Skip to content

King of Gods 900

King Of Gods

บทที่ 900 เซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ

หลังจากที่มอบวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนส่วนหนึ่งให้กับเทพราตรีทมิฬแล้ว จ้าวเฟิงก็ยังเหลืออีกเก้าส่วน

ในนั้นเขาวางแผนจะแบ่งให้ตนเองไว้สามส่วน วารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนสามส่วนนี้ ส่วนแรกใช้ไปเพื่อทำให้ตนเองบรรลุกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ห้าระดับสุดยอด ส่วนที่สองใช้เพื่อทะลวงขั้นเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ และส่วนที่สามจะใช้เพื่อทะลวงกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ในขั้นที่หก

ในความเป็นจริงแล้ว การใช้วารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนซ้ำไปมาจะทำให้ผลลัพธ์ของมันลดลงไปอย่างมาก

ทันทีที่ใช้เกินสามส่วนหรือกระทั่งสองส่วนก็ออกจะสิ้นเปลืองมูลค่าของวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนแล้ว

“รอให้ ‘วายุอัสนีธาตุไฟ’ หล่อหลอมแก่นแท้ร่างกาย ยามที่เข้าใกล้กายศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้าระดับสุดยอด ข้าค่อยใช้วารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนอีกส่วนหนึ่งไปถึงขีดจำกัดขั้นที่ห้า เพื่อเป็นพื้นฐานในการทะลวงผ่านขั้นเซียนและกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่หกในอนาคต”

จ้าวเฟิงดำดิ่งลงสู่ภวังค์ครู่หนึ่ง กดความรู้สึกรีบร้อน เก็บวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนเอาไว้

ก่อนกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จะเลื่อนไปขั้นที่หก ยิ่งเขาใช้วารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนช้าเท่าไหร่ ผลลัพธ์และศักยภาพที่ตามมาจะยิ่งมากขึ้น

จ้าวเฟิงกำลังรอคอยในจังหวะที่ดีที่สุดนั้นมาถึง

ภายในห้องลับ ทะเลวิญญาณของจ้าวเฟิงยังคงดูดซึมพลังอัสนีเทวะอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เพราะ ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ นอกเหนือจากทะลวงผ่านขั้นสำคัญๆ แล้ว ปกติการฝึกตนของเขาก็แบ่งออกเป็นห้วงคิดหลายส่วน

การดูดซึมพลังอัสนีเทวะกลายเป็นสิ่งที่ต้องทำในทุกวัน

วิ้ง!

ในโลกทะเลวิญญาณ ปรากฏตราประทับอัสนีเทวะหนึ่งพันห้าร้อยกว่าเส้นสายขึ้นรางๆ ริ้วลายสายฟ้าเล็กละเอียดลอยขึ้น หล่อหลอมดวงวิญญาณอย่างต่อเนื่อง

ยามนี้

โลกทะเลวิญญาณมีขนาดหนึ่งพันจั้งเท่ากับช่วงสุดยอดของช่วงชีวิตก่อน อีกทั้งยังหนาแน่นแกร่งกล้ายิ่งขึ้น

พลังดวงวิญาณของเขาแทบอยู่เหนือขอบเขตขั้นจักรพรรดิ และไปถึงขั้นดวงวิญญาณของขอบเขตเทวาเร้นลับ

“ตอนนี้ถือว่าพอใช้ได้ ให้ปราณที่แท้จริงวายุอัสนีดูดซึมพลังอัสนีเทวะได้แล้ว…”

นัยน์ตาของจ้าวเฟิงเป็นประกายแวววับ

การฝึกฝนใหม่ในช่วงชีวิตนี้ ปราณแท้จริงของเขาไม่ได้ดูดซึมพลังอัสนีเทวะเร็วเกินไปนัก แต่ดูดซึมพลังอัสนีเทวะจำนวนค่อนข้างมากในขั้นต้นจนถึงระดับลึกซึ้งแล้ว ถึงจะเริ่มดำเนินการต่อ

แซ่ด แซ่ด วูบ~

ตราประทับอัสนีเทวะในทะเลวิญญาณแบ่งออกเป็นริ้วลายอัสนีเทวะเล็กละเอียดหลายเส้น และหลอมรวมเข้ากับมิติปราณที่แท้จริง

มิติทะเลปราณที่แท้จริง จำนวนปราณที่แท้จริงมหาศาลและแข็งแกร่ง

ถ้าหากหลอมรวมเข้าไปในปราณที่แท้จริงทั้งหมด พลังอัสนีเทวะจะถูกเจือจางลงไปมาก

จ้าวเฟิงเลือกเพียง ‘วายุอัสนีธาตุไฟ’

วายุอัสนีธาตุไฟเป็นพลังวายุอัสนีธาตุสามที่สร้างขึ้น คุณสมบัติสูงส่งที่สุด แรงโจมตีแกร่งกล้า แต่จำนวนกลับน้อยที่สุด

เป้าหมายที่ทำเช่นนี้เป็นไปเพื่อระเบิดพลานุภาพของ ‘พลังอัสนีเทวะ’ ออกมาเป็นจำนวนมาก

ในขณะที่จ้าวเฟิงเริ่มลงมือทำ

จวนอ๋องโหว ณ ดินแดนเกาะเทียนเฟิงก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้หนึ่งมาเยือน

“หืม?”

จ้าวเฟิงที่กำลังฝึกตนรู้สึกได้ว่าเลือดลมปราณที่แท้จริงทั่วร่างหยุดโคจร กระทั่งขนาดพลังดวงวิญญาณยังรู้สึกหนักหน่วงอย่างประหลาด

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ กลิ่นอายไร้ขอบเขตที่ยิ่งใหญ่กลุ่มหนึ่งส่งผลกระทบไปทั่วดินฟ้าอันเป็นที่ตั้งของจวนอ๋องโหว

การดำรงอยู่ของกลิ่นอายกลุ่มนั้นกดข่มอยู่เหนือสรรพชีวิต ทำให้ไอสวรรค์ทั่วทุกสารทิศในอากาศหยุดการเคลื่อนไหวและสั่นสะท้านหวาดกลัว ประหนึ่งกราบไหว้ยอดปราชญ์

ไม่ว่าไอสวรรค์ในฟ้าดินภายนอกหรือปราณที่จริงในร่างกายของตนเอง ราวไปถึงสายเลือด พลัง จิตกระบี่ ต่างก็หนีการกดข่มของกลิ่นอายพลังกลุ่มนี้ไม่ได้

“กลิ่นอายกลุ่มนี้…”

จ้าวเฟิงเงยหน้าขึ้น จิตใจตื่นตระหนก

เห็นเพียงผืนฟ้าในหลายพันลี้ค่อยๆ ตกเข้าสู่ความมืดมิดทีละน้อย จนเกิดความรู้สึกเหมือน ‘ความมืดมิดมาเยือน’ อย่างนั้น

ในวินาทีนั้น หลายพันลี้รอบจวนอ๋องโหวเหมือนถูกโลกมืดมิดเข้าทับซ้อน

ภายในจวนอ๋องโหวเงียบสงัด สิ่งมีชีวิตจำนวนมากถูกกดดันจนหายใจไม่ออก ตัวแข็งทื่อพูดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น

พลังกลุ่มนั้นสามารถพลิกฟ้าเปลี่ยนดิน สิ่งมีชีวิตนับหมื่นและข้าราชบริพารต่างก็ไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้

ในตำหนักรองที่จวนอ๋องโหว

“หนานเฟิงอ๋อง ข้ามาที่นี่มีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น คิดว่าเจ้าเองก็น่าจะรู้ดี”

เจ้าลัทธิมารชุดดำผู้อยู่ท่ามกลางลำแสงสีดำคนหนึ่งค่อยๆ เปิดปาก

ระดับขั้นชีวิตของเขาเหมือนลำแสงมารทรงพลังกลุ่มหนึ่ง ดวงตาสีดำไร้จุดสิ้นสุด ทุกๆ พลังลำแสงศักดิ์สิทธิ์แฝงไปด้วยพลานุภาพมหาศาลที่ทำลายดินถล่มฟ้าได้

น้ำเสียงนั้นกังวานไปมาอยู่กลางฟ้า เหมือนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า จนทำให้ผู้คนไม่อาจจะต้านทานความยิ่งใหญ่อหังการของเขาได้

หากเปลี่ยนเป็นขอบเขตปราณเทวะทั่วไป เมื่ออยู่เบื้องหน้าเจ้าของน้ำเสียงนี้เกรงว่า ความสามารถที่จะพูดก็ยังไม่มี พลัง การหายใจ โลหิตทั้งหมดต่างโดนกดดันบีบคั้น

“เจ้าลัทธิมารเก้านิรย ท่านเป็นถึงเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ ลงมือต่อคนรุ่นหลังเช่นนี้คุ้มค่าแล้วหรือ? ต่อให้ข้ายินยอม แต่เกียรติยศของเชื้อพระวงศ์ไม่อาจล่วงเกินได้”

หนานเฟิงอ๋องสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยขึ้นช้าๆ

ภายใต้กลิ่นอายที่ไร้รูปร่างของคนขั้นเซียน ทุกลมหายใจเข้าออก ทุกคำพูดที่เอื้อนเอ่ยของเขาล้วนเคร่งขรึมกว่าปกติมาก

และนี่ฝ่ายตรงข้ามก็ยังเก็บงำพลังเอาไว้อยู่พอควร ไม่ได้ปลดปล่อยออกมาหมดแต่อย่างใด

หากไม่เช่นนั้นแล้ว เมื่อปลดปล่อยกลิ่นอายพลังของขั้นเซียนทั้งหมดออกมา ผนึกอากาศเหนือบริเวณนี้เอาไว้ สิ่งมีชีวิตมากกว่าเก้าส่วนทั่วทั้งจวนอ๋องโหวจะถูกกระแทกจนตายในพริบตา

ถึงอย่างไร เซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับก็ยืนอยู่บนจุดสุดยอดแห่งยุค

ในเวลาปกติ คิดจะเห็นหน้าพวกเขาครั้งหนึ่งช่างลำบากเกินจะเปรียบ

“จ้าวเฟิงผู้นั้เป็นถึง ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วชางไห่ ไม่ได้เป็นเพียงคนรุ่นหลังทั่วไป ความเสียหายที่เกิดขึ้นในจวนอ๋องโหว วังเก้านิรยจะเป็นผู้ชดใช้ ส่วนเรื่องเกียรติของเชื้อพระวงศ์ ข้าจะไปขออภัยโทษกับตำหนักไท่หวงด้วยตนเอง…”

คำพูดของเจ้าลัทธิมารเก้านิรยรอบคอบ จนยากจะหาช่องโหว่มาแย้งเขาได้

ดังเช่นสถานะ ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ ‘เจ้าลัทธิมารเก้านิรย’ ก็สามารถกำจัดคำครหาเรื่องผู้ใหญ่รังแกเด็กไปได้

ปัญหาเรื่องความเสียหายของอ๋องโหวและเกียรติยศของเชื้อพระวงศ์ เจ้าลัทธิมารเก้านิรยก็แบกรับเอาไว้เองทั้งสิ้น

เป้าหมายของเจ้าลัทธิมารเก้านิรยมีเพียงสิ่งเดียวคือ จับจ้าวเฟิง!

สีหน้าของหนานเฟิงอ๋องมืดทะมึน ส่ายศีรษะเบาๆ พลางเอ่ย “เจ้าลัทธิมาร! จ้าวเฟิงเป็นสหายของข้า ถ้าหากว่าข้าส่งตัวเขาให้ท่าน ขอถามหน่อยว่าคนในใต้หล้าจะมองข้าอย่างไร?”

หนานเฟิงอ๋องไม่สามารถรับมือเจ้าลัทธิมารเก้านิรยได้แบบเปิดเผย ดังนั้นจึงรีบเอ่ย ‘เรื่องส่วนตัว’ เสีย

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจะพยายามจนสุดความสามารถ

“เหอะ! หนานเฟิงอ๋อง! นี่เจ้าจะไม่ไว้หน้าข้าใช่หรือไม่?”

เจ้าลัทธิมารเก้านิรยมีสีหน้าโกรธเกรี้ยว ลำแสงสีดำอ่อนทั่วร่างเกิดเป็นระลอกที่บิดเบี้ยวไปมาอย่างประหลาด

โครม!

สายเลือดปราณที่แท้จริงของหนานเฟิงอ๋องแข็งค้างและหวาดกลัว พลังดวงวิญญาณส่งเสียงดังจากแรงกดดันที่ไร้รูปร่าง ยิ่งไปกว่านั้น เป็นเขาที่แตะถึงขั้นปฐมเซียนแล้วถึงสามารถฝืนเผชิญหน้ากับเจ้าลัทธิมารเก้านิรยอย่างซึ่งหน้าได้

“นอกเสียจากนายเหนือหัวของเหล่าสำนักอย่าง ‘วังลอยฟ้า’ ราชวงศ์ต้าเฉียนของข้าจำเป็นต้องเห็นแก่หน้าใครด้วยหรือ?”

หนานเฟิงอ๋องไม่แสดงความอ่อนแอออกมา บนร่างยังทะลักพลังโชคชะตาที่ไร้รูปร่างออกมาด้วย กลางอากาศเห็นเพียงแสงลายมังกรวูบวาบหลายต่อหลายตัวออกมาล้อมรอบทั่วร่างเขา

เพียงชั่วครู่

แรงกดดันบนร่างของเขาลดลงไปหลายส่วน

“พลังชะตามังกรของราชวงศ์!”

เจ้าลัทธิมารเก้านิรยสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย จ้องมองไปที่หนานเฟิงอ๋อง บนใบหน้าปรากฏความหวาดกลัวขึ้น

พลังชะตามังกรไม่ใช่พลังของชะตาราชวงศ์ทั่วไป

นี่เป็นพลังที่ไร้รูปร่างซึ่งมีเพียงคนระดับสูงของราชวงศ์หรือสายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้นจึงจะควบคุมได้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เชื้อพระวงศ์ต้าเฉียนสามารถปกครองดินแดนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

เจ้าลัทธิมารเก้านิรยรู้ว่าหนานเฟิงอ๋องกำลังเตือนเขา ใครถึงจะเป็นผู้ควบคุมดินแดนทวีป

หนานเฟิงอ๋องผู้เป็นปฐมเซียน บวกกับมีพลังชะตามังกรหรือกระทั่งไหมเมฆาผีเสื้อเซียน ต่อให้เผชิญหน้ากับเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับก็ยังมีแรงโต้กลับ

ในขณะที่ผู้แข็งแกร่งทั้งสองตกอยู่ในช่วงเวลาตึงเครียด

“ท่านอ๋อง”

เด็กหนุ่มผมม่วงผู้หนึ่งสาวเท้าเข้าไปในตำหนักรอง

จ้าวเฟิง!

แววตาของหนานเฟิงอ๋องและเจ้าลัทธิมารเก้านิรยต่างจับจ้องไปบนร่างของเด็กหนุ่มผู้นี้

จ้าวเฟิงยืนอยู่ในตำหนัก รู้สึกถึงเพียงพลังต่างๆ ในที่นี้ถูกกลิ่นอายพลังเทวาเร้นลับข่มเอาไว้

ระดับขั้นพลังและชีวิตของเจ้าลัทธิมารเก้านิรยอยู่เหนือคนปกติ เพิ่มระดับขึ้นไปถึงขั้นที่เกินจะคาดหวัง นี่ทำให้เขาสูงส่งจนมองเห็นสิ่งมีชีวิตเป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น

“เจ้าก็คือจ้าวเฟิง? ถ้าหากไม่อยากให้ผู้อื่นเดือดร้อน ก็ตามข้าไปเสียดีๆ”

เจ้าลัทธิมารเก้านิรยเอ่ยเสียงเรียบ

เมื่อถูกเขาจับจ้อง จ้าวเฟิงก็รู้สึกเพียงแต่ว่ากายเนื้อและดวงวิญญาณหนักอึ้งหนาวเหน็บขึ้น

ในวินาทีนี้ ทุกอริยาบทของจ้าวเฟิงรวมไปถึงความคิดจิตใต้สำนึกก็เปลืองแรงและเชื่องช้ากว่าปกติมาก

ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ สามารถคาดเดาได้อย่างหนึ่งคือ ในทันที่ประมือกัน จ้าวเฟิงจะต้องโดนกดข่มทันที

“ได้ ข้าจะตามท่านไป”

แววตาของจ้าวเฟิงสงบราบเรียบ เหมือนว่ายอมประนีประนอมแล้ว

เจ้าลัทธิมารเก้านิรยชะงักไป จ้าวเฟิงคนนี้เป็นคนลงมือสังหารจักรพรรดิชั้นยอดจากวังเก้านิรยหลายคนติดกัน จะให้ยอมไปกับตนเองแต่โดยดีเช่นนี้หรือ?

สีหน้าของหนานเฟิงอ๋องเปลี่ยนไป “จ้าวเฟิง อย่าได้โดนเขาเขย่าขวัญ ข้าติดค้างหนี้บุญคุณเจ้า เราสองคนผนึกกำลัง ต่อให้เป็นเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับก็ยังมีแรงต่อสู้”

อันที่จริง

จ้าวเฟิงและหนานเฟิงอ๋องร่วมมือกัน บวกด้วยไหมเมฆาผีเสื้อเซียน ย่อมสามารถสู้กับเจ้าลัทธิมารเก้านิรย หรืออย่างน้อยก็มีแรงประมือกับเขาได้

ด้วยเพราะกำลังรบของคนทั้งสองอยู่เหนือจักรพรรดิชั้นยอด ถึงขนาดไปแตะระดับปฐมเซียน

เหตุการณ์เช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่เจ้าลัทธิมารเก้านิรยไม่อยากจะเห็นเช่นกัน

เขาไม่ได้กลัวการร่วมมือระหว่างจ้าวเฟิงและหนานเฟิงอ๋อง สิ่งที่เขาหวาดกลัวจริงๆ คือ เชื้อพระวงศ์ต้าเฉียน จะพูดให้ถูกหน่อยก็คือตำหนักไท่หวง

“ขอบคุณในเจตนาอันดีของท่านอ๋อง ท่านสามารถปกป้องข้าได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่อาจปกป้องข้าได้ตลอดไป ท่านอ๋องติดหนี้บุญคุณข้า อีกอย่าง ข้าหวังว่าท่านจะตอบแทนหลังจากที่ทะลวงไปถึงขอบเขตเทวาเร้นลับแล้ว”

จ้าวเฟิงยิ้มแย้มเล็กน้อย และปฏิเสธเจตนาดีของหนานเฟิงอ๋อง

เขาลอบถอนใจ คิดไม่ถึงว่าคนที่รอคอยให้มาหาจะเป็นเจ้าลัทธิมารเก้านิรยผู้ไร้เทียมทาน

“จ้าวเฟิง นี่เจ้าคิดจะ…”

ดวงตาของหนานเฟิงอ๋องหรี่ลง ยากจะเชื่อได้

แต่จากความเข้าใจของเขา จ้าวเฟิงจะไม่ทำเรื่องที่ไม่มีหวัง

สวบ!

เสี้ยวเงาสายฟ้าสั่นไหวเล็กน้อย จ้าวเฟิงโผบินขึ้นไปกลางอากาศบนจวนอ๋องโหว หัวเราะเสียงดังพลางเอ่ย “ขั้นจักรพรรดิช่างโดดเดี่ยวและน่าเบื่อนัก ศึกครั้งนี้ข้ารอคอยมานานแล้ว”

โครม ตูม!

ในวินาทีนั้นเอง ดวงตาคู่นั้นของจ้าวเฟิงมีพลังกระเทือนฟ้าดิน ในชั้นวิญญาณก็เกิดเสียงดังโครมครามตามมา

พลังของเขา สายเลือดของเขา เหมือนกำลังเผาไหม้ฮึกเหิมอยู่อย่างนั้น จิตต่อสู้ที่หลับใหลอย่างยาวนานก็ถูกจุดให้ลุกโชติอีกครั้ง

“พลังแข็งแกร่งนัก!”

“คิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเฟิงผู้นี้จะกล้าท้าสู้กับเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับอย่างซึ่งหน้าแบบนี้?”

ผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งในจวนอ๋องโหวหน้าถอดสีในฉับพลัน

ใจของหนานเฟิงอ๋องสั่นไหวอย่างรุนแรง มองไปที่เด็กหนุ่มผู้ฮึกห้าวเหิมหาญ ไร้ซึ่งความหวาดกลัว

ความกล้าเช่นนี้ ความมั่นใจแบบนี้ จิตวิญญาณขนาดนี้ ต่อให้เป็นเขาผู้เป็นปฐมเซียนก็ยังสู้ไม่ได้

“เด็กหนุ่ม เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่เคยประมือกับขอบเขตเทวาเร้นลับมาก่อน”

เจ้าลัทธิมารเก้านิรยไม่โกรธเกรี้ยวแต่กลับหัวเราะ

ขวับ!

เสี้ยวเงาสั่นระริก ลำแสงสีดำสายหนึ่งเข้าไปประชิดจ้าวเฟิงในฉับพลันด้วยความเร็วราวสายอัสนีฟาด

ตูม เปรี้ยง

ม่านอากาศในละแวกใกล้เคียงของเกาะ ก็เกิดเสียงดังกึกก้องสะเทือนไปทั่ว

เห็นได้เพียงเงามารสีดำทมิฬขนาดใหญ่กับเงายักษ์ที่ส่องแสงสีฟ้าทองสว่างปะทะเข้าหากันอย่างจัง

วูบ วูบ ตูม!

มนุษย์ยักษ์ส่องประกายเจิดจ้า ปรากฏปีกวายุอัสนีสีชาดใหญ่ยักษ์ขึ้นเบื้องหลัง แสงหมัดอัสนีศักดิ์สิทธิ์ทะลวงขึ้นฟ้า อาทิตย์สีแดงร้อนแรงแผดเผานภา

ในวินาทีที่ปะทะกัน เสียงระเบิดที่น่ากลัวกระจายจากรอบตัวจ้าวเฟิง

โครม!

เลือดลมของจ้าวเฟิงปั่นป่วน ลำแสงปีกอัสนีสีชาดด้านหลังอับแสงลงไปกว่าครึ่ง และเกือบจะแตกสลายไป

เพียงแค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น สายเลือดและปราณที่แท้จริงของเขาแทบถูกกระแทกจนแตกสลายถูกพลังมารอหังการที่ข่มทุกสรรพสิ่งกดดันเอาไว้

ยังดีที่พื้นฐานร่างกายและวิญญาณของเขาแข็งแกร่ง ครั้งนี้จึงไม่ได้บาดเจ็บมากมายนัก

“ผู้เยาว์ แบกรับการโจมตีที่มีพลังของข้าอยู่ถึงสี่ส่วน คิดไม่ถึงเลยว่าจะบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตัวข้าเองยอมรับว่าประมาทเจ้าเกินไป…”

เงามารสีดำสนิทของเจ้าลัทธิมารเก้านิรยชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะหอบลำแสงมารสูงส่งที่ทะลวงผ่านทุกสรรพสิ่งตรงไปโจมตีจ้าวเฟิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!