Skip to content

King of Gods 901

King Of Gods

บทที่ 901 ปะทะเซียน

ปึง แกรก!

เพียงชั่วขณะที่ปะทะกับเจ้าลัทธิมารนิรย จ้าวเฟิงสัมผัสได้ทันทีถึงขอบเขตพลังที่ตนไม่อาจต่อกรได้

เพียงแค่อีกฝ่ายโจมตีง่ายๆ พลังเทวาเร้นลับที่แข็งแกร่งไร้ขอบเขตก็กระแทกวิญญาณและกายเนื้อ ทำลายแก่นแท้พลังหมัด พลังสายเลือด และปราณแท้จริงวายุอัสนีของเขาจนย่อยยับ

จ้าวเฟิงรวบรวมจิตวิญญาณจนถึงขั้นสุดยอด พลังปราณที่แท้จริงของสายเลือดปราณแท้จริงโดนโจมตีจนแทบพังทลาย

แสงปีกสีชาดด้านหลังที่เขารวบรวมโดยใช้วายุอัสนีธาตุไฟที่แข็งแกร่งเกือบกระจายเป็นส่วนๆ จึงสูญเสียการทรงตัวและความคล่องตัวระดับสูงไป

ในขณะที่จ้าวเฟิงเลือดลมปั่นป่วน เขาอาศัยแรงที่ทำให้ตนระเบิดถอยหลังเข้าควบคุม ‘ปีกแสงอัสนีสีชาด’ ให้มั่นคงอีกครั้ง

ทางเลือกของเขาเป็นการเลือกที่ไม่ผิดเลย

ปีกแสงอัสนีสีชาดสามารถช่วยเพิ่มความคล่องตัวและความเร็วให้กับจ้าวเฟิงได้มาก ถึงขั้นช่วยเพิ่มระดับสำนึกรู้และแสนยานุภาพ โดยเฉพาะอย่างแรกที่เป็นส่วนสำคัญในปัจจัยการต่อสู้วู้ม ฟู่!

วายุอัสนีธาตุน้ำและวายุอัสนีธาตุไม้ในกายของจ้าวเฟิงเปลี่ยนแปลงในฉับพลัน

น้ำกำเนิดไม้ ไม้กำเนิดไฟ

วายุอัสนีธาตุไฟที่แปรเปลี่ยนในชั่วพริบตากควบแน่นจนถึงขีดสุด จนแสนยานุภาพของการปะทุนั้นมากกว่าครึ่งระดับของตน

ฟู่ ฟุ่บ!

ปีกแสงอัสนีสีชาดที่ส่องประกายแวววับกลางหลังของจ้าวเฟิงแผ่เพลิงอัสนีกระจายทั่วทั้งผืนฟ้า ก่อนจะเลือนหายวับไปด้วยความเร็วน่าตื่นตะลึง

ในชีวิตนี้ การปะทุพลังวายุอัสนีธาตุไฟของจ้าวเฟิงเหนือกว่าชีวิตก่อนไปแล้ว

ฟุ่บ ครืน…

ในชั่วขณะเดียวกันนั้นเอง ลำแสงมารที่ราวกับจะเข้าปกคลุมทั้งโลกของจ้าวลัทธิมารเก้านิรยก็ตามมาถึงตรงหน้า

ไม่ต้องใช้ลูกไม้ใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่พลังจากเทวาเร้นลับที่ปลดปล่อยออกมาก็สามารถโจมตีจ้าวเฟิงได้ทันที

หรือจะพูดได้ว่าจ้าวลัทธิมารไม่ต้องใช้เคล็ดวิชาใดมากมาย หรือไม่เขาก็อาจเข้าใจว่าความแตกต่างของระดับพลังคือจุดบอดของการฝึกตนของจ้าวเฟิงพอดี

“พายุคลั่งอัสนีสีชาด!”

ปีกแสงอัสนีสีชาดกลางหลังของจ้าวเฟิงสยายออกไปกว่าร้อยจั้ง โบกกระพืออย่างสุดกำลัง ก่อให้เกิดคลื่นพายุคลั่งอัสนีสีชาดลูกใหญ่

ทันใดนั้นเอง ใจกลางของพายุคลั่งอัสนีสีชาดก็เปล่งแสงอาทิตย์ร้อนแรงออกมากลุ่มหนึ่ง ราวกับอาทิตย์สีเลือดอันแสนเหี้ยมโหด

มันคือลำแสงศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเกิดจากการที่จ้าวเฟิงผสานเพลิงมารโลหิตกับวายุอัสนีธาตุไฟซึ่งมีคุณลักษณะสอดคล้องและระเบิดพลังได้สูงสุดเข้าด้วยกัน

วู้ม ครืนนน!

ทันใดนั้น ในใจกลางพายุคลั่งสีชาดซึ่งมีเสียงสายฟ้ากันปนาท ก็ถูกย้อมด้วยลำแสงเลือดสุริยันที่ปะทุขึ้นชั้นหนึ่ง พลังอำนาจเพิ่มขึ้นทบทวี

“ลูกไม้ตื้นๆ!”

ลำแสงมารที่จ้าวลัทธิมารเก้านิรยปล่อยออกมาแผ่กระจายไปเป็นพันลี้ราวคลื่นแสงที่มืดฟ้ามัวดิน ทำลายทุกสรรพสิ่งให้สิ้น

บึ้ม ครืน ครืน…..

คลื่นแสงอนาธการดุจลำแสงมารที่จะทำลายล้างโลก คืบคลานกลืนกินทุกสิ่ง

ในเสี้ยววินาทีนั้น จ้าวเฟิงรู้สึกเพียงว่าโลกทั้งโลกถูกความมืดมิดเข้ายึดครอง เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกว่าตนเล็กจ้อยอย่างคนธรรมดาที่อาจหาญเข้าต่อกรกับเทพเจ้า

พลังทั้งหมดของเขาสั่นเทาและหยุดชะงักชั่วขณะ พลังสิบส่วน เขาดึงออกมาใช้ได้ไม่ถึงห้าส่วนเสียด้วยซ้ำ

ปึ้ง แกรก แกรก!

ลำแสงอาทิตย์โลหิตและพายุคลั่งอัสนีสีชาดปลิวกระจายไปทั่วราวกับเศษกระดาษไร้ค่า ไม่อาจทานทนลำแสงมารที่บดขยี้ทุกอย่างได้

อั้ก! ร่างกายของจ้าวเฟิงสะท้าน ที่มุมปากมีหยาดโลหิตไหลเป็นทาง ปีกแสงอัสนีสีชาดหดเล็กลงเหลือเพียงแค่สิบหรือยี่สิบจั้ง โบกสะบัดเร็วรี่ เตรียมใจว่าจะบินถอยหนีสุดแรงไว้แล้ว

“นี่คือกำลังรบของระดับเซียนสินะ”

ถึงแม้ว่าจ้าวเฟิงจะเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่ก็ยังอดรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้อยู่ดี

การประมือกันในครั้งนี้ จ้าวเฟิงได้รับบาดเจ็บภายในเล็กน้อย เขายังเตรียมรับมือ สู้ไปพลางดูเชิงไปพลางขณะอาศัยแรงระเบิดถอยร่น

เพราะหากฝืนเข้าสู้ซึ่งๆ หน้า อย่างน้อยผลลัพธ์ก็คงเจ็บปางตายเป็นแน่

“จิ๊ๆ เข้าท่าดีนี่…แต่ยิ่งเจ้ามีพลังมาก เจ้าก็ยิ่งต้องทรมานนาน”

จ้าวลัทธิมารเก้านิรยยิ้มอย่างชั่วร้าย

เหล่าเซียนเทวาเร้นลับล้วนแต่ปิดด่านฝึกตนหลายปี ไม่สนใจโลกภายนอก

แต่ทว่าหากพวกเขาลงมือก็จะกดข่มกำราบทุกสิ่งอย่างรวดเร็วด้วยพลังที่ไร้คู่ต่อกร

นี่คือพลังสยบที่ที่อยู่จุดสูงสุดของราชวงศ์ต้าเฉียน

แต่ในครั้งนี้ จ้าวลัทธิมารเก้านิรยพบว่าคู่ต่อสู้ไม่ได้อ่อนแอเหมือนกับครั้งก่อนๆ ยังพอมีความ ‘พยายาม’ จะต่อสู้อยู่บ้าง

เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกสนุกที่จะสามารถลงมือ ‘เล่น’ ได้อย่างเต็มที่

“จ้าวเฟิง! รีบหนีไปเถอะ! เจ้าจะต่อกรกับเซียนเทวาเร้นลับได้อย่างไรกัน…”

หนานเฟิงอ๋องที่อยู่ในจวนอ๋องโหว ณ เกาะเขตแดนภายในคอยสังเกตดูการประมือต่อสู้ของทั้งสอง ในใจรู้สึกร้อนรนอยู่บ้าง

พลังที่แท้จริงของจ้าวเฟิงอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเขาไปมาก

กายเนื้อและวิญญาณของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งหาใดเปรียบ และนี่ก็คือข้อได้เปรียบของเขาในการปะทะกับเซียนเทวาเร้นลับโดยตรง

มิเช่นนั้นแล้ว หากเป็นแค่ขั้นจักรพรรดิธรรมดาหรือต่อให้เป็นถึงจักรพรรดิชั้นยอด การหาญกล้ากระทำเช่นนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตายเท่านั้น

“ขอบคุณท่านอ๋องที่แนะนำ”

จ้าวเฟิงนั้นรู้อยู่แก่ใจ ตนได้รับบาดเจ็บแม้จะประมือกันเพียงแค่ชั่วขณะก็ตาม

แต่ในความเป็นจริง การกระทำที่เหมือนจะ ‘สิ้นคิด’ ของเขาก็เป็นเพราะต้องการสัมผัสระดับพลังของขอบเขตเทวาเร้นลับด้วยตนเอง

อีกทั้งการได้ต่อสู้กับคนระดับนี้ยิ่งช่วยกระตุ้นพลังแฝงของเขา

“คิดจะหนีรึ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!”

รอบกายของจ้าวลัทธิมารเก้านิรยแผ่ลำแสงมารมืดมิดเข้าปกคลุมทั่วทั้งผืนฟ้า แทรกซึมผ่านทะเลความว่างเปล่าไปนับพันลี้ ทำให้ฟ้าดินฟากหนึ่งตกอยู่ในความมืดมิด

ในโลกแห่งความมืดมิดนั้น พลังทุกอย่างเหมือนจะไร้ซึ่งกำลัง

“แย่แล้ว!”

ความเร็วในการบินของจ้าวเฟิงช้าลง แม้ว่าเขาจะใช้พลังปีกวายุอัสนีที่สามารถทะลุผ่านมิติใดๆ จนสุดกำลังแล้วก็ตาม

ในใจของเขาเย็นยะเยือก รู้ได้ถึงความประมาทของตนเอง

เพราะหากเขาไม่ทะนงตน ไม่ว่าจะต่อสู้กับเซียนเทวาเร้นลับอย่างซึ่งหน้า หรือแม้แต่สู้กันในระยะประชิด เคล็ดวิชาของฝ่ายตรงข้ามก็ไม่อาจพันธนาการเขาเอาไว้ได้

ในขณะนั้นเอง

ภายในเขตแดนนับพันลี้ที่ถูกความมืดมิดเข้ากลืนกินก็พลันเกิดปรากฏการณ์มืดทะมึนขึ้นเลือนราง

จ้าวเฟิงรู้ได้ว่านี่คือเงาโลกมิติส่วนตัวที่ทอดลงมาของจ้าวลัทธิมารเก้านิรย

เนื่องจากถูกจำกัดด้วยกฎของโลกแห่งวัตถุ โดยปกติแล้วมิติส่วนตัวที่สร้างขึ้นจะไม่อาจแทรกซึมมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้ มิฉะนั้นแล้วก็จะถูกกฎเกณฑ์นั้นต้านไว้

ยิ่งมิติส่วนตัวแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ แรงต่อต้านก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

โดยเฉพาะวิธีการใช้โลกมิติส่วนตัวสร้างผลกระทบกับโลกภายนอกของจ้าวลัทธิมารเก้านิรย

ในโลกที่ถูกความมืดมิดเข้าปกคลุม ความเร็วของจ้าวเฟิงลดฮวบ ซ้ำยังรู้สึกได้ถึงพลังของ ‘กฏ’ นั้นอีกด้วย

โลกมิติส่วนตัวของจ้าวลัทธิมารเก้านิรยมีกฎเกณฑ์ของตัวมันเอง กล่าวคือ พลังของมันจะเพิ่มขึ้น และพลังของโลกภายนอกจะถูกจำกัดไว้

อย่างเช่น ‘ปีกอัสนีผ่านฟ้า’ ของจ้าวเฟิง เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์นี้จะไม่อาจใช้งานได้

จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงอานุภาพที่ลดลงของพลังวายุอัสนีหรือแม้แต่ปีกวายุอัสนี

แต่ยังดีที่เขามีกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่ง

แก่นแท้กายเนื้อคือพลังที่ดั้งเดิมที่สุด ดังนั้นจึงไม่ต้องยืมเสวียนอ้าวของโลกภายนอกและอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์

“กายศักดิ์สิทธิ์อัสนี”

กายสีทองของจ้าวเฟิงส่องประกายเจิดจ้า แล้วเพิ่มพลังขึ้นสูงอีกครั้ง ระเบิดปะทุลวดลายแก่นแท้พลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เพื่อรับมือกับวิกฤติที่ไม่เคยพบเจอ จ้าวเฟิงไม่ลังเลที่จะเผาผลาญปราณชีวิตแม้แต่น้อย และยกระดับพลังกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ให้สูงกว่าเดิมครึ่งระดับ จนอยู่ในขั้นที่ห้าระดับสุดยอดหรือเกือบจะถึงระดับหกเสียด้วยซ้ำ

ครืน! เปรี้ยง วู้ม….

ลวดลายแก่นแท้พลังที่ประทุออกอย่างรุนแรงรอบกายจ้าวเฟิงส่องแสงทองระยิบระยับ เข้าทะลวงเงาโลกมิติที่จ้าวลัทธิมารเก้านิรยสร้างขึ้น

การผลาญปราณชีวิตอย่างไม่นึกเสียดายของจ้าวเฟิง ทำให้เกิดพลานุภาพที่น่าครั่นคร้ามขึ้น

ระดับขั้นกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงในขณะนี้ เพียงแค่หมัดเดียวก็สามารถสังหารหรือกระทั่งทำให้จักรพรรดิชั้นยอดบาดเจ็บหนัก และสร้างบาดแผลสาหัสให้กับจักรพรรดิไร้เทียมทานได้ “เพลิงพิโรธแผดเผานภา!”

จ้าวเฟิงคำรามลั่น ภายใต้การเผาผลาญชีวิตและเลือดบริสุทธิ์ สายเลือดเพลิงมารโลหิตก็พัฒนาขึ้นไปอีกครึ่งขั้น

วู้ม ฟุ่บ!

ในชั่วพริบตาเดียว ร่างสูงใหญ่ที่ส่องประกายวิบวับของจ้าวเฟิงก็ประทุเปลวเพลิงอาทิตย์เลือดออกมาแผดเผาทั้งผืนฟ้าและปฐพี ค่อยๆ ขับไล่ความมืดมิดออกไปทีละน้อย

“เจ้าเด็กเมื่อวานซืน”

แม้กระทั่งจ้าวลัทธิมารเก้านิรยก็ยังหน้าเปลี่ยนสี

เปรี้ยง ครืน ครืน!

พลังจากเงาโลกมิติส่วนตัวของเขาถูกจ้าวเฟิงบุกโจมตีทำลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี

โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ที่จ้าวเฟิงอยู่ซึ่งถูกฉีกออกจนเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่

เห็นเพียงแค่จ้าวเฟิงกลายเป็นเส้นโค้งอาทิตย์โลหิตสายหนึ่ง สายฟ้าสีทองเปล่งแสงสว่างวิบวับ จากนั้นปีกวายุอัสนีก็แผ่สยายขึ้นอีกครั้ง แล้วจึงทำลายเงามืดของโลกมืดมิดด้วยความเร็วที่น่าตกใจ

“มีเพียงกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในระดับห้าหรือเกือบจะถึงระดับหกอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะสามารถต่อกรกับระดับเซียนได้พอสูสีบ้าง”

กำลังรบน่าครั่นคร้ามของจ้าวเฟิงในตอนนี้ คือพลังที่เกิดจากการผลาญแก่นสำคัญของชีวิต กระทั่งใช้แหล่งกำเนิดพลังแลกมา

แต่เขาก็ไม่คิดจะผลาญแก่นสารชีวิตให้มากจนเกินไป ถึงแม้มันจะทำให้มีโอกาสชนะจ้าวลัทธิมารเก้านิรยก็ตาม

เพราะนั่นหมายถึงจะทำให้เขาเสียการพัฒนาศักยภาพในภายหลัง

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!”

จ้าวลัทธิมารเก้านิรยหัวเราะเย้ยหยัน เพียงแค่เขาซัดฝ่ามือออกไปกลางอากาศ ก็พลันปรากฎเงาสลัวเลือนรางดั่งถ้ำลึกสายหนึ่ง มันพุ่งทะยานไปตรงหน้าจ้าวเฟิงราวกับไม่มีปราการของมิติใดมาขวางกั้น

จ้าวเฟิงเย็นยะเยียบทั้งกายใจ มีความรู้สึกราวกับว่าทั้งกายเนื้อและวิญญาณถูกเงานั้นทะลุผ่านพร้อมกัน

“ไม่ดีแล้ว นี่มัน ‘คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์นิรยภูมิ’ วิชาหลักที่หายสาบสูญไปของวังเก้านิรย”

หนานเฟิงอ๋องตามออกมาจนถึงทะเลแห่งความว่างเปล่านอกดินแดน เขารู้สึกได้ถึงพลังต้องห้ามจากฝ่ามือของจ้าวลัทธิมารเก้านิรย

ต่อให้เป็นจักรพรรดิระดับไร้เทียมทาน หากโดนฝ่ามือนั่นเข้า รับรองว่าต้องถูกสังหารในชั่วขณะนั้นเป็นแน่

ฟุ่บ ครืน!

แสงอาทิตย์โชติช่วงรอบกายของจ้าวเฟิงปะทุออก วูบไหวรุนแรง คงอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งเสี้ยวลมหายใจก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

พลานุภาพจากการโจมตีของจ้าวลัทธิมารเก้านิรยเพียงลดลงสองถึงสามส่วน

“อัสนีคุ้มกาย!”

จ้าวเฟิงผสานกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่เกือบจะถึงระดับหกเข้ากับพลังวายุอัสนี

วู้ม!

เกราะโบราณลายอัสนีราวของจริงปรากฏขึ้นป้องกันการโจมตีจากฝ่ามือต้องห้ามของ ‘คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์นิรยภูมิ’ เสียงสายฟ้าดังก้องไปทั่ว แสงจ้าสอดประสานกัน

ปึง ผัวะ….

ร่างของจ้าวเฟิงถูกโจมตีจนกระเด็น เกราะอัสนีที่ป้องกันกายส่องแสงทองระยิบระยับ เกิดรอยแตกร้าวขึ้น จนเกือบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ

อย่างไรเสีย กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงในตอนนี้ก็เกือบจะถึงขั้นหก และเกราะสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ก็มีพลังป้องกันถึงชั้นเซียน

“ปีกอัสนีผ่านฟ้า!”

จ้าวเฟิงอาศัยแรงบินล่าถอย สามารถทะลวงออกจากโลกมืดที่ถูกควบคุมด้วยกฎเกณฑ์มาได้ ปีกอัสนีด้านหลังของเขาเปล่งแสงประกายระยิบยับ ความเร็วไต่ไปถึงระดับสุดยอด แล้วพลันแปรเปลี่ยนเป็นสายอัสนีเส้นโค้งพุ่งทะลวงท้องฟ้า กะพริบแล้วหายวับไป!

ฟิ้ว ฟุ่บ!

เส้นโค้งของวายุอัสนีที่ยาวและแคบทะลุผ่านทะเลความว่างเปล่านอกดินแดน เพียงแค่ชั่วพริบตาหนีห่างไปนับหมื่นนับพันลี้

“อะไรกัน!”

ความเร็วในชั่วพริบตาที่เร้นกายข้ามขอบฟ้า ทำเอาจ้าวลัทธิมารเก้านิรยหน้าเปลี่ยนสี

“ปีกอัสนีผ่านฟ้า!

หลังจากที่จ้าวเฟิงหลบหนีข้ามฟ้าครั้งแรกได้สำเร็จ เขาก็รีบบีบเค้นพลังวายุอัสนีธาตุไฟไปถึงจุดสูงสุด และสามารถหายตัวข้ามผ่านฟ้าครั้งที่สองได้สำเร็จ

เพียงแค่ชั่วอึดใจ จ้าวลัทธิมารเก้านิรยก็ถูกจ้าวเฟิงสลัดออก หนีห่างไปสองสามหมื่นลี้

ในชีวิตนี้ อานุภาพเคล็ดวิชาลับปีกวายุอัสนีของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งกว่าชีวิตที่แล้วมากนัก จนถึงขั้นว่าเหนือกว่าจักรพรรดิวายุอัสนีเลยทีเดียว

“ผู้เยาว์ ข้าจะดูสิว่าวิชาเจ้าจะทนต่อไปได้สักกี่น้ำ”

รอบกายของจ้าวลัทธิมารเก้านิรยปรากฏแสงสีดำทมิฬหมุนวน รัศมีแสงของมันแผ่กระจายระยิบระยับ ก่อนจะกลายเป็นลำแสงสีดำสลัวสายหนึ่ง ก่อนใช้ความเร็วที่เทียบเคียงกับ ‘ปีกอัสนีผ่านฟ้า’ ของจ้าวเฟิงตามติดไปโจมตีราวกับเงาตามตัว

ทะเลแห่งความว่างเปล่าที่ไร้จุดสิ้นสุด

เส้นโค้งของสายลมและสายฟ้ากับลำแสงสีดำทมิฬไล่ตามหลังกัน ทุกครั้งที่พุ่งผ่านจะห่างไปไกลนับหมื่นลี้

“จ้าวเฟิง หวังว่าครั้งนี้เจ้าจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้”

ความเร็วในระดับนั้น ทำให้หนานเฟิงอ๋องได้แต่เพียงมอง ถึงแม้ใจนึกอยากจะเข้าร่วมกับการต่อสู้ครั้งนี้ หากแต่ความเร็วในระดับนี้ พลังของเขาไม่อาจตามได้ทัน

แต่ว่า ภายในใจของหนานเฟิงอ๋องเกิดข้อสงสัยขึ้น

ทำไมจ้าวเฟิงจึงไม่ร่วมมือกับตน เช่นนั้นแล้ว หากรวมพลังของสองผู้ก้าวเข้าสู่ระดับปฐมเซียน อีกทั้งรวมไหมเมฆาผีเสื้อเซียนด้วย โอกาสชนะก็จะมีมากขึ้น

ฟิ้ว ฟุ่บ!

ณ ทะเลหมอกแห่งความว่างเปล่า เส้นโค้งสายลมและสายฟ้าแปรเปลี่ยนกลายเป็นปีกขึ้นที่หลังของชายหนุ่ม

ฟู่~ เมื่อจ้าวเฟิงทิ้งระยะห่างจากจ้าวลัทธิมารเก้านิรยได้ระยะหนึ่งแล้ว จึงรีบดื่มน้ำผึ้งไป่หยวน และเคี้ยว ‘กลีบสีคราม’ ของบัวฟ้าวารีคราม

กลีบสีครามของบัวฟ้าวารีครามมีสรรพคุณในการรักษาเป็นเลิศ

น้ำผึ้งไป่หยวนใช้เพิ่มพลังปราณแท้จริงของจ้าวเฟิงและแก่นสำคัญของชีวิตที่สูญเสียไป

ยิ่งเมื่อรวมกับพลังฟื้นฟูสูงของร่างกายและสายเลือด บาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็ฟื้นฟูได้ราวเจ็ดแปดส่วนอย่างรวดเร็ว

จ้าวเฟิงมองไปยังจ้าวลัทธิมารเก้านิรยที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามาด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง ไร้ซึ่งความคิดจะถอยหนี “ด้วยระดับของข้าในตอนนี้ หากคิดจะต่อกรกับเซียนเทวาเร้นลับดูจะเป็นไปไม่ได้ เห็นทีมีแต่ข้าต้องเปลี่ยนวิธีอื่นแล้ว…..”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!