บทที่ 872 จะสอบสวนเจ้า
“กลับมาแล้ว!”
“ข่งเฟยหลิงปรากฏกายแล้ว!”
บนแท่นบูชาสีดำสนิทปรากฏเงาร่างของหลายคน ดำเนินเป็นเวลาหลายช่วงลมหายถึงจะหยุดลง
แววตาของจ้าวเฟิงกวาดผ่านอย่างคร่าวๆ กองกำลังของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่กลับมามีประมาณครึ่งหนึ่ง ทั้งหมดสี่ห้าสิบคน
‘ข่งเฟยหลิง’ ที่เป็นผู้นำสวมชุดกระโปรงงดงาม เปล่งแสงเจิดจ้า กลิ่นอายกล้าแกร่ง
จ้าวเฟิงพบว่าข่งเฟยหลิงแข็งแกร่งกว่าตอนที่เพิ่งเข้าไปในมิติเทพลวงตามากนัก ไม่ว่าจะระลอกปราณที่แท้จริงหรือว่ากลิ่นอายสายเลือด แต่ว่าข่งเฟยหลิงยังอยู่ห่างจากขั้นราชันในขอบเขตปราณเทวะอยู่เล็กน้อย
นอกจากนี้ ในกลุ่มคนยังมีคนคุ้นเคยของจ้าวเฟิงเช่นผู้เฒ่าเฟ่ย หลิ่วเทียนฝาน หวงอวิ๋นหู่ หรือกระทั่งศิษย์พี่ก่วง ทั้งหมดต่างอยู่กันครบที่นี่
“กลับมาก็ดีแล้ว!”
ราชาลู่อวิ๋นถอนหายใจเบาๆ แววตาหยุดลงบนร่างของลูกศิษย์ตน ลูกศิษย์คนสำคัญของเขารวมไปถึงศิษย์พี่ก่วงผู้เป็นศิษย์ในนามก็อยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน
“ไม่มีใครเลื่อนขึ้นเป็นราชัน!”
“ถึงแม้มีลูกศิษย์ที่ทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิดหลายคน แต่เมื่อเปรียบกับจ้าวเฟิงแล้วยังห่างไกลกันนัก”
ผู้อาวุโสขั้นราชันหลายคนตรงนั้นเอ่ยสนทนากันเสียงต่ำ
มองออกได้ไม่ยากว่ากองกำลังของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นไม่สุขสบายกันเท่าไหร่
อัจฉริยะหัวกะทิจำนวนมากมีสีหน้าอิดโรยและอับจนหนทาง คนไม่มากนักถึงขั้นปรากฏตัวขึ้นในสภาพบาดเจ็บสาหัสหรือพิการ
ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าเฟ่ยผู้นั้นก็ขาขาดข้างหนึ่ง ต้องค้ำกายด้วยไม้เท้า
จ้าวเฟิงเข้าใจว่า ของอย่างโอกาสไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะได้ประสบพบเจอ ต่อให้พบเจอก็ไม่แน่ว่าจะมีความสามารถคว้ามาได้
โอกาสที่คฤหาสน์เสียหยางมีมากมายนัก แต่ราชันที่ตายอยู่ในนั้นก็ไม่ได้น้อยเลย?
สำหรับคนที่อ่อนแอแล้ว ไม่ได้ไปที่คฤหาสน์เสียหยาง บางทีอาจจะเป็นเรื่องโชคดีก็ได้
“จ้าวเฟิง…”
ราชันอัจฉริยะที่กลับมาพวกนี้ แววตาต่างทอดมองเด็กหนุ่มผมม่วงที่นั่งขัดสมาธิ
เมื่อเปรียบกันแล้ว พัฒนาการของจ้าวเฟิงมากมายยิ่งนัก
แวววตาของคนพวกนี้แฝงไปด้วยความเคืองแค้น ริษยา และยำเกรง
“จ้าวเฟิง!”
ผู้เฒ่าเฟ่ยค้ำยันไม้เท้า กัดฟันเล็กน้อย อารมณ์สับสนวุ่นวาย “ถ้าหากว่าเจ้าไม่ออกไปและคอยหนุนได้ทันเวลา พวกเราคงไม่อเนจอนาถเช่นนี้ในมิติเทพลวงตา”
จ้าวเฟิงนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
ในความจริงแล้ว
ผู้เฒ่าเฟ่ยไม่ได้หมายถึงการถือโทษโกรธเคืองแต่อย่างใด เพียงแค่กล่าวโทษ ติเตียนรวมไปถึงระบายอารมณ์เท่านั้น ทำไมจ้าวเฟิงจึงไม่สนับสนุนพวกตน?
ขณะอยู่ในเมืองใต้ดิน
ฝีมือและพลังที่จ้าวเฟิงสำแดงออกมาสูงส่งจนน่าตะลึง ถ้าหากว่ารั้งอยู่ในกองกำลัง ย่อมต้องช่วยเหลือและผลักดันสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นอย่างมาก
ในขณะที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นบุกยึดซากปรักหักพังสองแห่ง ขาดไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็จะสำเร็จแล้ว และเพราะล้มเหลว ผลลัพธ์จึงสูญเสียหนักหนาสาหัสอย่างยิ่ง
“จ้าวเฟิง! หากไม่ใช่เพราะเจ้าออกจากกองกำลังไป ศิษย์พี่อวิ๋น ศิษย์น้องเฉิน…บางทีพวกเขาก็อาจจะไม่ตาย!”
“จ้าวเฟิง! เจ้าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ออกจากกองกำลังไป ทำให้พวกเราสูญเสีย”
บรรดาอัจฉริยะชั้นยอดของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่กลับมาซักถามด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร
คนที่มีอารมณ์โกรธเกรี้ยวส่วนหนึ่งเกือบพุ่งเข้าไป แต่สมาชิกและลูกศิษย์ของสำนักส่วนหนึ่งขวางเอาไว้
“ยั้งมือก่อน! ใจเย็นๆ!”
ราชาลู่อวิ๋นและพวกรีบร้อนขัดขวาง
พลังของจ้าวเฟิงผู้นี้น่ากลัวขนาดไหน ผู้อาวุโสอู่ที่บาดเจ็บสาหัสผู้นั้นก็เป็นตัวอย่างให้แล้ว ขนาดราชันยังเป็นถึงขนาดนี้ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นอัจฉริยะหัวกะทิพวกนี้ เพียงแค่จ้าวเฟิงจามแค่ครั้งเดียวก็สามารถเอาชีวิตของพวกเขาได้
“จ้าวเฟิง ข้าไม่กล่าวโทษเจ้า จะโทษก็คงต้องโทษที่ความสามารถของพวกเราไม่แข็งแกร่งพอ โชคชะตาไม่ดี แต่ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น เจ้าไม่ได้ทำทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด”
ผู้เฒ่าเฟ่ยยิ้มขมขื่น ค้ำไม้เท้าไว้ ท่าทางหดหู่อย่างเห็นได้ชัด
ทันทีที่เอ่ยจบ
แววตาของพวกอัจฉริยะและชั้นหัวกะทิสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่รอดชีวิตอับแสงลง ต่างตกอยู่ในความเงียบงัน
พวกเขาไม่สามารถโทษจ้าวเฟิงได้ทั้งหมด
ถ้าหากว่าพลังของพวกเขามากพอ จะมีจ้าวเฟิงเพิ่มมาคนหนึ่งหรือน้อยลงไปคนหนึ่ง จะส่งผลอะไรมากมาย
“หากคนไม่พิจารณาปรับปรุงตน แม้แต่ฟ้าดินก็ไม่ยอมรับ ศิษย์น้องจ้าว ข้าไม่ได้โทษเจ้า เพียงแต่ออกจะผิดหวังในตัวเจ้าเท่านั้นเอง…”
หลิ่วเทียนฝานหัวเราะติดเยาะเย้ยน้อยๆ
บนร่างเขามีบาดแผลเต็มไปหมด หูข้างหนึ่งถูกสัตว์อสูรนิรนามกัดขาดไปครึ่งหนึ่ง
เงียบขรึมไปนาน
ในที่สุดจ้าวเฟิงจึงเปิดปากเอ่ย “พวกเจ้ายังมองข้าเป็นจ้าวเฟิงที่อ่อนแอคนนั้นกระมัง” ทุกคนได้ยินดังนั้นชะงักค้างไป
ถ้าหากว่า ‘จ้าวเฟิง’ คนเดิมยังอยู่ เกรงว่ากระทั่งคุณสมบัติในการเข้าไปที่มิติเทพลวงตาก็ยังไม่มี
ไม่ว่าจะบุคลิกหรือพลังของเด็กหนุ่มผมม่วงที่อยู่ตรงหน้านี้ ก็ต่างกับจ้าวเฟิงคนเดิมมากมายอย่างยิ่ง
สำหรับสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น จ้าวเฟิงไม่ได้รู้สึกผูกพันอะไร
ความช่วยเหลือที่เขามีต่อตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆา ก็เป็นไปเพื่อช่วยให้ความปรารถนาของตัว ‘จ้าวเฟิง’ คนเก่าสมฤทธิ์ผล
“อีกอย่าง โอกาสของข้าได้มาจากการไล่ตามรอยของ ‘มังกรวารีล้างโลกา’ ต้องประสบกับภัยอันตรายต่างๆนานา…”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก ตกลงไปในภวังค์ชั่วขณะหนึ่ง
วิกฤตอันตรายที่เกิดขึ้นในมิติเทพลวงตาเหมือนปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทีละฉาก
“ไล่ตามรอย ‘มังกรวารีล้างโลกา’?”
พวกอัจฉริยะหัวกะทิที่เดินทางกลับมาตื่นตกใจจนพูดไม่ออก
พวกของข่งเฟยหลิง ผู้เฒ่าเฟ่ย หลิ่วเทียนฝาน หน้าถอดสีกันหมด และสูดลมหายใจเย็นเข้าปอดอย่างอดไม่ได้
จ้าวเฟิงผู้นี้ชักจะใจกล้าเกินไปแล้ว ถึงกับกล้าไปไล่ตามมังกรวารีล้างโลกา
“กองกำลังของพวกวังลอยฟ้า วังเก้านิรย เชื้อพระวงศ์ต้าเฉียน หอกระบี่ฟ้า และแปดตระกูลชนชั้นสูง…ราชันที่ติดอยู่ในคฤหาสน์เสียหยางไม่รู้ว่ามีเท่าไหร่”
จ้าวเฟิงทอดถอนใจ
ภายในคฤหาสน์เสียหยาง ราชันและยอดฝีมือที่ล้มตายมีจำนวนมากมายอย่างยิ่ง
รายนามของสำนักสามดาวและสามดาวระดับสุดยอดที่คุ้นหูแต่ละชื่อ หรือกระทั่งกลุ่มอำนาจระดับสี่ดาวหลุดออกมาจากปากของจ้าวเฟิง
ในเวลานี้ทั้งที่แห่งนั้นตกอยู่ในความเงียบงัน
ทุกคนจินตนาการถึงโศกนาฏกรรมที่ว่านี้ได้
และเรื่องราวเหล่านี้จะต้องไปถึงหูของคนในระดับสูงของราชวงศ์ต้าเฉียนและโลกของสำนักต่างๆ ในเร็วๆ นี้แน่นอน
“พลังต่ำที่สุดของอัจฉริยะที่เข้าไปในคฤหาสน์เสียหยางอยู่ในระดับขั้นเดียวกันกับข่งเฟยหลิง ผู้เฒ่าเฟ่ย พวกท่านคิดว่าข้าจะนำกองกำลังของสำนักไปเสี่ยงอัตรายงั้นหรือ?”
แววตาของจ้าวเฟิงเป็นประกายวิบวับ
ผู้เฒ่าเฟ่ยและพวกใจสั่นสะท้าน พูดอะไรไม่ถูก
ต่อให้มอบความกล้าแก่พวกเขาอีกนับร้อย ก็คงไม่กล้าไปไล่ตามมังกรวารีล้างโลกาแน่
พวกสำนักสามสี่ดาวที่ได้ยินจนคุ้นหู ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะเทียบเทียมด้วยได้
จ้าวเฟิงที่ออกจากองกำลังไปแล้วถึงสามารถสะเทือนฟ้าดิน ปลดปล่อยพลังได้เต็มที่
ยิ่งไปกว่านั้น
‘จ้าวเฟิง’ คนเดิมได้ตายจากไปแล้ว จ้าวเฟิงก็เพียงฉวยโอกาสครั้งนี้ไปผงาดบนเวทีของดินแดนทวีป
“เหอะ! คำที่เจ้าพูดมาทั้งหมดนี้ต้องรอให้เวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง เพื่อรอฟังข่าวคราวที่คนของสำนักอื่นๆ กระจายมาถึงจะยืนยันได้”
เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังตัดบทความเงียบที่เกิดขึ้น
คนที่เปิดปากเอ่ยคือผู้อาวุโสอู่ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
‘ผู้อาวุโสอิน’ ซึ่งเป็นราชันระดับสุดยอดที่อยู่ข้างกายผู้อาวุโสอู่ แววตามองกลับไปมาที่กลุ่มคน สีหน้าพิลึกพิลั่น นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
“ผู้อาวุโสอิน เป็นอะไรไป? ลูกศิษย์คนสำคัญของเจ้ายังไม่ออกมาจากในมิติเทพลวงตาอีกหรือ?”
ราชาลู่อวิ๋นรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบพากลบางอย่าง
สีหน้าของผู้อาวุโสอินไม่ปกติอย่างยิ่ง
บนแท่นบูชาสีดำสนิทในเวลานี้ยังไม่ปรากฏเงาร่างใหม่ออกมาอีก หากไม่มีอะไรอยู่เหนือความคาดหมาย คนที่ไม่ปรากฏกายขึ้นต้องตายในมิติเทพลวงตาไปแล้ว
“ศิษย์น้องหวัง เขา…ตายเพราะการปลิดชีพจากราชาแมงมุมพิษประหลาด”
ลูกศิษย์คนอื่นๆ อย่างข่งเฟยหลิงและหลิ่วเทียนฝานมีสีหน้าเศร้าสร้อย
‘ศิษย์น้องหวัง’ ที่พวกเขาเอ่ยถึง ย่อมคือลูกศิษย์คนสำคัญของผู้อาวุโสอิน
เมื่อยืนยันข่าวร้ายได้แล้ว ร่างของผู้อาวุโสอินสั่นเทาน้อยๆ ดวงตาสองข้างแดงเรื่อ เพียรพยายามกดข่มความเศร้าโศกและความไม่ยินยอมอย่างสุดกำลัง
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสอินใส่ใจในตัวลูกศิษย์ผู้นี้มาก
“เซียวเอ๋อร์! ฟ้าดินช่างไม่ยุติธรรม!”
ผู้อาวุโสอินแหงนหน้าขึ้นฟ้าและร้องตะโกนเสียงดัง ในแววตาที่แดงก่ำฉายจิตสังหารเย็นชา จ้องไปที่จ้าวเฟิงผู้นั่งขัดสมาธิบนพื้น
เพราะอะไร เด็กหนุ่มที่ถูกสาปแช่งซึ่งปลีกตัวออกจากกองกำลังจึงได้รับโอกาสมากมายติดกันในมิติเทพลวงตา แต่ลูกศิษย์ของตนกลับต้องมีจุดจบอนาถาเช่นนี้?
“จ้าวเฟิง! ข้าผู้อาวุโสเคยพูดไว้ หากเกิดอะไรขึ้นกับลูกศิษย์คนสำคัญของข้าในมิติเทพลวงตา ข้าจะสอบสวนเจ้า!”
พลานุภาพทรงพลังของราชันตรงดิ่งมากดดันจ้าวเฟิง
“ผู้อาวุโสอิน! สงบอารมณ์ก่อน!”
พวกราชาลู่อวิ๋นรีบเอ่ยยับยั้ง แต่พลังฝึกตนของผู้อาวุโสอินแตะถึงขั้นราชันระดับสุดยอด เขตแดนมิติจึงใกล้จะเป็นรูปธรรม เกิดเสียงดัง ‘พลั่ก’ ดังขึ้น มันกระแทกราชันสองคนที่พยายามจะเข้าขัดขวางกระเด็นออกไป
“ทุกคนรีบหนีไป!”
พวกข่งเฟยหลิงและผู้เฒ่าเฟ่ยเห็นท่าไม่ดี รีบร้อนหลีกหนีออกจากแท่นบูชาสีดำอย่างรวดเร็ว
จ้าวเฟิงเองก็ไม่อยากจะทำให้ผู้บริสุทธิ์เดือดร้อนไปด้วย จึงยังคงนั่งบนแท่นบูชาสีดำสนิท สายตาเย็นชามองผู้อาวุโสอินที่แผ่ไอสังหารออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
“ผู้เยาว์! เจ้ายอมรับผิดเสีย!”
มือข้างหนึ่งของผู้อาวุโสอินโบกน้อยๆ มือยักษ์เลือนรางสีแดงเข้มกระเทือนท้องฟ้า วนเวียนไปมาเหนือศีรษะของจ้าวเฟิง
ขณะที่แววตาของคนทั้งหมดจับจ้องอยู่ เขาเองก็ยังคงเยือกเย็นดังเก่า
จะลงมือกับจ้าวเฟิงจำเป็นต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมอย่างหนึ่งเช่นกัน
แต่บนร่างของจ้าวเฟิงเล่ห์กลบางอย่างแน่ๆ เขาถอนตัวออกจากกองกำลัง ลงมือทำสิ่งต่างๆ เพียงลำพัง ก็มีข้อสงสัยว่าจะผิดต่อกฎกติกาของสำนักแล้ว
“อยากลงมือก็เชิญ จะพูดจาเหลวไหลอะไรมากมาย ข้ายังต้องกลับไปฝึกตนอีก”
จ้าวเฟิงชันกายขึ้นช้าๆ ภายใต้การกดดันจากมือใหญ่ที่เลือนรางนั้น
โครม! ชั่วพริบตา ทั่วร่างของจ้าวเฟิงผุดระลอกริ้วสีฟ้าทองขึ้น จนเป็นดังรูปสำริด ร่างกายขยายสูงขึ้นเป็นเท่าตัว
โครม! แก่นแท้พลังที่ไร้รูปร่างรุนแรงบ้าคลั่ง กระแทกเอามือใหญ่อันเกิดจากพลังที่เกาะกลุ่มกันของผู้อาวุโสอินออกไป ประตูสำนักที่อยู่ใกล้กันส่งเสียงสั่นสะเทือน
“สามหาวเช่นนี้ควรต้องรับผิดชอบ!”
ผู้อาวุโสอินตะโกนอย่างกราดเกรี้ยว ฟาดฝ่ามือกลางอากาศ เขตแดนมิติเรืองรองที่เกือบจะเป็นรูปธรรมปรากฏรอบกายเขา มือใหญ่สีแดงก่ำทะลักแสงสว่างแสบตาออกมา
โครม! ในเวลาสั้นๆ ประตูสำนักและสถานที่สำคัญในละแวกใกล้เคียงพังทลายลงมาจากควันหลังของพลัง
อานุภาพความเกรี้ยวกราดของราชันระดับสุดยอด ทำให้ราชันที่เหลือพากันล่าถอย ผู้อาวุโสอู่ที่บาดเจ็บในคราวก่อนเผยความยินดี
“ไสหัวไป!”
จ้าวเฟิงพลิกฝ่ามือ กระตุ้น ‘กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์’ สำแดงแก่นแท้พลังที่ไร้รูปสีฟ้าทองพร้อมเสียงโครมครามจากริ้วสายฟ้า
แต่พึ่งพาเพียงกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ จะต่อกรราชันระดับสุดยอดเหมือนว่าจะยังไม่พอเท่าไหร่นัก
โครม! ทันใดนั้นเอง ทั่วร่างของจ้าวเฟิงทะลักเพลิงเจิดจ้าสีแดงแสบตาชั้นหนึ่ง กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวที่เผาผลาญรุนแรง ปะทะเข้ากับเขตแดนมิติและมือขนาดยักษ์ของผู้อาวุโสอินอย่างบ้าคลั่ง
ตูม! ทอดสายตามองจากไกลๆ เหมือนว่ามีแสงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผา ทะลักลำแสงเพลิงโลหิตที่เจิดจ้า ย้อมฟ้าดินฟากหนึ่งเป็นสีแดงฉาน
เขตแดนมิติของผู้อาวุโสอินเกิดรอยปริร้าวทันใด
“ช่างเป็นสายเลือดศาสตร์อัคคีที่น่ากลัวอย่างยิ่ง!”
ราชันหลายคนที่อยู่ใกล้เคียงลงมือคลี่คลายพลังที่หลงเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง สายเลือดและร่างกายต่างสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแผดเผา
ลูกศิษย์และสมาชิกในสำนักส่วนหนึ่งที่ไกลออกไปอีกหน่อย ร่างกายและสายเลือดสั่นกลัวโดยสัญชาตญาณ พวกที่พลังอ่อนแอหน่อยก็ทรุดลงบนพื้น รู้สึกหายใจไม่ออกเหมือนถูกไฟกลืนกิน แม้กระทั่งแรงจะวิ่งหนียังไม่มี
“โครม!” เงาของผู้อาวุโสอินที่อยู่กลางอากาศกระเด็นออกไปไกลหลายร้อยจั้ง เลือดลมถูกกดดันและปั่นป่วนอย่างรุนแรง
พู่~ ในขณะที่กระเด็นถอยร่นไป บนร่างของเขามีเพลิงสีแดงโลหิตลุกไหม้ ยากที่จะดับให้มอดลง
“อะไร! นี่มันเรื่องอะไรกัน…”
ผู้อาวุโสอินมีสีหน้าตื่นตระหนก ในขณะที่ประมือกับจ้าวเฟิงเมื่อครู่ เขาสัมผัสได้ถึงการไหลหลั่งของเลือดลมไอสวรรค์ในร่าง
เมื่อมองกลับไปที่ด้านล่าง
ร่างกายของจ้าวเฟิงสั่นเทาเล็กน้อย สัมผัสได้เพียงธารอุ่นไหลวนเวียนในร่าง จิตวิญญาณกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นทุกที ความเหน็ดเหนื่อยจากคฤหาสน์เสียหยางก็หายวับไปทันที