพเก่าแก่ล้วนมีผู้มีวาสนาต้องกันอยู่
ตึก! ตึก! สวบ!
เหล่าราชันและครึ่งก้าวสู่ราชันสิบกว่าคนไล่ตามเข้าสู่ป่าไกลออกไป โดยมีศิษย์พี่จูเก๋อกับจ้าวหยูเฟยเป็นผู้นำ
“เอ๊ะ!”
ศิษย์พี่จูเก๋อรับรู้ได้จากไกลๆ ว่ามังกรทั้งสองที่ปรากฏกายในป่าหยุดชะงักกะทันหัน
ภายในป่า
“พวกท่านทั้งสองฝ่าวงล้อมออกมาได้ดังคาด ไม่เสียแรงที่คนแซ่จ้าวรออยู่ตรงนี้นานแล้ว”
ราชามังกรฟ้าวารีกับมังกรมายามีสีหน้าตกตะลึง มองยังเด็กหนุ่มผมม่วงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนต้นไม้
แต่ทว่า
เมื่อทั้งสองเห็นชัดว่าผู้มาเยือนเป็นเพียงเด็กหนุ่มขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง ก็อดหัวเราะลั่นมิได้ สีหน้าฉายแววเหยียดหยาม
ถึงแม้เด็กหนุ่มจะเป็นหนึ่งในมารคู่ผมม่วงก็ตาม
หลังจากพวกราชามังกรวารีได้อาวุธเทพชั้นรอง ‘มนตราอากาศ’ มา ความมั่นใจก็เพิ่มขึ้นมาก
การปิดล้อมขัดขวางจากยอดฝีมือและศัตรูที่แข็งแกร่งเมื่อครู่ พวกเขายังฝ่าออกมาได้ จะเกรงกลัวเด็กหนุ่มผู้หนึ่งไปทำไม
ราชามังกรวารีถึงขั้นคิดจะใช้จุดเด่นของ ‘มนตราอากาศ’ เล่นสนุกกับอัจฉริยะมนุษย์พวกนี้สักหน่อย
ดีไม่ดีอาจกลับไปเอาอาวุธเทพชั้นรองหรือกระทั่งอาวุธเทพเก่าแก่มาได้สักชิ้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า…เจ้าเด็กผมม่วง คราวก่อนเจ้าได้ เปรียบไป ครั้งนี้เจ้ามาหาถึงที่ คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ”
ราชามังกรวารีแผดเสียงยาว พลังสายเลือดที่หนาวเหน็บรุนแรงยังผลให้ต้นไม้แถวนั้นมีชั้นเกล็ดน้ำแข็งเกาะ
แม้ด้านหลังจะมีเงาร่างจำนวนหนึ่งไล่ตามมา ราชามังกรวารีกลับไม่สะทกสะท้าน
เขาเพียงเหลือบมองเกราะบนแขนตนเรียบๆ จิตใจเยือกเย็น
มีอาวุธเทพชั้นรองชิ้นนี้ เท่ากับมีโลกมิติส่วนตัวที่เยี่ยมยอด พร้อมกับความสามารถด้านมิติบางอย่าง
“พี่เฟิง…”
จ้าวหยูเฟยที่อยู่ด้านหลังกำลังเร่งตามไปทางป่า ใบหน้าตึงเครียด
ความน่ากลัวของราชามังกรวารีกับมังกรมายา นางเคยประสบกับตัวมาแล้ว สองคนนี้ร่วมมือกันจะต่อกรจักรพรรดิได้ หลังครอบครองอาวุธเทพชั้นรองก็ยิ่งเหมือนเสือติดปีก
“เป็นจ้าวเฟิง!”
กูเจาจื้อจากตำหนักวิญญาณปฐพีที่ตามหลังมากับกลุ่มคนเบิกตาโตยกใหญ่
“จ้าวเฟิงในกลุ่มมารคู่ผมม่วง!” ราชันและครึ่งก้าวสู่ราชันจากขั้วอำนาจเช่นตระกูลตวนมู่ ตระกูลเฉา และจวนหยวนกงก็จำเขาได้
เด็กหนุ่มผู้นั้นยังไม่ถึงขอบเขตปราณเทวะ กลับเผชิญหน้าสองมังกรอันธพาล คนทั้งหลายจึงอดไม่ได้ ลอบปาดเหงื่อแทนเขา
“ทั้งสองคน จบสิ้นกันตรงนี้”
ยามนี้ จ้าวเฟิงบนต้นไม้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
วินาทีนั้น
มังกรทั้งสองและเหล่าคนด้านหลังใจกายสั่นสะท้านโดยไร้สาเหตุ
บางทีอาจเป็นเพราะคำพูดไม่อนาทรร้อนใจของเด็กหนุ่ม
หรืออาจเพราะพวกเขาตระหนักได้ถึงดวงตาที่ ‘เพิ่ง’ เปิดขึ้นของอีกฝ่าย ไม่ก็ท่าทีคล้ายรอมาเนิ่นนาน
เมื่อประจันหน้ากลุ่มสองมังกรที่ว่ากันว่าแกร่งไร้เทียมทาน เด็กหนุ่มกลับนิ่งเฉย ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
‘หนานกงเซิ่ง’ ผู้เป็นมารคู่ผมม่วงอีกคนปรากฏตัวอยู่ด้านหลัง ท่าทางคล้ายไม่คิดจะลงมือ
“จ้าวเฟิง แรงเจ้าคนเดียวก็กำราบเจ้าพวกนี้ได้แล้ว”
หนานกงเซิ่งส่งเสียงมา
อย่างไรเสีย เขาก็เพิ่งเห็นมังกรสองตนนี้ตกอยู่ในวงล้อมการโจมตีของเหล่าราชัน
ยังกล่าวไม่ทันจบ เหตุการณ์พลิกผันก็บังเกิด
“เนตร..เพ่ง..เทพเจ้า!”
ภายในสายเลือดดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิ มีพลังดวงตาวิญญาณสีม่วงน่าสะพรึงผุดขึ้น
ชั่วพริบตา ในตาซ้ายก่อรูปเป็นน้ำวนลึกล้ำไม่เห็นก้นบึ้ง ราวกับหุบเหวมายาไร้พรมแดนที่มีหมอกลอยวน พลังต้องห้ามซึ่งมุ่งเป้าไปที่วิญญาณปกคลุมทั่วนัยน์ตาของเด็กหนุ่ม
“เจ้าพวกโง่เง่า! รีบหนีเร็ว!”
เสียงร้อนรนของมังกรวารีล้างโลกาลอยผ่านข้างหูทั้งคู่
ทว่าคำเตือนจากมันมาช้าเกินไป
“ทำไมถึงได้…”
ราชามังกรฟ้าวารีกับมังกรมายาเหน็บหนาวสั่นเทาในวิญญาณ ประหนึ่งถูกคุมขัง ไม่อาจหลุดพ้นออกไปได้
ทั้งสองประหวั่นพรั่นพรึง ใบหน้าเผยอาการหวาดกลัว ดวงวิญญาณดิ้นรนสุดชีวิต
ในครรลองสายตา น้ำวนสีม่วงในตาซ้ายของเด็กหนุ่มขยายออกไม่มีสิ้นสุด พลังต้องห้ามที่สะกดและดึงดูดวิญญาณปกคลุมทั่วร่างพวกเขา
พลังต้องห้ามดังกล่าวราวอำนาจของนายเหนือหัว ไม่อาจขัดขืน ไม่อาจยับยั้ง
“อะไรกัน!”
พวกมังกรฟ้าวารีเหงื่อไหลอาบแผ่นหลัง แววสิ้นหวังหวาดกลัวในดวงตาขยายออกกว้าง เสมือนหนึ่งไม่ว่าพวกเขาจะต้านทานอย่างไร ก็ไม่สามารถหยุดยั้งโชคชะตาที่วิญญาณถูกกักขังและถูกฉุดดึงไปได้
“สวรรค์…”
ทางด้านหลัง เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายที่เร่งรุดตามมาใจสั่นเทา
โดยเฉพาะยามสบตาซ้ายของจ้าวเฟิง ทั้งกายและใจแข็งทื่อเย็นเยียบ เหมือนวิญญาณจะหลุดลอยออกจากร่าง
“วิชาดวงตาต้องห้ามน่าสะพรึงนัก ถ้าหากเป็นจีหลานละก็…”
เฉาอวิ๋นจากตระกูลเฉารู้สึกหายใจลำบาก หัวใจเต้นถี่รัว
ตอนนี้ อัจฉริยะสองคนในสิบอันดับแรกของรายชื่อจักรพรรดิสิ้นหวังอับจนหนทาง ดิ้นรนด้วยความหวาดกลัวอยู่ภายใต้ ‘วิชาดวงตาต้องห้าม’ ของจ้าวเฟิง
“จ้าวเฟิงผู้นี้! เหตุใดจึง…”
กูเจาจื้อของตำหนักวิญญาณปฐพีตื่นตกใจจนไร้เสียง
แม้แต่ศิษย์พี่จูเก๋อที่คุยเล่นยิ้มแย้มมาตลอดยังพลันเปลี่ยนสีหน้า มีท่าทีตกตะลึงมึนงง
“แรงหนึ่งคน กดข่มสองมังกร เขาใกล้จะทำสำเร็จแล้ว…”
ศิษย์พี่จูเก๋อมีสีหน้าเคร่งขรึม
กลิ่นอาย ‘วิชาดวงตาต้องห้าม’ ของเด็กหนุ่มผมม่วงทำให้วิญญาณเขากระวนกระวาย
เมี้ยว! แมวขโมยตัวน้อยบนตัวจ้าวหยูเฟยกลายเป็นเส้นแสงสีเทาเงิน ก่อนหายวับไป
“ต้านไม่ไหวแล้ว…”
ราชามังกรวารีร้องคำราม เปลี่ยนร่างเป็น ‘มังกรวารีน้ำแข็ง’ ตัวใหญ่ยักษ์อีกครา
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาสิ้นหวังคือ สายเลือด ‘จักรพรรดิมังกรวารีน้ำแข็ง’ ซึ่งเป็นสิบอันดับแรกในรายชื่อวิถีราชา กลับสั่นไหวไม่เป็นสุขภายใต้การมองเขม็งของดวงตาซ้าย
ทันใดนั้น วิญญาณดั้งเดิมสีฟ้าในรูปลักษณ์มังกรน้ำแข็งถูกดึงออกจากร่าง ‘ราชามังกรวารี’
“ช่วยข้าด้วย! นายท่านมังกรวารีทมิฬ…”
ราชามังกรวารีตกอยู่ใต้หุบเหวแห่งความสิ้นหวังอันไร้จุดสิ้นสุด
ท่ามกลาง ‘เนตรเพ่งเทพเจ้า’ ของจ้าวเฟิง เขาแทบจะไม่มีแรงตอบโต้ใด
สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าคือ จ้าวเฟิงสู้แบบหนึ่งต่อสอง
“ไม่ได้เด็ดขาด…”
ร่างวิญญาณดั้งเดิมหลากสีหลุดจากร่าง ‘มังกรมายาพันผันแปร’ แล้วครึ่งหนึ่ง
ภาพนี้ทำให้ยอดฝีมืออัจฉริยะที่ไล่ตามมาด้านหลังปากอ้าตาค้าง ความหนาวยะเยือกกระจายจากใต้เท้าสู่ทั่วร่าง
เด็กหนุ่มบนต้นไม้ยังนั่งขัดสมาธิเหมือนเคย
เพียงแต่เปิดดวงตาขึ้น
เขาคลับคล้ายเป็นตัวแทนเทพแห่งความตาย มุมปากหยักขึ้นยิ้มเย้ยหยัน
น้ำวนสีม่วงไร้ขอบเขตในตาซ้ายยิ่งลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ แรงดึงดูดร้ายแรงถึงชีวิตฉุดดึงวิญญาณของมังกรทั้งสองไป
“มีแรงต้านทานจากวิชาลวงตากับศาสตร์วิญญาณ มังกรมายานี่เหมือนยังแกร่งกว่านี้อีกหน่อย…”
จ้าวเฟิงมองลงจากด้านบน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หากกล่าวถึงพลังฝึกตน สองมังกรล้วนเป็นราชาระดับสุดยอด อีกไม่นานก็สร้างพลังจักรพรรดิได้แล้ว
เพียงแต่ว่า ทักษะและความเชี่ยวชาญในศาสตร์วิญญาณของพวกเขาห่างชั้นจากจ้าวเฟิงหลายขุม ‘เนตรเพ่งเทพเจ้า’ ของจ้าวเฟิงมาจากสุดยอดวิชาของจักรพรรดิแห่งความตาย…เนตรเพ่งมรณะ
ในตอนนั้น จ้าวเฟิงกระทั่งเคยสำแดง ‘เนตรเพ่งเทพเจ้า’ กับจักรพรรดิแห่งความตาย
วิชาของเขามีแนวโน้มว่าจะเหนือกว่าต้นฉบับ ด้วยผสานศาสตร์ลวงตาเฉพาะตัวเข้าไป
จ้าวเฟิงไม่รู้ว่า ยามนี้หนานกงเซิ่งที่อยู่ด้านหลังมีอาการตะลึงพรึงเพริดอย่างไร
“นี่…นี่มันท่วงท่าสง่างามของ ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ ในกาลก่อน”
หนานกงเซิ่งสูดลมหายใจเย็น
วิญญาณของสองมังกรหลุดออกจากร่างทีละน้อย สีหน้าหวาดกลัว ไร้ซึ่งความหวัง เขาที่อยู่ด้านหลังจ้าวเฟิงเห็นทุกอย่าง
ขณะที่จ้าวเฟิงจะปลิดชีพคนทั้งคู่
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงเย็นชาเจือความหยามเหยียดดังก้องในอากาศ
เสียงร้องคำรามของมังกรดังมาจากภายในกายราชามังกรวารีและมังกรมายา
ดวงตาของทั้งสองพลันมีลูกไฟสีแดงดำลุกโชน ก่อนขับพลังล้างโลกาที่กวาดล้างทุกสิ่ง
ชั้นวิญญาณมีเสียงดังกึกก้อง ลูกไฟแดงดำกับแสงมายาสีม่วงปะทะเข้าหากัน
บนต้นไม้
ร่างของจ้าวเฟิงวูบไหว พลังวิญญาณสั่นสะเทือน กล่าวเสียงต่ำว่า “มังกรวารีล้างโลกา!”
พริบตานั้น เนตรเพ่งเทพเจ้าขาดสะบั้น วิญญาณสองมังกรกลับคืนสู่ร่าง
“อะไรกัน! อาวุธเทพชั้นรองของข้า…”
ราชามังกรวารีเตรียมใช้ ‘มนตราอากาศ’ กลับพบว่าเกราะบนแขนหายไปเสียแล้ว
เมี้ยว เมี้ยว! แสงสีเทาเงินวาบผ่าน แมวขโมยตัวเท่าฝ่ามมือปรากฏบนไหล่จ้าวเฟิง
“เจ้าแมวขโมย ทำได้ดี!”
จ้าวเฟิงยิ้มบาง นำอาวุธเทพชั้นรองของราชามังกรวารีใส่ลงบนท่อนแขนของตน
ที่แท้ ตอนที่วิญญาณของมังกรทั้งสองกำลังดิ้นรน แมวขโมยตัวน้อยก็ชิงเกราะแขนมนตราอากาศไปแล้ว
“หนีรอดไปได้ก่อนค่อยว่ากัน”
มังกรมายารอดพ้นความตายมาได้ บนร่างเปล่งแสงช่วงโชติพรางตา
พรึ่บ!
เงาร่างสองมังกรหายวับไปจากจุดเดิม กลิ่นอายผสานเป็นหนึ่งกับผืนป่าโดยสมบูรณ์
“ไม่ผิดคาด มังกรล้างโลกาทิ้งทางหนีทีไล่บางอย่างไว้บนตัวมังกรสองตนนั้น…”
ตาซ้ายของจ้าวเฟิงมองทะลุถึงเงาแสงโปร่งใสสองร่างที่รวมเข้ากับสภาพแวดล้อมป่า และกำลังหนีไปอย่างรวดเร็ว