บทที่ 885 ทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับ
ชายสี่หญิงหนึ่งที่มีกลิ่นอายลึกล้ำยากจะคาดเดา ภายใต้ชั้นแสงจันทราอ่อนสลัวที่โอบล้อม พวกเขาเหมือนกลายเป็นส่วนหนึ่งของราตรีที่มืดมิด
และที่มาของแสงจันทร์ที่เลือนรางคือสตรีในชุดคลุมสีเขียวเข้มผู้สง่างามลึกลับราวดวงจันทร์ในกลุ่มนั้น
สตรีชุดเขียวเข้มนางนี้มีกลิ่นอายสงบนิ่งราวค่ำคืนจันทรา ใบหน้างดงามเยือกเย็น ดูไม่ค่อยเข้ากับกลิ่นอายศาสตร์มารที่ปรากฏรางๆ จากร่างราชันอีกสี่คน
แต่ทว่า
ผู้นำของคนทั้งห้าเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำยำในชุดเกราะสีม่วงเข้ม ดวงตาของชายผู้นี้ราวหลุมดำ ถึงแม้ว่าจะจงใจเก็บงำ แต่ว่าบนร่างก็ยังปรากฏเพลิงดำมืดหลายเส้นออกมาเป็นครั้งคราว
“เพื่อที่จะจับสังหารจ้าวเฟิง คิดไม่ถึงเลยว่าวังเก้านิรยจะส่งจักรพรรดิชั้นยอดสี่คนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘จักรพรรดิมารเสวียนหลัว’ ผู้นี้ เขาเป็นถึงผู้ที่ไร้เทียมทานในบรรดาจักรพรรดิด้วยกัน และเคยมีประสบการณ์ประมือกับเซียนมาก่อน…”
ใบหน้าเยือกเย็นของหญิงในชุดคลุมสีเขียวเข้มตึงเครียด
สำหรับ ‘จักรพรรดิมารเสวียนหลัว’ ในชุดเกราะสีม่วงเข้ม ในใจของนางเกิดความหวาดระแวง ยิ่งไปกว่านั้นคนทั้งสี่ล้วนเป็นจักรพรรดิชั้นยอด
“ปี้ชิงเยวี่ย”
เพลิงดำมืดบนร่างของจักรพรรดิมารเสวียนหลัวขยับวูบวาบ แววตามืดมิดเงียบสงัดจับจ้องร่างหญิงชุดเขียวเข้ม
“นายท่านผู้คุ้มครอง มีอะไรจะชี้แนะหรือ?”
สตรีชุดเขียวเข้มค้อมกายลงเล็กน้อย ใบหน้างามคงความเคารพไว้
“ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ดูแลสาขาของ ‘หอควันสมุทร’ กุมข่าวสารในแถบมหาสมุทรไว้ในกำมือ น่าจะเข้าใจสถานการณ์ที่จวนอ๋องโหวมากกว่าพวกเรา”
น้ำเสียงของจักรพรรดิมารเสวียนหลัวเหมือนดังมาจากหุบเหวลึกไร้สิ้นสุด
หญิงชุดเขียวเข้มชะงักไป คิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ “จวนอ๋องโหวในตอนนี้ หนานเฟิงอ๋องกำลังเข้าปิดผนึกฝึกตนเพื่อทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับ ในจวนมีจักรพรรดิสามคน ในนั้นมีจักรพรรดิชั้นยอดผู้หนึ่ง ทุกคนเป็น คนที่หนานเฟิงอ๋องสนิทสนมและเชื่อถือ แต่เป้าหมายที่พวกเรากำลังจะสังหารมีพลังของจักรพรรดิชั้นยอด ความเร็วก็อยู่เหนือกว่าจักรพรรดิชั้นยอด…”
“ไม่เลว ไม่เลว”
จักรพรรดิชั้นยอดสามคนที่เหลือ มีผู้เฒ่าหน้าม่วงผู้หนึ่ง ชายวัยกลางคนหน้าดำผู้หนึ่ง ส่วนอีกคนเป็นบุรุษหนุ่มชุดเกราะดำ พวกเขาพึงพอใจอย่างยิ่งกับการวิเคราะห์ข่าวสารนี้
วังเก้านิรยอันเป็นสังกัดของจักรพรรดิทั้งสี่ห่างจากแถบชายทะเลอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย
ยังดี ในฐานะที่เป็นกองกำลังทหารศาสตร์มารในสำนักสามดาวระดับสุดยอด วังเก้านิรยเองก็มีกำลังคนใต้อาณัติในแถบชายทะเล
กำลังคนในอาณัตินี้ก็คือ ‘หอควันสมุทร’ ของสตรีในชุดดำอย่าง ‘ปี้ชิงเยวี่ย’
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเวลาไหนพวกเราลงมือจะดีที่สุด โอกาสชนะมีเท่าไหร่?”
จักรพรรดิเสวียนหลัวเหมือนมีเจตนาทดสอบความซื่อสัตย์ของปี้ชิงเยวี่ย ในแววตาฉายแววหยอกเย้าและละโมบพาดผ่าน มองประเมินใบหน้าสง่างามราวพระจันทร์
ภายใต้การสังเกตของเขา ปี้ชิงเยวี่ยสัมผัสได้ถึงความอึดอัด ร่างกายหนาวเหน็บ
ในแถบชายทะเลของทวีป นางเองก็เป็นจักรพรรดิชั้นยอดที่เร้นกาย แต่ว่าเมื่ออยู่เบื้องหน้าของจักรพรรดิเสวียนหลัว กลับสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่หนักหน่วงกลุ่มหนึ่ง
แรงกดดันกลุ่มนี้ใกล้เคียงเซียนขอบเขตเทวาเร้นลับอย่างยิ่ง
“ในจวนอ๋องโหว คนเดียวที่พวกเราต้องหวาดระแวงคือหนานเฟิงอ๋อง ตอนนี้เขากำลังปิดผนึกฝึกตน ย่อมเป็นโอกาสลงมือที่ดีที่สุด พวกเราเพียงต้องล้อมโจมตีหรือไม่ก็ลอบโจมตีเท่านั้น ไม่ให้โอกาสจ้าวเฟิงได้หลบหนี โอกาสลงมือสังหารได้สำเร็จมีอย่างน้อยเก้าส่วน อย่างไรเทพราชาดวงตาซ้ายก็เพิ่งจะเลื่อนเป็นขอบเขตปราณเทวะ ยังไม่ได้ฟื้นคืนพลังขั้นสุดยอด”
ปี้ชิงเยวี่ยไม่กล้ารีรอ เอ่ยวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว
การวิเคราะห์ของนางเป็นไปตามข่าวจำนวนมหาศาลที่เกี่ยวข้องกับจวนอ๋องโหว ตามหลักการแล้วไม่ผิดพลาด
“โดยรวมแล้วก็ถือว่าถูกต้อง”
จักรพรรดิมารเสวียนหลัวถอนสายตาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “แต่เวลานี้ยังไม่ถึงโอกาสลงมือที่ดีที่สุด คนที่พวกเราต้องกังวลไม่ใช่หนานเฟิงอ๋อง แต่เป็นเชื้อพระวงศ์ต้าเฉียน พูดให้ชัดหน่อยก็คือตำหนักไท่หวง!”
ปี้ชิงเยวี่ยได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจเล็กน้อย
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาลงมือที่ดีที่สุด? หรือว่าต้องรอให้หนานเฟิงอ๋องเลื่อนขึ้นเป็นขอบเขตเทวาเร้นลับก่อน?
นางย่อมรู้ดีว่าตำหนักไท่หวงอยู่เบื้องหลังของราชนิกุลต้าเฉียน เป็นขั้วอำนาจที่สูงส่งอย่างมาก เทียบเท่าได้กับสำนักสี่ดาว
ว่ากันว่า สมาชิกของตำหนักไท่หวงต่างมาจากราชวงศ์ต้าเฉียน ส่วนมากแล้วเป็นอดีตจักรพรรดิคนที่ผ่านมา
ตำหนักไท่หวงกลุ่มนี้ถึงแม้สมาชิกจะมีน้อยนิด แต่คนสำคัญของกลุ่มอำนาจนี้คือเซียนขอบเขตเทวาเร้นลับเป็นอย่างน้อย
“ข้าก็เคยทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับมาก่อน จากการสัมผัสกลิ่นอายนี้ หนานเฟิงอ๋อง ยังไม่ทะลวงผ่านช่วงสำคัญสุดท้าย ในตอนนี้ถึงแม้เขาจะปิดผนึกฝึกตนครั้งสำคัญ แต่ทันทีที่ถูกทำให้ตื่นตระหนกก็ออกมาได้ตลอดเวลา”
น้ำเสียงทุ้มกังวานของจักรพรรดิมารเสวียนหลัว ทำให้ใจของปี้ชิงเยวี่ยเย็นยะเยียบ
ปี้ชิงเยวี่ยตื่นตกใจ นางมองข้ามไปเสียแล้ว จักรพรรดิมารเสวียนหลัวคือผู้ไร้เทียมทานในบรรดาจักรพรรดิ มีบันทึกว่าทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับหลายต่อหลายครั้ง
ขั้นตอนการทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับ จักรพรรดิเสวียนหลัวจึงคุ้นเคยกว่าหนานเฟิงอ๋องส่วนหนึ่ง
“โอกาสที่ดีที่สุดคือช่วงสุดท้ายที่หนานเฟิงอ๋องกำลังทะลวงผ่านขอบเขตเทวาเร้นลับ ในตอนนั้นต่อให้เขารู้ว่าพวกเราจะทำร้ายจ้าวเฟิง ก็ไม่มีทางถอยออกมา มิฉะนั้นจะเจอการสะท้อนกลับจนเจ็บสาหัส เรียกว่ารุกหรือถอยก็ยากทั้งสองทาง”
จักรพรรดิมารเสวียนหลัวยิ้มเย็นยะเยือก
เมื่อเอ่ยออกมาเช่นนี้แล้ว จักรพรรดิชั้นยอดอีกหลายคนของวังเก้านิรยยิ้มชั่วร้ายขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น”
ปี้ชิงเยวี่ยผงกศีรษะ กระจ่างในฉับพลัน ถ้าหากว่าลงมือตอนนี้ มีความเป็นไปได้ว่าหนานเฟิงอ๋องจะลงมือขัดขวาง
ด้วยเพราะวังเก้านิรยยังไม่กล้าลงมืออุกอาจต่อสมาชิกคนสำคัญของเชื้อพระวงศ์ต้าเฉียน ยิ่งไปกว่านั้น กำลังรบของหนานเฟิงอ๋องแข็งแกร่ง บวกกับชะตาราชวงศ์บนร่าง และยังมีไหมเมฆาผีเสื้อเซียนที่ตื่นขึ้น
“ต้องรอเวลาอีกครึ่งเดือน”
จักรพรรดิมารเสวียนหลัวยกมือขึ้นเล็กน้อย คนทั้งห้ากลืนหายไปในม่านราตรีที่มืดสนิทยิ่งกว่าอย่างรวดเร็ว และถอยห่างจากจวนอ๋องโหว
แต่ที่จวนอ๋องโหว จักรพรรดิหลายคนดูแลอยู่ไม่ได้ล่วงรู้เรื่องดังกล่าวแม้แต่น้อย ส่วนหนานเฟิงอ๋องที่ปิดผนึกฝึกตน ประสาทสัมผัสที่มีต่อโลกภายนอกก็ลดลงไปมาก
จวนอ๋องโหว ในห้องลับฝึกตนของหอคอยงามประณีตหลังหนึ่ง
แรงใจทั้งหมดของจ้าวเฟิงทุ่มเทกับการฝึกตน ไม่รับรู้เรื่องอันตรายใดๆ ที่โลกภายนอกทั้งสิ้น
ขวับ!ขวับ!
จ้าวเฟิงพลิกมือข้างหนึ่ง ปรากฏทรัพยากรล้ำค่าศาสตร์พฤกษาขึ้นเบื้องหน้า มีสมบัติล้ำค่าประเภทดังกล่าว อยู่ในเงื้อมมือเขาจำนวนมาก ส่วนสมบัติล้ำค่าธาตุวายุอัสนีที่เหลือจะน้อยลงไปส่วนหนึ่ง
แต่พลังจักรพรรดิของจ้าวเฟิงมีเสวียนอ้าววายุอัสนีที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เมื่อฝึกบำเพ็ญตนจึงรวดเร็วอย่างยิ่ง
หลายวันมานี้
การฝึกฝน ‘วิชาวายุอัสนี’ ของจ้าวเฟิงก้าวหน้าขึ้นโดยตลอด
เพราะว่ามีทรัพยากรล้ำค่าธาตุไม้มหาศาล อย่างเช่นน้ำผึ้งไป่หยวน บัวฟ้าวารีคราม ทำให้ ‘วายุอัสนีธาตุไม้’ ของจ้าวเฟิงพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
หนำซ้ำ ‘วายุอัสนีธาตุน้ำ’ ในร่างของจ้าวเฟิงก็กลายเป็นวายุอัสนีธาตุไม้หลายต่อหลายกลุ่มได้เช่นกัน
‘วิชาวายุอัสนี’ ของจ้าวเฟิงผ่านขั้นเจ็ดระดับสูงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แล้วยังก้าวหน้าไปไม่หยุด
‘ยิ่ง ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ อยู่ในช่วงปลายมากเท่าไหร่ ฝีมือและพลังจะยิ่งชัดเจนมากขึ้น รอให้เชื่อมประสานระหว่างทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ซึ่งเป็นพลังวายุอัสนีทั้งห้าประเภทได้ ทั่วทั้งราชวงศ์ดินแดนทวีปก็ยากจะมีคู่ต่อสู้’
จ้าวเฟิงคาดหวังในใจอย่างอดไม่ได้
เพราะว่าพื้นฐานของ ‘มรดกวายุอัสนี’ ในช่วงชีวิตก่อน การฝึกฝน ‘วิชาวายุอัสนี’ ของเขาในตอนนี้ เรียกได้ว่าพัฒนาอย่างรวดเร็ว แทบจะไม่มีอุปสรรคใดๆ
และแน่นอนว่าการสนับสนุนของทรัพยากรจำนวนมากก็เป็นเหตุผลที่สำคัญเช่นกัน
เวลาเคลื่อนคล้อยไปช้าๆ
จ้าวเฟิงแบ่งความคิดออกเป็นสามกลุ่มโดยใช้ ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ที่เป็นวิชาในศาสตร์วิญญาณ เพื่อพัฒนาและทำความเข้าใจทั้งสามด้านไปพร้อมกัน
กลุ่มแรกใช้ดูดซับพลังอัสนีเทวะและหล่อหลอมดวงวิญญาณโดยเฉพาะ
กลุ่มที่สอง ลอกเลียนกลยุทธ์วิชาลับที่เกี่ยวข้องกับ ‘วิชาวายุอัสนี’ และ ‘กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์’ ภายในหัว
กลุ่มที่สาม ใช้ชั้นกายเนื้อฝึกฝน ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ เพิ่มระดับพลังฝึกตน
อันที่จริง
ทางเลือกและด้านที่จ้าวเฟิงสามารถพัฒนาได้ในตอนนี้มีมากยิ่งนัก ขณะที่อยู่ในคฤหาสน์เสียหยาง เขาควบคุมศิษย์น้องเติ้งเชาแห่งวังลอยฟ้า ทำให้ช่วงชิงเอา ‘ตำราลับเสียหยาง’ จำนวนมากมาได้
ตำราลับเสียหยางเหล่านี้ มีจำนวนน้อยที่สูสีกับ ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ และ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’
ส่วนจำนวนน้อยนิดนักถึงขั้นอยู่เหนือกว่า ‘กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์’ และ ‘วิชาวายุอัสนี’ ที่จ้าวเฟิงฝึกฝน
ตำราเก่าเสียหยางเหล่านี้โดยมากแล้วใช้มรดกวิชาสายอธรรมเป็นหลัก ถึงแม้ว่าจะไม่เหมาะสมกับจ้าวเฟิง แต่ทำให้ระดับความสูงส่งของขอบเขต ความรู้และวิสัยทัศน์ของเขายกระดับขึ้นมาก
ถ้าหากลึกซึ้งใน ‘ตำราเก่าเสียหยาง’ เหล่านี้ได้ ในภายหน้าจ้าวเฟิงจะสามารถผสานและปรับปรุงวิชาของตน ถึงขั้นสร้างเคล็ดวิชาและทักษะการต่อสู้ขึ้นด้วยตนเอง
แต่ตอนนี้
จ้าวเฟิงต้องมีที่ยืนในราชวงศ์ต้าเฉียน รอในภายหน้ามีเวลาว่างถึงจะสามารถยกระดับแต่ละด้านและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเอง
เพียงพริบตาเดียว เวลาครึ่งเดือนผ่านไป
ยามนี้ชั้นวิญญาณของจ้าวเฟิงอยู่ในขั้นจักรพรรดิอย่างมั่นคง ไม่ต่างจากช่วงชีวิตก่อนมากนัก
แต่ ‘วิชาวายุอัสนี’ ของจ้าวเฟิงพัฒนาขึ้นด้วยความเร็วมหาศาล ‘วายุอัสนีธาตุไม้’ ในขั้นที่เจ็ดเกือบจะไปแตะระดับสุดยอดแล้ว!
พลังฝึกตนของเขายังขาดไปเพียงเล็กน้อย ก็จะสามารถฟื้นฟูถึงขอบเขตปราณเทวะช่วงกลางเช่นช่วงชีวิตก่อน
เพียงแต่ว่า หลังจากกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ถึงขั้นที่ห้าระดับสูงแล้ว ความเร็วในการพัฒนาจะช้าลงไป นอกเสียจากว่าจ้าวเฟิงจะตัดใจใช้ ‘วารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวน’ ถึงจะสามารถเพิ่มความเร็วได้
“อยู่ที่จวนอ๋องโหวสองเดือนแล้ว หนานเฟิงอ๋องผู้นั้นทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับน่าจะใกล้ถึงช่วงเวลาสำคัญสุดท้ายแล้ว”
ในวันนี้ จ้าวเฟิงเปิดเปลือกตาในฉับพลัน
ก่อนที่หนานเฟิงอ๋องจะปิดผนึกฝึกตนเคยมอบเรื่องบางอย่างให้เขาจัดการ
จ้าวเฟิงเป็นแขกของจวนอ๋องโหว และยังเป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่ดูแลที่นี่ จึงต้องทุ่มเทพลังส่วนหนึ่งของเขาด้วย
ถ้าหากหนานเฟิงอ๋องสามารถทะลวงผ่านขอบเขตเทวาเร้นลับได้ สำหรับจ้าวเฟิงในตอนนี้มีผลดีมากกว่าผลเสีย
เพราะว่าตอนนี้จ้าวเฟิงอยู่ภายใต้การคุ้มครองของจวนอ๋องโหว
พู่ว~ จ้าวเฟิงถอนหายใจยาว แบ่งจิตใจส่วนหนึ่งจากสภาวะฝึกตนออกมาสำรวจตรวจตราสถานการณ์จวนอ๋องโหว
ในเวลาดังกล่าว
บริเวณอากาศเหนือจวนอ๋องโหว กลิ่นอายไร้รูปร่างจำนวนมหาศาลกลุ่มหนึ่งก่อตัวขึ้น ทำให้ฟ้าดินฟากหนึ่งหนักอึ้งและกดดันอย่างประหลาด
แรงกดดันมหาศาลจากกลิ่นอายนั้นเริ่มจากชั้นวิญญาณก่อน ต่อจากนั้นจึงเริ่มส่งผลกระทบกดดันต่อขอบเขตรูปธรรม
สุดท้ายแล้วกลิ่นอายกลุ่มนี้ทะลวงผ่านดวงวิญญาณและกายเนื้อพร้อมกัน ราวกับมีพลังอำนาจที่อยู่เหนือทุกสิ่งบดขยี้พลังและสรรพชีวิตนับหมื่น
จ้าวเฟิงค้นพบว่าไอสวรรค์ต่างๆ ในอากาศทั่วบริเวณหยุดการโคจรไป เหมือนกำลังคารวะผู้ศักดิ์สิทธิ์ แม้กระทั่งพลังวิชาวายุอัสนีของตนก็ยังลดทอนลงไปมาก
กลิ่นอายประเภทนี้จ้าวเฟิงเคยสัมผัสได้จากร่างของ ‘นางพญาผึ้ง’ ที่คฤหาสน์เสียหยาง
ในวินาทีหนึ่ง
โครม!
ท้องฟ้าเหนือจุดที่หนานเฟิงอ๋องเข้าฌาน ฟ้าดินเหมือนสั่นสะเทือนเล็กน้อย แสงศักดิ์สิทธิ์สีทองม่วงที่เป็นประกายราวผลึกแก้วกลุ่มหนึ่งรวมตัวขึ้น เปล่งประกายเจิดจ้าไปทั่วฟ้า และจึงค่อยๆ บิดเบี้ยวกลายเป็นน้ำวนแสงสีม่วงทองขนาดยักษ์
พริบตานั้น ดวงวิญญาณของยอดฝีมือจำนวนมากในจวนอ๋องโหวสั่นสะท้าน ปราณแท้จริงและเลือดลมภายในร่างก็ปั่นป่วนพลุ่งพล่าน
จวนอ๋องโหวในเวลานี้ พวกข้ารับใช้ที่ระดับพลังต่ำกว่าครึ่งก้าวสู่ราชันถูกบีบให้มารวมตัวกัน ไม่เช่นนั้นแล้ว ลำพังแค่แรงกดดันของกลิ่นอายเศษเสี้ยวเดียว หากไม่ระวังก็สังหารขอบเขตจิตวิญญาณแท้จริงหรือขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้
ภายในป่าลึกลับแห่งหนึ่ง ห่างจากจวนอ๋องโหวหลายสิบลี้
“เกิดระลอกคลื่น ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทวาเร้นลับ’ รวดเร็วเช่นนี้ พัฒนาการของหนานเฟิงอ๋องราบรื่นกว่าที่คิดเอาไว้…”
จักรพรรดิมารเสวียนหลัวใจลอยไปเล็กน้อย
กลิ่นอายต้องห้ามที่กดดันสรรพชีวิตทะลักออกมาจากในใจกลางของจวนอ๋องโหว
ในเวลานี้เอง
พลังทั้งหลายในรัศมีหลายพันลี้และพลังจิตวิญญาณมายาประเภทต่างๆ โดนกดดันอย่างประหลาดเกินจะอธิบาย โดยมีจวนอ๋องโหวเป็นใจกลาง
พู่ว~ อากาศเหนือจวนอ๋องโหว ลำแสงม่วงทองขนาดใหญ่ยักษ์ที่หมุนคว้างบิดเบี้ยว เป็นดัง ‘ลำแสงศักดิ์สิทธิ์’ สายหนึ่ง ทำให้ไอสวรรค์ทั่วทุกทิศทางต้องคารวะบูชา เขย่าขวัญเทพและมาร
“ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่สุด หากไม่ลงมือก็ไม่ทันแล้ว”
จักรพรรดิมารเสวียนหลัวเผยอาการเร่งร้อน แล้วจึงนำจักรพรรดิชั้นยอดสี่คนลอยเข้าไปในจวนอ๋องโหวอย่างเงียบงัน