บทที่ 889 ภยันอันตรายของหนานเฟิงอ๋อง
โครม
อาณาเขตประมือของจ้าวเฟิงและจักรพรรดิมารเสวียนหลัวมีรัศมีแค่หลายสิบลี้ แต่จวนอ๋องโหวที่ใหญ่โตสั่นสะเทือนไปเล็กน้อย
ถ้าหากไม่ใช่เพราะตัววัสดุในการสร้างจวนอ๋องโหวแข็งแกร่ง ใกล้เคียงกับสำนักระดับสามดาว อีกทั้งยังมีค่ายกลปกป้องอยู่ เกรงว่าน่าจะพังทลายลงไปตั้งนานแล้ว
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้
เหล่ายอดฝีมือจำนวนมากของจวนอ๋องโหวก็ยังอกสั่นขวัญหาย แต่ละคนต่างทิ้งระยะห่างออกไปอย่างระแวดระวัง
ผู้เฒ่าผมเงินยวงผู้เป็นจักรพรรดิชั้นยอดลงมือคลายระลอกพลังที่เหลือส่วนหนึ่ง และ อพยพคนที่ค่อนข้างอ่อนแอบางส่วน
“หมัดศักดิ์สิทธิ์อัสนี!”
กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงเกิดเสียงลั่นของกระดูกดังขึ้นกรอบแกรบ กำปั้นสองข้างเคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าที่แปลกประหลาด ส่งแก่นแท้พลังหมัดที่กระเทือนฟ้าดินออกมาหลายครั้ง
โครม บึ้ม!
มองเห็นแค่ลำแสงหมัดขนาดมโมฬารอัสนีสีทองหลายสายเกี่ยวกระหวัดกัน เกิดเป็นภูผาอัสนีธาตุทอง สาดแสงสว่างทรงอำนาจ ในทุกการโจมตีล้วนแต่เป็นดั่งเพลิงร้อนแรงแผดเผานภา อานุภาพน่าสะพรึง
“สำนึกรู้ของวิชาหมัดนี้ยังมีลักษณะการฝึกฝนร่างกาย และยังคล้ายคลึงกับ ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ ในตำนานด้วย…”
‘กายจิตมารยักษ์’ ของจักรพรรดิมารเสวียนหลัวสั่นเทาไปชั่วขณะหนึ่งจากการโจมตีที่รุนแรงของจ้าวเฟิง กายจิตเพลิงปะทุลุกไหม้ ถูกทำร้ายจนเกิดรอยโหว่ขึ้นหลายจุด
หลังจากสำแดง ‘หมัดศักดิ์สิทธิ์อัสนี’ แล้ว แรงหมัดของจ้าวเฟิงยิ่งมีระเบียบแบบแผนมากขึ้น ทุกหมัดแฝงไปด้วยเสวียนอ้าวหมัดที่สูงส่งลึกล้ำ ใช้แรงกดดันและบดขยี้สรรพชีวิตนับหมื่น
ในเวลานี้ แนวทางในการต่อสู้ของจ้าวเฟิงค่อนข้างคล้ายคลึงกับเด็กน้อยครึ่งเซียนในยามก่อน
ในระดับขั้นกายศักดิ์ จ้าวเฟิงแข็งแกร่งกว่าเด็กน้อยครึ่งเซียนในตอนนั้น
อีกทั้งกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงแฝงไปด้วยคุณสมบัติศาสตร์อัสนี ฝึกฝนร่วมกับ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ เป็นเวลานาน พลานุภาพก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ความแตกต่างระหว่างจ้าวเฟิงและเด็กน้อยครึ่งเซียนอยู่ที่การใช้แก่นแท้พลัง รวมไปถึงความต่างชั้นในด้านสำนึกรู้ของ ‘หมัดศักดิ์สิทธิ์อัสนี’ ด้วย
แต่ทว่า
จ้าวเฟิงได้ครอบครองเพลิงมารโลหิตที่เปลี่ยนแปลงไป แรงระเบิดและพลังแปลกประหลาดที่เพิ่มขึ้นในขณะกระตุ้นออกมา ส่งผลให้กำลังรบของเขาเพิ่มขึ้นเกือบถึงหนึ่งหรือสองระดับ
ตูม ตูม โครม! บึ้ม!
หมัดศักดิ์สิทธิ์อัสนีของจ้าวเฟิง พลังหมัดแกร่งกล้าสาดแสง ร้อนแรงทะลุฟ้า เหมือนเป็นเทพสงครามป่าเถื่อนที่บดขยี้ทำลายทุกสิ่ง
จักรพรรดิมารเสวียนหลัวที่แข็งแกร่ง ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็แทบถูกกดดันเมื่อปะทะกับจ้าวเฟิง
จากใจกลางที่คนทั้งสองปะทะเข้าหากัน คลื่นการโจมตีแต่ละสายกวาดล้างไปทุกทิศ ทำลายจวนอ๋องโหวไปครึ่งหนึ่ง
“กระบี่มารแผดเผานภา!”
ในกายจิตเพลิงยักษ์ของจักรพรรดิมารเสวียนหลัวแบ่งกระบี่เพลิงทมิฬเล่มหนึ่งออกมา ไม่ต่อสู้ด้วยมือเปล่ากับจ้าวเฟิงอีกต่อไป
การต่อสู้ด้วยมือเปล่า ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ที่ฝึกฝนศาสตร์ร่างกายเหมือนกันมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น พลังกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงยังอยู่เหนือ ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ ที่เป็นแบบฉบับดั้งเดิม
“ปีกวายุอัสนี!”
อัสนีสีทองของจ้าวเฟิงสว่างวาบ ร่างกายที่ส่องแสงสีแดงเพลิงร้อนแรง เบื้องหลังปรากฏปีกแสงวายุอัสนีขนาดยักษ์ที่บดบังฟ้าดินคู่หนึ่ง พลังของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ความเร็วในการโต้ตอบก็เพิ่มขึ้นมาก
ตุบ เคร้ง!
กระบี่เพลิงของจักรพรรดิมารเสวียนหลัวฟันลงบนร่างจ้าวเฟิง แต่กลับถูกลำแสงเพลิงร้อนแรงที่สาดซัดจากหมัดคู่อัสนีทองของอีกฝ่ายกระแทกออกไป
“ย้าก!”
ปีกแสงวายุอัสนีเบื้องหลังจ้าวเฟิงโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง เกิดเป็นลมพายุหมุนลูกใหญ่ สรรพสิ่งทั้งหมดมอดไหม้เป็นธุลีในทุกที่ที่มันผ่านไป
ฟุ่บ~
ในตอนนี้ หอคอยสิ่งปลูกสร้างที่จวนอ๋องแต่ละแห่งมอดไหม้เป็นธุลี
ถึงแม้ว่าการต่อสู้ของจ้าวเฟิงและจักรพรรดิมารเสวียนหลัวค่อยๆ ห่างไกลออกจากพื้นโลกไปถึงกลางอากาศ แต่คนทั้งสองสู้อย่างเอาจริงเอาจัง พลังทำลายล้างยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดสามารถทำลายสำนักหนึ่งดาว สองดาวได้
“จ้าวเฟิง รีบยั้งมือก่อน!”
จักรพรรดิผมสีเงินยวงและพวกร่วมมือกันสลายระลอกโจมตีเหล่านั้น แต่ค่ายกลของจวนอ๋องถูกทำลายไปนานแล้ว
ทำลายให้หายไปง่ายดายกว่าการทำลายและฟื้นฟูมาก
“ข่าวทั้งหมดที่มีล้วนประเมินจ้าวเฟิงต่ำไป ความสามารถที่แท้จริงของ ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ แข็งแกร่งเท่าไหร่กันแน่?”
ร่างของปี้ชิงเยวี่ยเย็นวาบ แบกรับระลอกการโจมตีจากการสู้รบของคนทั้งสอง
นางคิดจะฉวยโอกาสหนีไป แต่กลับโดน ‘ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน’ หมายตาไว้
เปรี๊ยะ ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!
ใยไหมที่ส่องแสงวาววับเป็นวงๆ ทำให้ปี้ชิวเยวี่ยที่ร่างกายไร้เรี่ยวแรง ผิวหนังชาวาบ ถูกบีบคั้นจนตกอยู่ในอันตรายไม่หยุดหย่อน บางครั้งก็มีใยไหมบางส่วนรัดรั้งทั่วร่างของนาง ใช้แรงไปไม่น้อยในการสลัดออกไปอย่างทุลักทุเล แล้วยังจะมีไหมเมฆาใหม่มารัดร่างซ้ำอีก
ในดวงตาราวกับอัญมณีสีเขียวของไหมเมฆาผีเสื้อเซียนฉายแววซุกซนใสซื่อ
เหมือนกับว่าไม่มีคำสั่งของจ้าวเฟิง มันเพียงแต่อยากจะเล่นสนุกเท่านั้น มิฉะนั้น ปี้ชิวเยวี่ยที่ในเวลานี้กำลังรบลดลงอย่างมากคงถูกมันจับทำให้กลายเป็นบ๊ะจ่างหลากสีไปแล้ว
“ผู้คุ้มครอง หากไม่หนีตอนนี้พวกเราก็จะไม่มีโอกาสแล้ว…”
ปี้ชิวเยวี่ยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากอย่างยิ่ง ละลั่กละล่ำส่งเสียงบอก
เมี้ยว เมี้ยว!
และในเวลานี้เอง เกิดเสียงที่ทำให้ใจของนางเย็นวาบที่ด้านหลัง
สีหน้าของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยฉายแววนึกสนุก กรงเล็บแมวคว้าสร้อยคอสีทองหม่นที่เล็กละเอียดล้ำค่าตรงลำคอ
วิ้ง!
สร้อยคอสีทองหม่นที่อยู่บนลำคอพลันกลายเป็นแส้งูมังกรที่มีชีวิตชีวา ในวินาทีที่โบกสะบัดเกิดเป็นเงามังกรทองหลายตัว แล้วยังส่งเสียงคำรามที่เขย่าดวงวิญญาณ
ในทุกครั้งที่โบกแส้งูมังกร ก็จะเกิดพลังที่ไร้รูปร่างกดดันปราณที่แท้จริงและเลือดลม เหมือนเป็นร่างประทับของมังกรจริงๆ
แส้ดังกล่าวคือชิ้นส่วนที่ได้มาจาก ‘โครงกระดูกทอง’ ตรงซากเมืองโบราณในมิติเทพลวงตา
รวมไปถึงห่วงประดับจมูกของหนานกงเซิ่งก็เป็นสมบัติบนร่างของโครงกระดูกสีทองเช่นกัน แต่เจ้าของโครงกระดูกสีทองนั้น คาดเดาได้ว่าก่อนตายอย่างน้อยน่าจะเป็นเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ มีความเป็นไปได้ว่าใกล้เคียงขั้นครึ่งเซียน
“อ๊าก…”
ปี้ชิวเยวี่ยโดนขนาบทั้งหน้าหลัง ชุดเขียวเข้มตัวยาวถูกเงามังกรทองที่เจ้าแมวขโมยตัวน้อยโบกสะบัดทำลายเป็นชิ้น เผยให้เห็นสองเรียวขาขาวผ่อง
พั่บ!
ขาทั้งสองข้างของปี้ชิวเยวี่ยแสบร้อน ถูกแส้งูมังกรทองหม่นของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยรัดเอาไว้ ร่างกายค้างแข็ง และต่อจากนั้นก็เป็นไหมเมฆาแวววาวที่รัดร่างกายด้านล่างของนางเอาไว้อย่างแน่นหนา
ในช่วงเวลาหนึ่งสองลมหายใจ ปี้ชิวเยวี่ยก็ถูกรัดจนกลายเป็นรังดักแด้ขนาดใหญ่ เหมือนบ๊ะจ่างหลากสีชิ้นหนึ่ง
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยกระโดดไปบนบ๊ะจ่างหลากสี แส้ยาวสีทองหม่นในมือกลายเป็นสร้อยเส้นเล็กใส่กลับไปบนคออย่างรวดเร็ว
วูบ วูบ พรึ่บ!
ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนโบยบินไปบนลำคอของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย ใช้เรือนร่างที่อวบอ้วนถูไถคลอเคลียอย่างสนิทสนม
สัตว์วิเศษทั้งสองร่วมมือกัน หลังจากที่จับจักรพรรดิหญิงชั้นยอด ก็กะพริบตาดั่งอัญมณีปริบๆ มองการต่อสู้ของจ้าวเฟิงและจักรพรรดิมารเสวียนหลัวอย่างแปลกใจ
“แย่แล้ว! ปี้ชิวเยวี่ยถูกจับแล้ว…”
ใจของจักรพรรดิมารเสวียนหลัวเย็นวาบ จักรพรรดิชั้นยอดทั้งห้าเหลือเพียงแค่เขาคนเดียวแล้ว
ใจเขาโกรธเคืองเคียดแค้น แต่กลับไม่มีแรงจะต้านทานอีกแล้ว
และในเวลานี้เอง
‘ผู้เฒ่าผมสีเงินยวง’ จักรพรรดิชั้นยอดที่อยู่ด้านล่าง ในที่สุดก็ทนต่อการทำลายล้างจวนอ๋องโหวของพวกจ้าวเฟิงไม่ได้ จึงตรงดิ่งเข้ามา
การเข้าร่วมของจักรพรรดิชั้นยอดคนหนึ่ง ย่อมต้องส่งผลกระทบหลายอย่างต่อจ้าวเฟิงและจักรพรรดิมารเสวียนหลัว
หนำซ้ำ จักรพรรดิมารเสวียนหลัวยังต้องระแวดระวังสัตว์วิเศษที่ดูใสซื่อไร้ซึ่งความชั่วร้ายสองตัวด้านล่าง
สัตว์วิเศษสองตัวนี้เหมือนเล่นสนุกกันอย่างนั้น จับปี้ชิงเยวี่ยผู้เป็นจักรพรรดิชั้นยอดไว้ ทำให้ใจของจักรพรรดิมารเสวียนหลัวหนักอึ้งลงไป
เพียงแค่จ้าวเฟิงคนเดียวก็สามารถประมือกับเขาได้ในชั่วขณะหนึ่ง เป็นศัตรูผู้แข็งแกร่งที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีปัจจัยที่อาจจะคุกคามเขาได้มากมายเพียงนี้
“การต่อสู้ในวันนี้ยุติก่อนชั่วคราว เทพราชาดวงตาซ้าย ข้าได้เรียนรู้กลวิธีและความสามารถของเจ้าแล้ว…”
สีหน้าของจักรพรรดิมารเสวียนหลัวอำมหิต ฉายแววเกลียดแค้นไม่ยินยอม กายจิตเพลิงยักษ์ของเขากลายเป็นเมฆเพลิงสีเทาเข้มในฉับพลัน หลังเสียงดัง ‘พรึ่บ’ ก็หลอมรวมกับขอบฟ้าไกล หายตัวไปในทันที
ช่างรวดเร็วอย่างยิ่ง!
จ้าวเฟิงตกใจเล็กน้อย ความเร็วในการกระตุ้นเคล็ดวิชาชองจักรพรรดิมารเสวียนหลัวผู้นี้ เกรงว่าเข้าใกล้ระดับของจักรพรรดิวายุอัสนีแล้ว
การสู้รบครั้งนี้ ถึงแม้จะสู้กันในระยะเวลาสั้นๆ แต่ปราณที่แท้จริงและแรงกายของจ้าวเฟิงก็สูญสลายไปมาก
ในเวลาสั้นๆ เขาสามารถประมือกับจักรพรรดิมารเสวียนหลัวแบบซึ่งหน้าได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเกรงว่าจะยิ่งเปลืองแรงมากขึ้น
นี่คือความแตกต่างส่วนหนึ่งอันเกิดจากพลังฝึกตน ความชำนาญในวิชา และส่วนแฝงของพลัง
ยกตัวอย่างเช่น
‘กายจิตมารยักษ์’ ของจักรพรรดิมารเสวียนหลัว ฝึกฝนจนมีคุณสมบัติของกายอมตะ การโจมตีรุนแรงราวฉีกทึ้งของจ้าวเฟิงไม่เคยสร้างอาการบาดเจ็บได้อย่างเป็นรูปธรรม
“กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของข้าก็มีการฝึกฝน ‘กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์อมตะ’ เช่นกัน เพียงแต่ว่าการฝึกฝนกายอมตะ เป็นขั้นตอนที่ยาวนาน ไม่สามารถฝึกฝนได้สำเร็จในเวลาอันสั้น มีเพียงคนส่วนน้อยที่มีองค์ประกอบลึกล้ำ มีพรสวรรค์สายเลือดพิเศษ หรือเป็นจักรพรรดิที่มีโอกาสครั้งใหญ่ จึงจะสามารถฝึกฝนคุณสมบัติกายอมตะที่แท้จริงได้”
จ้าวเฟิงวิเคราะห์แจกแจงจุดที่ตนเองยังขาด
ยังดีที่จ้าวเฟิงฝึกฝน ‘อัสนีคุ้มกาย’ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาป้องกันกายอันแกร่งกล้าที่หลอมรวมวิชาวายุอัสนีและกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่ประมือกันอย่างซึ่งหน้า จักรพรรดิมารเสวียนหลัวเองก็ทำอะไรเขาไม่ได้
หากไม่เช่นนั้นแล้ว ในการต่อสู้เมื่อครู่ ถึงกำลังรบจะเทียบเท่ากัน จ้าวเฟิงก็อาจได้รับบาดเจ็บ แต่ จักรพรรดิมารเสวียนหลัวกลับไม่ได้รับผลกระทบเท่าไหร่นัก
แน่นอนว่าถ้าหากเป็นการสู้รบที่เอาเป็นเอาตายย่อมไม่มีกฎเกณฑ์จำกัดอะไร โอกาสชนะของจ้าวเฟิงก็จะมากยิ่งขึ้นเล็กน้อย ด้วยเพราะอย่างไร ข้อได้เปรียบของเขาก็อยู่ที่ด้านความเร็วและดวงตาเทพเจ้า
“สหายจ้าว ขืนพวกเรายังสู้กันต่อไป จวนอ๋องก็คงจะโดนทำลาย ท่านอ๋องยังจะทะลวงขอบเขตได้อย่างไรกัน?”
‘ผู้เฒ่าผมสีเงินยวง’ ผู้เป็นจักรพรรดิชั้นยอดยิ้มขมขื่น
ในแววตาของเขามีความสับสนอยู่หลายส่วน หากก่อนนี้รู้ว่าจ้าวเฟิงแข็งแกร่งเช่นนี้ พวกเขาก็คงไม่สูญเสียจักรพรรดิปราณเทวะคนหนึ่งไปอย่างเปล่าประโยชน์
“หนานเฟิงอ๋อง?”
จ้าวเฟิงคิดอะไรออกในฉับพลัน จ้องเขม็งไปยังแสงสีทองม่วงที่หมุนวนอยู่บนฟ้าเหนือจวนอ๋อง
โครม!
ลำแสงสีทองม่วงใหญ่ยักษ์สั่นสะท้านอย่างรุนแรง แสงศักดิ์สิทธิ์สว่างเจิดจ้าที่ปกคลุมฟ้าดินอับแสงลงไปมากกว่าครึ่ง
จากนั้นระลอกกลิ่นอายที่เกือบแตะถึงขั้นเซียนกลุ่มนั้นก็สั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
“ไม่ถูกต้อง!”
สีหน้าของจ้าวเฟิงเปลี่ยนไป สถานการณ์เช่นนี้ไม่ปกติอย่างยิ่ง
เขาสังเกตพบว่า การบุกโจมตีของจักรพรรดิชั้นยอดทั้งห้าของวังเก้านิรยทำให้ทุกคนมองข้ามอะไรบางอย่างไป
ก่อนนี้ คนสำคัญของจวนอ๋องโหวควรจะเป็นหนานเฟิงอ๋องที่กำลังทะลวงผ่านขอบเขตเทวาเร้นลับ
เหตุที่ผู้เฒ่าผมเงินยวงและจักรพรรดิทั้งสามหรือกระทั่งจ้าวเฟิงต้องอยู่ที่นี่ก็เพื่อปกป้องเขา
“มีนักฆ่า”
“ปกป้องท่านอ๋อง!”
พื้นที่ที่หนานเฟิงอ๋องปิดผนึกฝึกตนถูกปกคลุมไปด้วยเงาควันมืดมิด
“อ๊าก…”
รอบห้องลับที่หนานเฟิงอ๋องปิดผนึกฝึกตน ราชันหลายคนยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็โดนเงามืดสีเทานั้นสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“จิ๊ๆ…หนานเฟิงอ๋อง หนทางในการข้ามผ่านระดับของเจ้า จบลงตรงนี้แล้วกัน!”
เสียงเย็นยะเยียบดังกึกก้องในบริเวณห้องลับ
ในห้องลับ หนานเฟิงอ๋องนั่งขัดสมาธิอยู่กับที่ ผิวทั่วร่างกายส่องสว่าง เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่แปลกประหลาดขึ้น
ด้านหลังของเขาปรากฏบุรุษประหลาดที่เป็นเงาดำมืดขึ้น
พรึ่บ!
กระบี่คลื่นสีดำเล่มหนึ่งที่คล้ายลักษณะพิเศษของ ‘กริชจักรพรรดิเงาสังหาร’ ในมือเงาบุรุษ แทงลงไปที่หลังของหนานเฟิงอ๋อง
อั๊ก! ร่างกายของหนานเฟิงอ๋องแข็งค้างไป กระอักเลือดออกมา ใบหน้าซีดขาว
สีหน้าของเขาตื่นตระหนก หันกลับไปมองบุรุษที่เป็นกระแสดำมืดประหนึ่งเทพมรณะจากนรกที่แข็งแกร่งเกินจะเปรียบ บนผิวนอกของบุรุษผู้นี้เป็นลวดลายหนังสีมืดชั้นหนึ่ง เรือนร่างบางเหมือนไร้กระดูก เห็นได้ชัดว่าเป็นเผ่าพันธุ์อมนุษย์
“เหอะๆ ผู้แข็งแกร่งที่ดูแลจวนของเจ้าเกินความคาดหมายไปบ้าง ถ้าหากไม่มีผู้ก่อกวนจากวังเก้านิรยพวกนั้น ภารกิจลอบสังหารของข้าคงจะไม่สำเร็จราบรื่นเช่นนี้…”
บุรุษในเงาดำเอ่ย ก่อนจะดึงกระบี่เงาทมิฬออกมา
หนานเฟิงอ๋องส่งเสียงขึ้นจมูก ร่างกายสั่นสะท้าน ที่แปลกประหลาดคือบาดแผลบนร่างเขาไม่มีเลือดไหล แต่เกิดเป็นควันดำเหม็นเน่าลอยกรุ่นขึ้น