บทที่ 913 แยกส่วน
หอประชุม
ปี้ชิงเยวี่ย จักรพรรดิคูอิ่ง เฒ่าประหลาดสวี ทั้งสามคนทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจสังเกตจ้าวเฟิง
“ข้าจะไปจากหอควันสมุทรสักระยะหนึ่ง!” จ้าวเฟิงกระแอมเสียงแห้ง ทุกครั้งที่เนตรเทพเจ้าแปรสภาพ ทั้งเส้นผมและดวงตาจะเกิดการเปลี่ยนแปลง นี่เป็นสิ่งที่เขาเองก็ควบคุมไม่ได้
“นายท่านจะไปยังแผ่นดินใหญ่รึ?”
ผู้แข็งแกร่งทั้งสามที่ถูกตีตราผนึกดวงใจทมิฬ ร้องถามออกมาพร้อมกัน พวกเขาพอจะเดาอะไรได้เลาๆ อาจารย์ของนายท่านดั้นด้นมาไกลถึงเพียงนี้ รอจนจ้าวเฟิงออกจากปิดด่าน จะต้องมีเรื่องอย่างแน่นอน
“ใช่แล้ว!” ใบหน้าของจ้าวเฟิงเรียบนิ่ง แล้วพูดต่อ
“ในยามนี้หอควันสมุทรมีเฒ่าประหลาดสวีคอยดูแล อีกไม่นานนัก เทพราตรีทมิฬก็จะบรรลุขั้นเซียนเช่นเดียวกัน หอควันสมุทรอยู่ที่ริมทะเลแถบนี้ไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใดอีกต่อไปแล้ว!”
ในความจริงแล้ว เบื้องหลังหอควันสมุทรยังมีหนานเฟิงอ๋องคอยปกป้องอยู่
ตวนมู่ชิงแห่งแปดตระกูลใหญ่ก็สามารถนำมาซึ่งอำนาจสยบได้เช่นเดียวกัน และเป้าหมายของวังเก้านิรย ที่สำคัญก็คือจ้าวเฟิง จะไม่ลงมือกับหอควันสมุทร
“นายท่านโปรดไปอย่างวางใจเถิด พวกเราจะดูแลหอควันสมุทรให้เป็นอย่างดี!”
ปี้ชิงเยวี่ยมั่นใจเต็มเปี่ยม
จ้าวเฟิงเห็นเฒ่าประหลาดสวีมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่พูด จึงเอ่ยออกมาตรงๆ ว่า “เฒ่าประหลาดสวี หากสัญญาครบร้อยปีแล้วละก็ ข้าจะถอนการควบคุมและผลกระทบต่างๆ ให้เจ้า ถึงยามนั้นจะอยู่จะไป เจ้าตัดสินใจเอง!”
“ขอบคุณนายท่าน!”
ใจของเฒ่าประหลาดสวีสับสนว้าวุ่น วิญญาณของเขาหวังอยากจะได้อิสระ หลีกหนีไปจากการควบคุมของจ้าวเฟิง แต่ด้วยเหตุผลของเขาในยามนี้ เขารู้สึกว่าติดตามจ้าวเฟิงดีกว่าอยู่ที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
ท่ามกลางทะเลเมฆ ตวนมู่ชิงรอคอยมาเป็นเวลานานแล้ว
“ช้าก่อน ท่านอาจารย์” จ้าวเฟิงลอยมา
ถึงแม้ในด้านความเร็ว เขาจะไม่เป็นรองเซียนที่ไม่ถนัดเรื่องความเร็ว ทว่านั่นก็เป็นเพราะเขาใช้ปีกอัสนีผ่านฟ้าอยู่ตลอด
แต่หากเป็นเรื่องความเร็วการบินทั่วไป จ้าวเฟิงสู้ขั้นเซียนไม่ได้เลย ความสามารถในการยืนหยัดยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากนั้น การไปตระกูลตวนมู่ที่แผ่นดินใหญ่ ระยะทางนั้นไกลมากเกินไป ต่อให้การเดินทางส่วนใหญ่จะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย อย่างน้อยๆ ก็ยังต้องใช้เวลาเป็นครึ่งปี
การใช้วิชาปีกอัสนีโบยบินตลอดเวลาเผาผลาญพลังสูงเกินไป และหากยิ่งรวมกับปีกอัสนีผ่านฟ้า น่ากลัวว่าเวลาพักจะนานกว่าเวลาบิน
“ท่านอาจารย์ ใช้สิ่งนี้เถอะ!”
มือซ้ายของจ้าวเฟิงยกขึ้นโบก พาหนะบินรูปร่างแปลกตาคันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า
ดวงตาของตวนมู่ชิงฉายแววประหลาดใจ ดูออกได้ไม่ยาก พาหนะบินคันนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์
ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังนึกได้ว่าระดับพลังของจ้าวเฟิงเพิ่งอยู่ราชันช่วงปลาย ความเร็วย่อมไม่สามารถตามเซียนเทวาเร้นลับได้ทัน แต่ว่าของวิเศษพวกพาหนะบินหาได้ยากมาก ไม่ต้องพูดถึงของวิเศษที่มีความเร็วถึงระดับเซียนเลย
ตวนมู่ชิงและจ้าวเฟิงขึ้นมาบนพาหนะเพลิงวายุ
วูบ! พาหนะเพลิงวายุบินทะลุท้องฟ้า ทำให้เกิดเป็นรัศมีพร่างพรายสายหนึ่ง ราวกับขับเคลื่อนไปบนสายรุ้ง
“สุดยอดของวิเศษ ความเร็วเทียบเคียงขั้นจักรพรรดิ!”
ตวนมู่ชิงชมเปาะ
ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังดินแดนทวีป ออกเดินทาง!
สถานที่แรกคือมณฑลไห่หลี มณฑลที่ใกล้กับริมฝั่งทะเลมากที่สุด
ราชวงศ์ต้าเฉียนมีทั้งหมดสิบแปดมณฑล แบ่งตามแปดตระกูลใหญ่หรือไม่ก็ตามบรรดาศักดิ์เชื้อพระวงศ์ ทุกมณฑลยังแบ่งออกเป็นอีกหลายเมือง ทว่าแต่ละเมืองบนแผ่นดินใหญ่ล้วนมีขนาดเป็นหนึ่งในสามของดินแดนจิตวิญาณที่ชางไห่ พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล
เหมียว! แมวขโมยน้อยโดนจ้าวเฟิงเรียกออกมาอย่างไม่เต็มใจ
มันรู้อยู่แล้วว่าจ้าวเฟิงเรียกมาเพื่อใช้งานขับพาหนะบิน
ส่วนจ้าวเฟิงเอง เมื่อเห็นแมวขโมยตัวน้อยก็พลันนึกขึ้นได้ว่านี่คือแมวขโมยซึ่งมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน
ณ เมืองความลับสวรรค์ ข้อมูลของแมวขโมยตัวน้อยยังเป็นความลับขั้นสุดยอด ไม่มีอำนาจจะไปรับรู้ได้
จ้าวเฟิงตั้งใจสัมผัสลูกทรงกลมสีทองในมิติดวงตาซ้าย ใช้พลังใหม่ที่ได้มาหลังจากการแปรสภาพ
วู้ม! คลื่นสีทองอ่อนกระจายออกมาจากตาซ้ายของจ้าวเฟิง ก่อนรวมเข้ากับอากาศ
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยน้อยล่องหนในทันที ร่างกายหายวับไป จากนั้นจึงไปปรากฏตัวร้องโวยวายอยู่บนหัวจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงจนคำพูด เจ้าแมวขโมยน้อยตัวนี้ไม่ให้จ้าวเฟิงใช้ดวงตาสีเหลืองมองมัน
‘ดูเหมือนว่าแมวขโมยน้อยจะเกรงกลัวพลังตาซ้ายของข้ามาก!’
ในใจของจ้าวเฟิงทั้งประหลาดใจและยินดี ในที่สุดเขาก็ค้นพบสิ่งที่จะควบคุมเจ้าแมวขโมยนี่ได้แล้ว
นี่ยิ่งทำให้จ้าวเฟิงให้ความสำคัญกับความสามารถใหม่มากขึ้น จะต้องศึกษาให้ละเอียด
เมี้ยว เมี้ยว!
แมวขโมยน้อยหันหลังที่ดูน้อยอกน้อยใจให้จ้าวเฟิง ก่อนจะกลับมาบังคับพาหนะเพลิงวายุแต่โดยดี
ตวนมู่ชิงจะหัวเราะก็ไม่หัวเราะ มองดูการสื่อสารที่น่าประหลาดของจ้าวเฟิงและแมวขโมยน้อย
“ต้องทดลองใช้ความสามารถของตาซ้าย!”
จ้าวเฟิงเข้าไปในมนตราอากาศ สายตาเพ่งไปยังพืชต้นหนึ่ง จิตใจสัมผัสไปยังลูกกลมสีทองในมิติตาซ้าย
วิ้ง! เกลียวคลื่นลึกลับสีทองอ่อนแผ่กระจายออกมาจากตาซ้าย
ในครรลองสายตา พืชต้นนี้เปลี่ยนไปเป็นจุดแสงสีทองยิบย่อยจำนวนนับไม่ถ้วนทันที
ขยายใหญ่ ขยายใหญ่!
จ้าวเฟิงมองเห็นโครงสร้างของจุดเล็กจุดหนึ่งในนั้นได้อย่างชัดเจน จุดเล็กละเอียดนั้นคล้ายกับสถาปัตยกรรมยิ่งใหญ่ที่ซับซ้อนและน่าอัศจรรย์
โลกมิติส่วนตัวของมนตราอากาศมีกฎของมันเอง สรรพสิ่งที่อยู่ในนั้นทั้งหมดล้วนแต่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
แต่ภายใต้การมองเห็นที่แจ่มแจ้งของดวงตาซ้ายจ้าวเฟิง
เขาค้นพบว่าโครงสร้างจุดของพืชต้นนี้ค่อนข้างหละหลวม จำนวนของจุดก็ค่อนข้างน้อย และที่สำคัญที่สุดก็คือ การใช้งานจุดเล็กพวกนี้วุ่นวายเป็นอย่างมาก
‘จริงด้วย ต่อให้เป็นเซียนเทวาเร้นลับหรือแม้กระทั่งครึ่งเทพก็ไม่อาจจำลองวัตถุของจริงได้ทั้งหมด!’ จ้าวเฟิงกระจ่างในทันที
ความแตกต่างของวัตถุในมิติส่วนตัวกับวัตถุในความเป็นจริง ก็เหมือนดั่งดอกไม้สดกับดอกไม้ปลอม ภูเขาจริงกับภูเขาปลอม
“หากข้าสร้างโลกมิติส่วนตัวภายใต้การใช้ดวงตาสีทองเข้าช่วย อาจจะสามารถสร้างมิติส่วนตัวที่เหมือนจริง หรือกระทั่งสร้างมิติของจริงได้!”
จิตใจของจ้าวเฟิงพองโต เลือดเดือดพลุ่งพล่าน ตาซ้ายก็เต้นตุบๆ ร้อนวาบขึ้นมาด้วยเช่นกัน แม้แต่จ้าวเฟิงยังรู้สึกว่าความคิดนี้ค่อนข้างหลุดโลก ไม่มีวันเป็นจริงได้
สร้างโลก สร้างมิติของจริงขึ้นมา นั่นมันเป็นความสามารถของเทพชัดๆ ในตอนนี้แม้กระทั่งต้นแบบของโลกมิติส่วนตัว เขาก็ยังไม่ได้ร่างเอาไว้เลย
จ้าวเฟิงโยนความคิดที่ไม่เป็นจริงเมื่อครู่ทิ้งไป แล้วกลับเข้าสู่โลกของจุดเล็กๆ อีกครั้ง
‘เหมือนว่าจะใช้หลักการคล้ายๆ กับแสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้าง!’
จ้าวเฟิงพลันนึกถึงทวีปบุปผาคราม และวิชาดวงตาที่คิดขึ้นมาเฉพาะโดยตระกูลชินหยาง แสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้าง
หลักการของแสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้างคือการแยกส่วนประกอบ วิเคราะห์การโจมตีทุกชนิดรวมถึงวิชาดวงตา และจัดการลดอานุภาพของมันลง
แสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้างที่จ้าวเฟิงแอบขโมยเรียน ผสมผสานกับการรับรู้ของเขาต่อเสวียนอ้าวแห่งสายลม หลักการสำคัญอยู่ที่การแยกและการตัด
‘ดูอย่างนี้แล้ว แสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้างคือการแยกโครงสร้างของวัตถุออกเป็นจุดใหญ่ เพื่อลดอานุภาพการโจมตี’
จ้าวเฟิงที่ครอบครองดวงตาซ้ายสีทองวิเคราะห์ได้ในทันใด
เสวียนอ้าวการโจมตีที่สมบูรณ์แบบ แค่โครงสร้างปราณที่แท้จริงเสียหายเพียงส่วนหนึ่ง ก็สามารถทำให้พลังลดลงได้อย่างมาก
‘หากผสานความสามารถใหม่ของดวงตาซ้ายข้าเข้ากับแสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้าง ไม่รู้ว่าจะสามารถทำให้การโจมตีจากปราณแท้จริงเล็กลง หรือทำให้เป็นจุดเล็กๆ เลยได้หรือไม่?’
ทำพลังโจมตีทั้งหมดแยกออกเป็นจุดเล็กๆ ทำลายแก่นแท้ของวัตถุ!
แววตาของจ้าวเฟิงสว่างวาบ ในใจฮึกเหิม
วัตถุที่มีรูปร่างใดๆ รวมถึงวิญญาณ ล้วนประกอบด้วยจุดหลากหลายรูปแบบจำนวนนับไม่ถ้วน
ตาซ้ายของเขาสามารถมองเห็นแก่นแท้ของสรรพสิ่งได้อย่างชัดแจ้ง ถ้าเช่นนั้นก็สามารถทำลายโครงสร้างระหว่างจุดได้อย่างง่ายดายนัก หากทำให้วิชานี้สำเร็จได้ มันจะเป็นวิชาดวงตาขั้นสุดยอดที่แซงหน้าแสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้าง อีกทั้งความสามารถนี้มีเพียงจ้าวเฟิงที่ทำได้
เมื่อมีความคิดแล้ว จ้าวเฟิงก็ดิ่งลึกเข้าไปในมิติดวงตาซ้าย เริ่มร่างแบบและจำลองขึ้น
ยังดีที่วันนั้นเขาแอบเรียนเสวียนอ้าวแสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้างมา
แม้กระทั่งในตอนนี้ มิติดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงก็เก็บข้อมูลที่แอบลักลอบเอามาในวันนั้นไว้
ณ วันหนึ่ง
ในดวงตาสีทองของจ้าวเฟิง ลำแสงสีทองอ่อนสายหนึ่งสาดส่องไปยังก้อนหินเบื้องหน้า
กรอบ แกรก! ก้อนหินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันใด กลายเป็นกองหินก้อนเล็กๆ
“สามารถทะลุวัตถุ มีความสามารถแยกส่วนเหนือกว่าแสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้าง แต่ระดับการแยกส่วนยังไม่เพียงพอ!”
จ้าวเฟิงส่ายหน้าทอดถอนใจ เป้าหมายของเขาคือการทำให้ก้อนหินเป็นเศษเล็กๆ
มิฉะนั้น จะแยกส่วนประกอบการโจมตีจากปราณที่แท้จริงได้อย่างไร
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น
จ้าวเฟิงมายังข้างหน้าก้อนหินมหึมา สูดลมหายใจเข้าลึก
พลังดวงตาซ้ายโคจร ลำแสงสีทองที่โปร่งใสยิ่งกว่าสาดออกมา ทะลุใจกลางของหินก้อนมหึมา
ฟู่! ส่วนที่ถูกลำแสงทองสาดส่องหายไปในพริบตา กลายเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่
ราวกับหินก้อนมหึมาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก ดูไม่ออกว่าเป็นฝีมือของคนเลยด้วยซ้ำ
บางทีพวกคนที่ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณค่อนข้างแข็งแกร่ง อาจสัมผัสได้ถึงละอองจุดเล็กๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ
“พื้นฐานเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ต่อมาก็ต้องทำให้ใช้ได้จริงมากขึ้น”
มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง เพราะอย่างไรก้อนหินในมนตราอากาศก็ถูกจ้าวเฟิงแยกส่วนเป็นพันๆ รอบแล้ว
จ้าวเฟิงไม่ต้องใช้ตาซ้าย ก็สามารถจินตนาการได้ถึงโครงสร้างจุดของก้อนหินพวกนี้
แต่โครงสร้างจุดของสรรพสิ่งใดๆ รวมทั้งปราณที่แท้จริงและวิญญาณ ก็ล้วนต่างกันโดยสิ้นเชิง หรือก็คือ หากจ้าวเฟิงต้องการแยกส่วนประกอบสิ่งของที่ไม่รู้จัก ความเร็วและผลลัพธ์อาจไม่มีประสิทธิภาพมากนัก
“จ้าวเฟิง!”
ตวนมู่ชิงปลุกจ้าวเฟิง
“มาถึงค่ายกลข้ามเมืองอีกแล้วรึ?”
จ้าวเฟิงออกมาจากมนตราอากาศ
ราชวงศ์ต้าเฉียนมีพื้นที่กว้างใหญ่ ในตอนนี้ยังไม่มีค่ายกลข้ามมณฑลปรากฏ เพียงแต่ได้ยินมาว่าปรมาจารย์ค่ายกลของราชวงศ์กำลังถกกันอยู่ ทุกมณฑลจะมีเพียงค่ายกลข้ามเมืองสองสามที่ ตามเมืองและเขตพื้นที่ที่เจริญที่สุดเท่านั้น อีกทั้งค่ายกลข้ามเมืองไม่ใช่ว่าใครก็มีสิทธิ์ใช้ได้
จ้าวเฟิงมองไปยังที่ไกลๆ
“มีอะไรไม่ชอบมาพากล!” เขาเอ่ย
จ้าวเฟิงเก็บพาหนะเพลิงวายุ มุ่งไปยังตำหนักใหญ่โอ่อ่ากับตวนมู่ชิง
“ค่ายกลข้ามเมืองเกิดการขัดข้อง กำลังซ่อมแซมอยู่ ในตอนนี้ไม่สามารถเข้าไปได้!”
ด้านนอกตำหนัก หัวหน้าองครักษ์ชุดทองสองคนที่อยู่ขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันมองชายผมขาวและผมทอง ก่อนจะห้ามไว้
ศิษย์อาจารย์ทั้งสองมองตากัน ในใจมีคำตอบ
พักผ่อนที่นี่ก่อนแล้วกัน
“ช้าก่อนท่านทั้งสอง”
ในเวลานี้ ผู้อาวุโสคนหนึ่งรีบบินออกมาจากด้านในตำหนัก
“เซียนตวนมู่ อีกไม่นานค่ายกลข้ามเมืองก็ใช้ได้เหมือนเดิม เชิญเข้าไปนั่งสักครู่ก่อนเถิด!”
ผู้อาวุโสมองมาทางตวนมู่ชิง ใบหน้ายิ้มอย่างเคารพนอบน้อม
เมื่อหลายปีก่อนหน้า ตวนมู่ชิงเคยใช้ค่ายกลข้ามเมืองที่นี่ ข่าวคราวพวกนี้ ผู้อาวุโสมีบันทึกจดไว้
สององครักษ์ชุดทองที่อยู่ข้างๆ มีสีหน้าหวาดหวั่นทันที ร่างทั้งร่างเย็นเยียบ
พวกเขาไม่รู้เลยว่าชายผมขาวคนนี้เป็นถึงเซียน! ซ้ำยังเป็นแปดตระกูลใหญ่อีกด้วย!
“อืม!”
ในเมื่ออีกประเดี๋ยวก็ซ่อมเสร็จ ถ้าเช่นนั้นก็รอก่อน
ภายในตำหนักมีคนอยู่สองกลุ่มรออยู่เช่นกัน
หนึ่งในนั้นฝ่ายหนึ่งมีหกคน ผู้อาวุโสสามคน ชายหนุ่มสองคน และหญิงสาวหนึ่งคน ทั้งหมดนี้ล้วนมีผมสีม่วง
“เซียนตระกูลตวนมู่?”
ผู้อาวุโสผมสีม่วงซีดหนึ่งในนั้น ดวงตาทั้งสองข้างลึกล้ำดุจดวงดาว มองตวนมู่ชิงจากที่ไกลๆ
ส่วนหญิงสาวผมม่วงที่งามสะคราญตากลับจ้องเขม็งไปยังจ้าวเฟิง
“เจ้าคือจ้าวเฟิง?”
เนิ่นนานกว่าดวงตาของหญิงสาวผมม่วงจะฉายแววหวาดกลัว เปล่งเสียงออกมาอย่างตกใจ