Skip to content

King of Gods 903

King Of Gods

บทที่ 903 ความตายของเซียน

ชั่วเสี้ยววินาทีที่ร่างแยกรากบัวหิมะหลอมกายาหายไป จ้าวเฟิงสัมผัสได้ในใจ

สวบ ฟู่! พลังลำแสงมารกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าโจมตีในชั่วเวลาต่อมา ทุกที่ที่มันเคลื่อนผ่านมืดมิดดุจดั่งหุบเหวนรก

เจ้าลัทธิมารเก้านิรยจ้องเขม็ง มั่นใจว่าที่นั่งอยู่บนพาหนะเพลิงวายุคือร่างจริงของจ้าวเฟิง เพลิงแสงมารดำมืดพลันปะทุทั่วร่าง

“ผู้เยาว์ ความตายมาเยือนเจ้าแล้ว ฝึกบำเพ็ญตนไปจะมีประโยชน์อะไร!”

เจ้าลัทธิมารเก้านิรยเงยหน้าแผดเสียงก้องฟ้า พลังเทวาเร้นลับสายมารภายในกายพลุ่งพล่าน

พลังสายมารมหาศาลดุจคลื่นยักษ์เข้าโหมซัดเข้าโจมตี พาหนะเพลิงวายุเหมือนเรือลำน้อยที่ลอยล่องอยู่กลางมหาสมุทรคลั่ง โคลงเคลงรุนแรงราวกับว่าจะแตกลงได้ทุกเมื่อ

แมวขโมยน้อยรีบมุดหายเข้าไปในมนตราอากาศโดยพลัน

“ดูเหมือนว่าจะไม่สำเร็จ!” จ้าวเฟิงลืมตาขึ้น มีประกายผิดหวังเล็กน้อย

กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ห่างจากขั้นห้าระดับสุดยอด จนแล้วจนรอดก็ยังขาดไปอีกนิด อาจเป็นเพราะกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์พัฒนาเร็วมากเกินไป ยังสะสมพลังไม่พอ

โอสถวิเศษต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มพูนสภาวะวิญญาณถูกกินไปติดๆ กัน สรรพคุณจะลดทอนลงไปอย่างมาก นอกเสียจากจะใช้โอสถวิเศษระดับสูงกว่านี้อีกหนึ่งขั้นอย่างเช่นวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวน

จ้าวเฟิงมีแผนที่จะดื่มวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนเอาไว้แล้ว แต่ในตอนนี้ถึงแม้จะดื่มลงไป อย่างไรเสียกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ก็มิอาจถึงขั้นหกได้ทันที

กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีทางถึงขั้นหกได้ เมื่ออยู่ภายใต้พันธนาการเงาโลกมิติส่วนตัวของขั้นเซียนก็ไม่มีทางจะชนะได้เลย

จ้าวเฟิงลุกขึ้นยืน นำพาหนะเพลิงวายุเก็บเข้าไปในมนตราอากาศ

“ยอมให้จับแต่โดยดีแล้วรึ?” แววตาของเจ้าลัทธิมารเก้านิรยส่อแววดูแคลน พลานุภาพถาโถมสาดซัด กำราบไปทั่วทิศ ดุจดั่งจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากขุมนรก

ใบหน้าของจ้าวเฟิงสงบนิ่ง เขากางปีกแสงอัสนีสีชาด ก่อนโคจรกายศักดิ์สิทธิ์อัสนีทอง

ในระหว่างที่ถอยมาตั้งหลัก หมัดแสงที่ล้อมรอบด้วยแสงอัสนีชาด แฝงไว้ด้วยแก่นแท้พลังมหาศาล

หมัดศักดิ์สิทธิ์อัสนี!

หมัดเพลิงยักษ์หลายต่อหลายสายซึ่งมีอัสนีทองสอดประสาน เปรียบดั่งภูเขาอัสนีทอง ส่องประกายอย่างอหังการ พุ่งเข้าโจมตีเจ้าลัทธิมารเก้านิรย

ในขณะเดียวกัน มนตราอากาศส่องแสงขาวประกายวูบวาบ

วู้ม วู้ม!

ผึ้งพิษสีสันพราวระยับนับร้อยบินออกมาจากมนตราอากาศ ทั้งหมดล้วนอยู่ในระดับราชาทั้งสิ้น และในนั้นมีสี่ตัวที่เป็นผึ้งจักรพรรดิซึ่งเปล่งแสงวิจิตร

“ผึ้งเบญจพิษมากขนาดนี้เชียวรึ?” เจ้าลัทธิมารเก้านิรยตื่นตระหนก รอบกายส่งลำแสงมารมืดทมิฬเนืองแน่นพุ่งสู่ท้องฟ้า กระจายออกไปนับพันลี้

เงาโลกมิติส่วนตัวปรากฏขึ้นอีกครั้ง!

ครืน ครืน!

หมัดศักดิ์สิทธิ์อัสนีโจมตีไปยังเพลิงดำลำแสงมารของเจ้าลัทธิมารเก้านิรย เพียงแค่ระลอกคลื่นเล็กๆ ก็ถล่มลงในชั่วพริบตา ดุจดั่งเศษกระดาษที่ปลิดปลิวลงกองเพลิง

ส่วนผึ้งเบญจพิษที่อยู่ภายใต้การพันธนาการจากกฎเกณฑ์โลกมิติส่วนตัวของเจ้าลัทธิมารเก้านิรย ความเร็วของมันลดลงทันใด ความว่องไวตกลงมากกว่าสองเท่าด้วยซ้ำ

เนื่องจากระดับพลังห่างกันมาก ผึ้งพิษราชาถูกบดขยี้จนตาย

“ระเบิด!” จ้าวเฟิงพึมพำ

บึ้ม บึ้ม บึ้ม!

อานุภาพการระเบิดจากผึ้งพิษนับร้อย ถึงแม้จะเป็นเซียนเทวาเร้นลับก็ไม่กล้าฝ่าทะลวงมาโดยง่าย

ชั่วขณะเดียวกัน ตาซ้ายของจ้าวเฟิงก็ปลดปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเกรงขามออกมา ในชั้นวิญญาณ ตราประทับอัสนีเทวะหนึ่งพันห้าร้อยเส้นสายสว่างวาบขึ้น ผืนน้ำสีน้ำเงินด้านล่างส่องประกายระยิบระยับ

พลังแสงศักดิ์สิทธิ์แปรเปลี่ยนเป็นสายอัสนีสีม่วงพุ่งเข้าใส่เจ้าลัทธิมารเก้านิรย

“ช่างโง่เขลานัก!” เจ้าลัทธิมารเก้านิรยหลุดหัวเราะเย้ยหยัน เสียรู้มาหลายครั้ง ครานี้เขาจะประมาทรึ

การโจมตีวิญญาณของจ้าวเฟิงใกล้เคียงกับระดับเซียน อีกทั้งยังแฝงด้วยพลังอัสนีเทวะ ดังนั้นต่อให้เป็นระดับเซียนก็ยากจะรับมือ

ครืน บึ้ม!

เงามิติส่วนตัวของเจ้าลัทธิมารเก้านิรยปรากฏหมอกดำขึ้นทันใด รอบกายของเขายิ่งถูกหมอกเหล่านั้นล้อมไว้อย่างหนาแน่น

ฟิ้ว ฉึก!

พลังของกฎเกณฑ์โลกมิติส่วนตัวไม่ค่อยส่งผลกับพลังวิญญาณ ในวินาทีที่สายอัสนีปลายแหลมสีม่วงสัมผัสกับหมอกดำ พลังอัสนีเทวะก็เพิ่มขึ้นทันที พลังอัสนีเทวะหนึ่งพันห้าร้อยสายพุ่งออกจากด้านใน มันไม่ดับสลาย เพียงวิ่งผ่านสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะมอดไหม้เป็นจุณ

บึ้ม!

กลุ่มเงาดำของโลกมิติส่วนตัวที่เจ้าลัทธิมารเก้านิรยสร้างขึ้นถูกทะลวงผ่านอย่างง่ายดายราวกับดีดลูกหินผ่านกระดาษ

“เป็นไปได้อย่างไร?” เจ้าลัทธิมารเก้านิรยคิดมาตลอดว่าภายใต้การป้องกันจากเงาโลกมิติส่วนตัวจะปลอดภัยอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงยังโบยบินตรงไป หากแต่หลังจากเหตุการณ์นี้แล้วก็ทำได้เพียงแต่อ้าปากค้าง

บึ้ม บึ้ม บึ้ม บึ้ม!

ยังไม่ทันได้ตั้งตัว!

หมอกดำถูกพุ่งผ่าน ถึงแม้รอบกายของเจ้าลัทธิมารเก้านิรยจะมีหมอกดำ แต่เวลาป้องกันก็เป็นชั่วระยะเวลาที่สั้นเกินไป

ฟุ่บ! สายอัสนีสีม่วงพุ่งทะลวงวิญญาณของเจ้าลัทธิมารเก้านิรย

“อ๊าก!” เจ้าลัทธิมารกรีดร้องโหยหวน แสงดำเพลิงมารรอบกายพลังอ่อนลงทันที โลกมิติส่วนตัวเริ่มบิดเบี้ยว

ในเวลานี้ เจ้าลัทธิมารเก้านิรยจึงนึกได้ถึงข่าวคราวเกี่ยวกับจ้าวเฟิงที่ตนได้รับ จ้าวเฟิงที่เป็นหนึ่งใน ‘มารคู่ผมม่วง’ มีสายเลือดดวงตาลึกลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเชี่ยวชาญการโจมตีวิญญาณ

แต่เดิมเขาละเลยในจุดนี้ ลองคิดดู นี่เป็นเพียงแค่ขอบเขตปราณเทวะช่วงกลางเท่านั้น ต่อให้เป็นอัจฉริยะศาสตร์วิญญาณ การโจมตีวิญญาณกลับส่งผลกระทบต่อเซียนได้ นับว่าเหนือคาดที่สุดแล้ว

ไม่คิดเลยว่าเจ้าเด็กนี่จะแอบซ่อนพลังไว้แต่แรก แล้วค่อยมาระเบิดพลังเอาตอนนี้

อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของจ้าวเฟิงเคร่งขรึม ประกายดวงตาซ้ายหม่นลงเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้ การโจมตีวิญญาณของเขาในทุกครั้งจะใช้พลังอัสนีเทวะเพียงแค่ร้อยเส้นสายเท่านั้น ในช่วงระหว่างการโบยบินยังค่อยๆ ฟื้นฟูพลังกลับมาได้

อีกทั้งเจ้าลัทธิมารเก้านิรยเองก็เคยชินกับการโจมตีวิญญาณที่แข็งแกร่งแล้ว กระทั่งคิดไปว่านั่นคือขอบเขตพลังสูงสุดของการโจมตีวิญญาณจากจ้าวเฟิง

ดังนั้น การโจมตีวิญญาณด้วยวิชาลับโดยการระเบิดพลังอัสนีเทวะหนึ่งพันห้าร้อยสาย จึงทำให้เกิดผลเกินคาดคิด นอกจากจะสามารถทำลายการป้องกันวิญญาณของเซียนเทวาเร้นลับได้แล้ว ยังทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บส่วนหนึ่งได้อีกด้วย

แต่ทว่า พลังอัสนีเทวะเหนือทะเลวิญญาณสีม่วงก็ใช้จนหมดสิ้นแล้วเช่นกัน

ในขณะที่เจ้าลัทธิมารนิรยถูกโจมตีวิญญาณ ที่ด้านหลังของเขาก็มีแสงทึบสายหนึ่งสว่างวาบผ่านไป

“คมแสงเงาทมิฬ!”

เรือนร่างที่เป็นคลื่นเงาดำปรากฏขึ้นด้านหลังเจ้าลัทธิมารเก้านิรย กระบี่เงาทมิฬที่เป็นระลอกคลื่นในมือส่องประกายสีดำประหลาด ก่อนแทงเข้าสู่ร่างกายของเจ้าลัทธิมาร

“บัดซบ!” โดนโจมตีวิญญาณระหว่างประมาท มาในตอนนี้ยังโดนลอบโจมตีกายเนื้อ

เจ้าลัทธิมารเก้านิรยโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า อาณาเขตนับพันลี้ที่โลกมิติส่วนตัวแทรกซึมผ่านส่งเสียงโครมครามเลื่อนลั่น โลกที่มืดสนิทราวกับจะพังทลายลง

ลำแสงมารที่เร็วดั่งสายฟ้าพุ่งมาจากด้านหลังเทพราตรีทมิฬที่จู่โจมเขา

ฟู่!

เงาร่างแตกสลาย แสงหม่นส่องประกายวาบ เทพราตรีทมิฬปรากฏขึ้น ณ ที่ไกลโพ้นพันลี้

ถึงแม้ว่าพิษวารีทมิฬจะไม่ส่งผลกับขั้นเซียน แต่ ‘คมแสงเงาทมิฬ’ เป็นเคล็ดวิชาสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ภายใต้สถานการณ์เป็นตาย ต่อให้เป็นเซียนก็ทรมานไม่น้อย

แสงเงาหม่นส่องประกายวูบวาบ เทพราตรีทมิฬหลอมรวมเข้ากับมิติ เลือนหายลับไป

“เทพราตรีทมิฬ? ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถึงแม้เจ้าจะถูกไหว้วานให้มาสังหารข้า แต่เจ้าก็ต้องตายเช่นกัน!” ใบหน้าของเจ้าลัทธิมารเก้านิรยตึงเครียด

ถึงแม้การโจมตีจากเทพราตรีทมิฬจะสามารถทำร้ายเขาได้พอควร แต่ก็เป็นเพียงภายนอกเท่านั้น สามารถฟื้นฟูได้ง่าย หากแต่การโจมตีเมื่อครู่ของจ้าวเฟิงต่างหากที่สามารถทำลายวิญญาณของเขาได้อย่างแท้จริง ทำให้วิญญาณของเขาในตอนนี้รู้สึกเจ็บปวดชาวาบเป็นระยะ

“เกราะเทพมาร!”

เกราะแสงสีดำสนิทที่มีลวดลายแน่นขนัดปรากฏขึ้นรอบกายเจ้าลัทธิมารเก้านิรย จากนั้นเขาก็มองเขม็งไปที่จ้าวเฟิง

“ผู้เยาว์ ต่อหน้าพลังที่สมบูรณ์แบบ ถึงแม้เจ้าใช้เล่ห์กลอะไรก็ไร้ประโยชน์!” เจ้าลัทธิมารเก้านิรยแสร้งว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรแม้แต่น้อย พลันแปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มแสงมารพุ่งเข้าใส่พร้อมพลังมิติส่วนตัว

“เจ้าลัทธิมารเก้านิรย ในเมื่อท่านอยากตายมากนัก ข้าก็ทำให้สมหวัง!” แววตาของจ้าวเฟิงฉายประกายเด็ดขาด ผมม่วงพลิ้วไหวแม้ไร้ซึ่งลม พลังไร้รูปร่างแผ่กระจายทั่ว

“กล้าคุยโวไร้ยางอาย ตายซะ!” เจ้าลัทธิมารเก้านิรยแค่นเสียงเกรี้ยวกราด พลังของเงาโลกมิติส่วนตัวแผ่ขยายไปยังอาณาเขตที่จ้าวเฟิงอยู่ พลังกฎเกณฑ์อันไร้รูปกดดันไปยังเป้าหมาย

เทพราตรีทมิฬที่แอบซ่อนอยู่ในเงามืดก็ไม่กล้าลงมือในตอนนี้

เพราะเขาเชี่ยวชาญการลอบโจมตีและการโจมตีที่ลงมือให้ตายในครั้งเดียว แต่เจ้าลัทธิมารเก้านิรยก็ระวังเขาเอาไว้แล้ว หากเข้าไปใกล้จนอีกฝ่ายรู้ตัวแล้วหันมาลงมือกับเขาละก็ ต่อให้ใช้ร่างแยกเงาปีกทมิฬก็ยากจะหลบหนีได้

ขณะที่เทพราตรีทมิฬรู้สึกลังเล ในห้วงลึกของวิญญาณก็ได้ยินเสียงของจ้าวเฟิงดังขึ้น “หลบไปก่อน!”

เมื่อได้ยินที่จ้าวเฟิงสั่ง เทพราตรีทมิฬถอนหายใจอย่างโล่งอกขึ้นทันใด ดูเหมือนว่านายท่านจะวางแผนใช้มนตราอากาศหลบหนีแล้ว

อาศัยพลังในระดับปฐมเซียนของเขาทั้งสองก็ยังไม่พอจะต่อสู้กับขั้นเซียน นายท่านสามารถปะทะกับเซียนได้ยาวนานเช่นนี้ก็นับว่าสุดยอดมากแล้ว

ในตอนที่กำลังจะจากไป ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่ารอบกายผู้เป็นนายกำลังปะทุพลังปราณที่แท้จริงวายุอัสนีธาตุไฟออกมาราวกับน้ำพุ แววตาเย็นยะเยียบของจ้าวเฟิงปรากฏร่องรอยบ้าคลั่ง

ด้านหน้ามนตราอากาศมีหมอกขาวปรากฏ!

มือซ้ายของจ้าวเฟิงถือธนูเหนือนภาเอาไว้ ส่วนมือขวาถือศรสีทองแดงด้วยความยากลำบาก

ในชั่วเสี้ยววินาทีที่ศรสีทองแดงปรากฏขึ้น ประกายแสงสีทองระยับที่ทะลวงผ่านทุกสิ่งพุ่งเข้าทำลายเงาโลกมิติส่วนตัวของเจ้าลัทธิมารเก้านิรย และพุ่งขึ้นไปถึงเก้าชั้นฟ้า

วิญญาณเจ้าลัทธิมารพลันรู้สึกถึงความเจ็บปวด ความเร็วลดลง ถลึงตาพลางกล่าวขึ้น “ศรสังหารเทพ? อาวุธเทพชั้นรองในตำนานรึ!”

ดวงตาทั้งสองของจ้าวเฟิงจับจ้องไปที่เจ้าลัทธิมารเก้านิรย เย็นเยียบดุจเหวไร้ก้นบึ้ง มือซ้ายยกคันธนูขึ้นอย่างฉับไว พลังมหาศาลที่ไร้ลักษณ์แผ่กระจายออกมา

“นี่มันอาวุธเทพชั้นรองในตำนาน อาวุธเทพชั้นรองที่ผลาญพลังจนสิ้นในครั้งเดียว! เจ้าบ้าไปแล้ว!” เจ้าลัทธิมารเก้านิรยกล่าวตะกุกตะกักด้วยความตระหนก โดยพยายามแสร้งทำเป็นเอ่ยเตือน

“อย่าเลย จ้าวเฟิง เจ้าเก็บศรสังหารเทพเสียเถอะ ข้าให้สัญญากับเจ้าว่าหลังจากนี้วังเก้านิรยจะไม่มาตอแยเจ้าอีกต่อไป!”

เมื่อเห็นจ้าวเฟิงง้างคันศร เจ้าลัทธิมารเก้านิรยราวกับตกอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง สั่นสะท้านไปทั้งตัว

จ้าวเฟิงไร้ปฏิกิริยาตอบกลับ ยังคงยกคันศร

ในเสี้ยวขณะที่ปราณที่แท้จริงจากในกายไหลผ่าน ศรสังหารเทพก็ราวกับถูกปลุกให้ตื่นขึ้น พริบตาเดียวก็ปลดปล่อยลำแสงสีทองระยิบระยับแผ่รัศมีไปทั่วผืนฟ้า ปกคลุมรัศมีวิหคทองไปจนสิ้น รัศมีเจิดจ้าทอแสงไปนับหมื่นลี้

พลังมหาศาลที่เทพและวิญญาณต่างต้องร่ำไห้เกรงกลัวมาเยือนฟ้าดิน ก่อนถูกรวบรวมไว้ในศรสีทองแดงดอกนี้

เงามิติส่วนตัวของเจ้าลัทธิมารเก้านิรยถูกแทงทะลุจนเป็นรูนับพันนับหมื่นในพริบตา ก่อนจะแตกสลายไม่เป็นชิ้นดีในที่สุด

หนี!

นี่คือสิ่งที่วิ่งเข้ามาในหัวของเจ้าลัทธิมารเก้านิรย ต้องหนีโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ผลาญพลังเซียนเทวาเร้นลับ ผลาญพลังดั้งเดิม บางทีอาจเหลือทางรอดได้บาง

ในตอนนี้เขารู้สึกเสียใจเหลือเกินว่าทำไมจึงไม่คิดฝึกวิชาลับที่โบยบินหลบหนี

ฟุ่บ ฟุ่บ!

ศรสังหารเทพดูดซับปราณที่แท้จริงของจ้าวเฟิงด้วยความบ้าคลั่ง ความเร็วช่างน่าตกใจ ถึงแม้ว่าจำนวนและคุณภาพพลังปราณแท้จริงของจ้าวเฟิงจะเหนือกว่าจักรพรรดิชั้นยอดทั่วไป แต่พลังก็ยังรั่วไหลออกอย่างรวดเร็ว

ทุกๆ ชั่วขณะที่ธนูถูกง้างออก การดูดกลืนกินพลังของจ้าวเฟิงจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่า

วายุอัสนีธาตุไฟถูกผลาญหมดในชั่วพริบตา ตามมาด้วยวายุอัสนีธาตุน้ำและไม้ตามลำดับ

ปราณแท้จริงมากมายดั่งมหาสมุทรก็หายวับไปเพียงแค่ชั่วพริบตา

ต่อมาคือแก่นแท้พลังกาย สายเลือดเพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบ สายเลือดวารีเหมันต์ ร่างของกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์….

จากนั้นมันก็ดูดกลืนกินพลังวิญญาณและทะเลวิญญาณสีม่วง สุดท้ายคือพลังดวงตาอันเป็นจุดศูนย์กลาง!

ฟุ่บ ฟุ่บ!

ศรสังหารเทพใต้คันศรที่ถูกง้างออกจนเต็มที่ ปรากฏเป็นลูกศรแสงยาวนับร้อยลี้ พร้อมเปล่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ที่ทะลวงผ่านทุกสรรพสิ่ง

ในขณะนี้ เจ้าลัทธิมารเก้านิรยที่หนีไปไกลห้าหมื่นลี้ ในพลันใจสั่นระรัว เสียงศักดิ์สิทธิ์นั้นทำเอาในวิญญาณของเขาส่งเสียงดังลั่น ราวกับตรึงเขาเอาไว้โดยสมบูรณ์ ไม่ว่าจะหนีไปทางไหน ลูกธนูก็พุ่งเข้าใส่ได้….

“ไม่ เป็นไปไม่ได้ ข้าหนีมาจนไกลขนาดนี้แล้วแท้ๆ!”

…….

เมื่อลูกธนูพุ่งออกไป จ้าวเฟิงที่ร่างผอมแห้ง ดวงตาไร้ซึ่งประกาย ก็ค่อยๆ ร่วงหล่นลงไป

ฟุ่บ! รัศมีประกายทองไร้ที่สิ้นสุดพาดผ่านท้องฟ้า เข้าทำลายทุกสรรพสิ่ง ก่อนหายวับไปในทันที

ณ ขอบฟ้าไกลโพ้น แสงสีทองที่บดบังดวงอาทิตย์และพายุคลั่งสอดประสานเข้าหากัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!