บทที่ 875 ไม่สนใจ
“สายเลือดเพลิงมารโลหิต?”
ยอดฝีมือจำนวนมากของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นมองหน้ากัน เอ่ยถกเถียงกันเสียงต่ำ
ราชันจำนวนมากที่นำโดยราชาลู่อวิ๋นนึกถึงคนผู้หนึ่งได้อย่างรวดเร็ว
สายเลือดเพลิงมารโลหิต จัดเป็นลำดับที่แปดสิบเอ็ดของสายเลือดวิถีราชา เป็นส่วนหนึ่งของสายเลือดในตำนานชั้นยอดที่สุดในดินแดนทวีปที่กว้างใหญ่
ทว่า ณ สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น เคยปรากฏเด็กหนุ่มที่เหมือนกับมีสายเลือด ‘เพลิงมารโลหิต’ จริงๆ
อีกทั้งเด็กหนุ่มคนนั้นเพิ่งถูกสั่ง ‘กักบริเวณ’ ได้ไม่นาน
“ขอบังอาจถาม ‘ความจริง’ จากปากผู้อาวุโสเถี่ยหมายถึงอะไร?”
บนวงหน้างามของ จักรพรรดิหลิงฉยงปรากฏความเคร่งเครียดขึ้น
สำหรับเถี่ยหลีเทียนผู้นี้รวมไปถึงตระกูลเถี่ยที่อยู่เบื้องหลัง จักรพรรดิหลิงฉยงหวาดกลัวอย่างยิ่ง
ราชวงศ์ต้าเฉียน แปดตระกูลชนชั้นสูง มีที่ใดบ้างไม่เทียบเท่าสำนักสามดาวเป็นอย่างน้อย และมีผลกระทบต่อราชวงศ์อย่างมาก
หนึ่งในนี้ อำนาจของตระกูลเถี่ยถือว่าเป็นระดับสูงของแปดตระกูลชนชั้นสูง เทียบเท่าได้กับสำนักสามดาวระดับสุดยอด
‘คฤหาสน์เขาประจิม’ ที่อยู่ไกลออกไปอีกฟาก ตระกูลเถี่ยครอบครองชายแดนส่วนตะวันตกเฉียงเหนือของราชวงศ์ กลายเป็นเสาหลักที่ต้านทานการรุกรานของ ‘ราชวงศ์จันทราทมิฬ’
ลูกหลานผู้โดดเด่นของตระกูลเถี่ยล้วนถูกขัดเกลาฝึกปรืออย่างเข้มงวด พลังความสามารถจึงอยู่เหนือคนในช่วงวัยเดียวกัน
เมื่อเปรียบกันไปแล้ว
สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่ใกล้จะล่มสลายยังด้อยกว่าสำนักสามดาวทั่วไปมากนัก จะให้เปรียบกับตระกูลเถี่ยได้อย่างไร
ดังนั้นในเวลานี้
บริเวณปากทางของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นจึงตกอยู่ในบรรยากาศตึงเครียดอย่างยิ่ง
ตระกูลเถี่ยย่อมไม่ใช่ขั้วอำนาจที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นจะสามารถหาเรื่องด้วยได้ กำลังรบของเถี่ยหลีเทียนอยู่เหนือกว่าจักรพรรดิทั่วไปนัก
“ข้าต้องการพบจ้าวเฟิง! แล้วนำตัวเขากลับไปอบรมที่ตระกูลเถี่ย…”
ในแววตาของเถี่ยหลีเทียนฉายแววรอคอยและร้อนแรง เมื่อย้อนนึกถึงเพลิงมารโลหิตสมบูรณ์แบบที่สัมผัสได้เมื่อถึงครึ่งเดือนก่อน เขาก็ระงับความตื่นเต้นในใจเอาไว้ไม่ได้
“จ้าวเฟิง? นี่เกรงว่าจะไม่ได้!”
สีหน้าของจักรพรรดิหลิงฉยงเปลี่ยนไปอีกครั้ง เอ่ยตอบกลั้วหัวเราะโดยไม่ต้องคิด
เมื่อไม่นานมานี้ ข่าวคราวเล็กน้อยเกี่ยวกับมิติเทพลวงตาแพร่กระจายออกมา
หนึ่งในนี้ข่าวคราวที่สำคัญที่สุดเป็น ‘คฤหาสน์เสียหยาง’ ในที่พำนักของเทพบรรพกาล รวมไปถึง ‘มังกรวารีทมิฬ ’ ที่ครอบครองสายเลือดเผ่าพันธุ์มังกรล้างโลกา
ผลประโยชน์ที่ตื่นตะลึงของคฤหาสน์เสียหยางอย่างพวก ‘พลังเทพปีศาจ’ ‘อาวุธเทพเก่าแก่ ’ และ ‘อาวุธเทพชั้นรอง’ สร้างกระแสที่น่าตื่นตระหนกเป็นวงกว้างในกลุ่มคนชั้นสูงของราชวงศ์แห่งดินแดนทวีป
จักรพรรดิหลิงฉยงล่วงรู้มาว่าในการช่วงชิงผลประโยชน์ภายในคฤหาสน์เสียหยาง กลุ่มที่มีนามว่า ‘มารคู่ผมม่วง’โดดเด่นอย่างยิ่ง ถึงขั้นอยู่เหนือสำนักต่างๆ และตระกูลที่ยิ่งใหญ่อื่นๆ
สิ่งที่บังเอิญก็คือ หนึ่งในมารคู่ผมม่วงมีคนชื่อเสียงเรียงนามเดียวกันกับจ้าวเฟิง
จักรพรรดิหลิงฉยงคาดเดาได้ว่า จ้าวเฟิงอาจจะเป็นหนึ่งในมารคู่ผมม่วง มีความสามารถลึกล้ำเกินจะคาดเดา
“ไม่ได้? ฮ่าๆๆ…หรือว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นคิดจะขวางทางตระกูลเถี่ยของข้า?”
เถี่ยหลีเทียนแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง
โครม!
ในเวลานั้นเอง ลำแสงสีแดงฉานเจิดจ้าแสบตาบนร่างของเถี่ยหลีเทียน แสงที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้อากาศละแวกทางเข้าสำนักตกลงไปในนรกทะเลเพลิงด้วยพลังที่ปกคลุมมืดฟ้ามัวดิน
ลูกศิษย์ของสำนักจำนวนเป็นร้อยเป็นพันตกเข้าสู่การแผดเผาของพลังอัคคีที่ร้อนแรง
“อ๊าก อ๊าก…”
สมาชิกสำนักพวกนี้ร้อนจนทนไม่ไหว ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่สามารถทำลายนรกทะเลเพลิงดังกล่าวได้
“หยุดเดี๋ยวนี้——”
แขนขาวผ่องของจักรพรรดิหลิงฉยงกางออก เงาของมิติส่วนตัวราวกับผลึกเปล่งประกายทับซ้อนกับหุบเขาในละแวกใกล้เคียง ต้านทานลำแสงสีแดงร้อนแรงที่เกิดจาก ‘เถี่ยหลีเทียน’ ไว้
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ นางต้องแบกรับการโจมตีอย่างจังของเถี่ยหลีเทียน
โครม!
จักรพรรดิหลิงฉยงร้องขึ้นจมูก เรือนร่างแบบบางสั่นไปน้อยๆ มิติส่วนตัวถูกปะทะจนกระเพื่อมเล็กน้อย
“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า รีบให้จ้าวเฟิงออกมาคุยกับข้าเสีย”
มือสองข้างของเถี่ยหลีเทียนไพล่อยู่ด้านหลัง ลำแสงสีแดงจ้ารอบกายหดกลับในทันที ทั้งตัวกลายเป็นแสงตะวันแสบตากลุ่มหนึ่ง
แต่ในเวลานี้เอง ในส่วนลึกของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ทะลักกลิ่นอายของจักรพรรดิกลุ่มที่สามออกมา
“คิดไม่ถึงเลยว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นของข้าจะตกต่ำลงเช่นนี้ เพียงจักรพรรดิคนหนึ่งก็กล้ามาใช้อำนาจขู่กรรโชกถึงหน้าประตู…”
น้ำเสียงที่ฟังดูอิดโรยอ่อนล้าดังออกมาจากภายในส่วนลึกของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น กลิ่นอายกลุ่มนั้นของจักรพรรดิ ถึงแม้ว่าจะไม่แกร่งกล้าเท่าเถี่ยหลีเทียน แต่กลับลึกล้ำยิ่งกว่า
พรึ่บ~
กลางอากาศเหนือประตูสำนัก ปรากฏผู้เฒ่าผมสีดอกเลาในแสงสีส้ม สาดซัดพลังมหาศาลของจักรพรรดิที่น่าตื่นตะลึงกลุ่มหนึ่งออกมา
นี่เป็นเงาของจักพรรดิผู้หนึ่ง
“เฒ่าประหลาดสวี หลังจากที่เจ้าทะลวงผ่านขอบเขตเทวาเร้นลับล้มเหลวไปแล้ว ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกหรือ?”
หน้าของเถี่ยหลีเทียนเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ที่สุดแล้วในแววตาก็ปรากฏความหวาดกลัว
หากต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ณ ดินแดนเกาะเทียนเฟิง มีเพียงหนานเฟิงอ๋องที่สามารถทำให้เขาหวาดกลัวได้
แต่เฒ่าประหลาดสวีเบื้องหน้าก็ไม่ธรรมดา เป็นจักรพรรดิชั้นยอดที่เคยรุ่งเรืองอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง เพียงแต่ต่อมาล้มเหลวในการทะลวงผ่านขอบเขตเทวาเร้นลับ จึงทำให้อายุขัยใกล้ไปถึงขีดจำกัด
หนำซ้ำสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นมีจักรพรรดิทั้งสามดูแลอยู่ จักรพรรดิหลิงฉยงเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในสามคนนั้น
เวลาหลายช่วงลมหายใจต่อมา
กลางอากาศเหนือสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ห้วงคิดเซียนของจักรพรรดิหลายคนสนทนาแลกเปลี่ยนกันไปมา
ราชันในขอบเขตปราณเทวะที่เหลือสัมผัสได้เพียงระลอกการแลกเปลี่ยนกันของห้วงคิดเซียน แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
อีกนานต่อจากนั้น
ผู้เฒ่าเรือนผมสีดอกเลาเปิดปากเอ่ย “ได้ ตามที่เจ้าต้องการ”
พรึ่บ! เมื่อเอ่ยจบ เงาจักพรรดิของเฒ่าประหลาดสวีผู้นี้ก็หายไป
ก็ไม่รู้ว่าจักรพรรดิปราณเทวะที่ชื่อเสียงโด่งดังเหล่านี้ตกลงอะไรกัน
“ให้จ้าวเฟิงคนนั้นออกมาแล้วเลือก”
จักรพรรดิหลิงฉยงเอ่ยด้วยใบหน้าเย็นชา
อันที่จริง ความหวาดระแวงต่างๆ ที่เกิดขึ้นเพราะตระกูลเถี่ย ทำให้สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นจำเป็นต้องประนีประนอมอย่างเสียไม่ได้
แต่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นก็ต้องมีทางลง ไม่สามารถส่งตัวจ้าวเฟิงให้เลย จึงให้ฝ่ายหลังเลือกด้วยตนเอง
เถี่ยหลีเทียนมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งจึงตอบตกลง
ไม่นานจากนั้น
“รายงานจักรพรรดิ พื้นที่ที่จ้าวเฟิงฝึกตนอยู่มีพลังแก่กล้า ยากที่จะเข้าใกล้ได้”
ครึ่งก้าวสู่ราชันผู้หนึ่งรีบร้อนเดินเข้ามา เอ่ยอย่างลุกลี้ลุกลน
หืม?
ห้วงคิดเซียนของจักรพรรดิหลิงฉยงและเถี่ยหลีเทียนกวาดมองพื้นที่แห่งหนึ่งอย่างอดไม่ได้
พื้นที่แห่งนั้นมีน้ำวนวายุอัสนีที่ลึกล้ำกว้างใหญ่ก่อตัวขึ้น ยังมีจิตวิญญาณพฤกษามหาศาลตามมาด้วย
“ฮ่าๆๆ! ไม่เสียทีที่เป็นลูกหลานสายเลือดตระกูลเถี่ยของข้า อายุยังน้อยก็เตรียมตัวทะลวงสำนึกรู้ของราชา…”
เถี่ยหลีเทียนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
เมื่อเอ่ยเช่นนี้แล้ว สีหน้าของคนระดับสูงในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น จักรพรรดิหลิงฉยง และบรรดาราชันก็ค่อนข้างไม่น่าดู
อัจฉริยะผู้โดดเด่นเหนือใครเช่นนี้ สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นกลับไม่ได้ค้นพบในเวลาที่เหมาะสม
ขวับ ขวับ!
เถี่ยหลีเทียนและจักรพรรดิหลิงฉยงลอยลงมาเหนือที่พักของจ้าวเฟิง
ภายในที่พัก
จ้าวเฟิงขมวดคิ้วน้อยๆ เก็บปราณที่แท้จริงบนร่างเอาไว้ ก่อนเดินเข้าไปภายในลานแล้วแหงนศีรษะมองจักรพรรดิสองคนที่อยู่กลางอากาศ
“เจ้าก็คือจ้าวเฟิงคนนั้นหรือ? ดีมาก ดีมาก…”
สีหน้าของเถี่ยหลีเทียนเต็มไปด้วยความชื่นชม ในดวงตาฉายแววตื่นเต้นมีไฟลุกโชน
จ้าวเฟิงถูกมองจนขนลุก ความสามารถของเถี่ยหลีเทียน เกรงว่าเกือบจะถึงขั้นจักรพรรดิชั้นยอด แข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิมู่อวิ๋นในอดีตมากกว่าเท่าตัว
ในขณะที่จ้าวเฟิงยังงุนงงอยู่นั้นเอง
พรึ่บ!
เถี่ยหลีเทียนโบกมือข้างหนึ่ง ในโลกมิติส่วนตัวของเขาปรากฏเงาชราร่างหนึ่งออกมา
“ท่านปู่จ้าว?”
จ้าวเฟิงตกใจไปเล็กน้อย พูดไม่ออกทันใด
ท่านปู่จ้าวคือท่านปู่ของ ‘จ้าวเฟิง’ คนเก่า
‘จ้าวเฟิง’ คนเดิมกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่เยาว์วัย ได้ท่านปู่ฟูมฟักเลี้ยงดู ความสัมพันธ์ของปู่หลานคู่นี้ลึกซึ้งยิ่งกว่าบิดาและบุตรชาย
“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ายังจำได้หรือไม่ ปู่เคยบอกชื่อสกุลของบิดามารดาผู้ให้กำเนิดของเจ้า?”
ท่านปู่จ้าวถอนหายใจยาว บนใบหน้าปรากฏอารมณ์สับสน
อันดับแรก ความลับของจ้าวเฟิงร่างนี้ เขาเองก็รู้
อันดับที่สอง ชาติกำเนิดของจ้าวเฟิงไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิดไว้
“สกุล?”
จ้าวเฟิงจมดิ่งลงไปในความทรงจำเป็นเวลาสั้นๆ เขาเคยฝึก ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ มาก่อน ถึงแม้ว่าจะเป็นความทรงจำในส่วนลึกมากก็สามารถรื้อฟื้นกลับมาได้
จ้าวเฟิงได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว มารดาของจ้าวเฟิงเจ้าของร่างคนเก่ามีนามว่า ‘เถี่ยซิ่วหลี’
“สกุลเถี่ย?”
จักรพรรดิและราชันที่นำโดยจักรพรรดิหลิงฉยงร่างกายและจิตใจสั่นสะท้าน ยากที่จะเชื่อได้
“เฮ้อ เพียงแต่ปู่คาดคิดไม่ถึงว่ามารดาของเจ้าจะเป็นบุตรีของตระกูลเถี่ยอันเป็นหนึ่งในแปดตระกูลชนชั้นสูงในวันก่อน”
ท่านปู่จ้าวทอดถอนใจ
เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็รู้เรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้
“ผู้เยาว์! เจ้าเป็นลูกหลานของตระกูลเถี่ย มีสายเลือดเพลิงมารโลหิต นี่เป็นเกียรติยศและความภาคภูมิใจของเจ้า”
เถี่ยหลีเทียนหัวเราะอย่างเชื่อมั่นว่าจะสำเร็จ
จ้าวเฟิงยืนนิ่งไม่ไหวติง อึ้งตะลึงไปชั่วขณะ
สำหรับปัญหาสายเลือดของร่างนี้ เขาก็เคยสงสัยมาก่อน และคิดว่าหากพอมีเวลาก็จะไปสืบที่ตระกูลสักหน่อย
คิดไม่ถึงว่า หลังจากสายเลือดที่คล้ายคลึงกับ ‘เพลิงมารโลหิต’ กระจายออกไปแล้ว จะถูกยอดฝีมือของตระกูลเถี่ยสังเกตได้โดยบังเอิญ
เมื่อได้รู้ความจริงแล้ว เหล่าคนในระดับสูงของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นถอนใจอย่างอดไม่ได้
ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย จ้าวเฟิงย่อมต้องเลือกไปตระกูลเถี่ย ไม่เลือกอยู่ในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นในขั้นสองดาวระดับสุดยอดเช่นนี้
อีกอย่าง เมื่อไม่นานมานี้จ้าวเฟิงเพิ่งโดนจักรพรรดิหลิงฉยงสั่งกักบริเวณ
ไม่แปลกที่เถี่ยหลีเทียนจะมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่ง และตกลงกับสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นให้จ้าวเฟิงเลือกด้วยตนเอง
“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ายังไม่ตามจักรพรรดิผู้นี้ไปอีก?”
ท่านปู่จ้าวเอ่ยเตือน
เขายังใช้แววตาเตือนจ้าวเฟิงเป็นนัยๆ ความหมายนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง การเข้าร่วมกับตระกูลที่ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลเถี่ย จะช่วยจ้าวเฟิงหรือกระทั่งตระกูลจ้าวอย่างมาก
เถี่ยหลีเทียนอมยิ้มน้อยๆ เชื่อมั่นยิ่งนัก และรอคอยคำตอบของจ้าวเฟิง
ในทางกลับกัน จักรพรรดิหลิงฉยงของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นมีสีหน้าไม่ค่อยน่ามอง ซ้ำยังเตรียมใจเอาไว้แล้ว
“ต้องขอโทษด้วย ข้าไม่สนใจเรื่องบุญคุณความแค้นหรือชาติกำเนิดอะไรพวกนี้ ในตอนนี้สิ่งที่ข้าให้ความสำคัญก็คือการฝึกของข้าเอง”
แววตาของจ้าวเฟิงกวาดผ่านจักรพรรดิทั้งสอง แล้วหมุนกายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงเงาของแผ่นหลังสง่างามที่ทำให้ทุกคนต้องตื่นตะลึง
บรรดาาคนในระดับขั้นสูงของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่จับจ้องอยู่ แต่ละคนต่างมองอย่างตกตะลึง
“เจ้า…”
สีหน้าของเถี่ยหลีเทียนตื่นตะลึงมากยิ่งขึ้น เหมือนว่าถูกทำให้หายใจไม่ออก ลอยอยู่กลางอากาศ ใบหน้าแดงก่ำ
“เหอะๆ จ้าวเฟิงไม่ได้เลือกตามเจ้าไป ตามที่พวกเราตกลงกันเอาไว้…”
จักรพรรดิหลิงฉยงรู้สึกแปลกใจอย่างมาก นางยิ้มเรียบๆ
นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าจ้าวเฟิงจะไม่สนใจ ‘หวนคืน’ สู่ตระกูลเถี่ยเลยแม้แต่น้อย
“เหอะ! แต่เขาเองก็ไม่ได้เลือกอยู่ที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นต่อ”
เถี่ยหลีเทียนเอ่ยออกมา แล้วสะบัดแขนเสื้อนำท่านปู่จ้าวโบยบินจากไป
ตามข้อตกลง เขาไม่ได้พ่ายแพ้
ระหว่างสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นและตระกูลเถี่ย จ้าวเฟิงยังไม่ได้เลือก หรือเรียกได้ว่าไม่สนใจจะเลือก
ภายในห้องพัก จ้าวเฟิงฝึกตนต่อ
หลังจากเถี่ยหลีเทียนจากไปแล้ว ภายในสำนักก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
จักรพรรดิหลิงฉยงถ่ายทอดคำสั่งในทันที จำกัดพื้นที่อันเป็นที่พักของจ้าวเฟิงไม่ให้ใครเข้าไปรบกวน
“จ้าวเฟิงผู้นี้ ขนาดเถี่ยหลีเทียนที่เป็นจักรพรรดิผู้เก่งกาจยังไม่สนใจ หรือว่าเขาจะเป็นหนึ่งในมารคู่ผมม่วงจริงๆ เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดในคฤหาสน์เสียหยาง?”
จักรพรรดิหลิงฉยงรู้สึกได้ว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นไม่อาจจะแบกรับมังกรซ่อนเขี้ยวตัวนี้ได้อีกต่อไป
ระหว่างที่เวลาผ่านพ้นไป
ข่าวคราวเล็กน้อยเกี่ยวกับมิติเทพลวงตาจำนวนมากขึ้นก็แพร่กระจายจากส่วนในของดินแดนทวีป ไปถึงดินแดนเกาะเทียนเฟิงที่อยู่บริเวณริมทะเล
ข่าวคราวที่สืบมาได้ทำให้จักรพรรดิหลิงฉยง รวมไปถึงคนระดับสูงของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นสั่นสะท้าน
ในเวลาดังกล่าว มิติเทพลวงตาจบลงไปเป็นเวลาเกือบสองเดือน
ภายในห้อง
พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงมาจนถึงช่วงเวลาสำคัญสุดท้าย ภายในแก่นผลึกข้างในกาย ปราณที่แท้จริงวายุอัสนีจำนวนมหาศาลสองกลุ่มสาดซัดขึ้นลงราวกับสายน้ำหลาก ปรากฏโครงร่างของมิติทปราณที่แท้จริงที่เหมือนจุแม่น้ำลำธารไว้อย่างเลือนราง
เพราะว่าจ้าวเฟิงครอบครองพลังจักรพรรดิ และทะลวงไปจนถึงขอบแขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงสุดยอดซึ่งเทียบเท่าได้กับครึ่งก้าวสู่ราชัน
การปิดผนึกฝึกตนสองเดือนนี้จึงแทบจะทำให้เขาไปถึงขั้นราชัน อีกเพียงเล็กน้อยมิติปราณที่แท้จริงก็จะเป็นรูปร่างแล้ว