บทที่ 915 ขัดขวาง
เซียนเทวาเร้นลับของกลุ่มอำนาจทุกคน โดยปกติแล้วจะไม่เที่ยวเผยตัวออกไปยังโลกภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสสูงสุดของแปดตระกูลใหญ่ อีกทั้งข้างกายของเซียนซิงหมัวยังมีลูกหลานตระกูลจีทั้งสามที่มีพรสวรรค์และความสามารถ
“พาเจ้าเด็กพวกนี้ไปเปิดหูเปิดตาที่วังหลวงเสียบ้าง ไม่ทราบว่าเซียนตวนมู่มาที่นี่ด้วยเหตุใด?”
สีหน้าของเซียนซิงหมัวเรียบนิ่ง ตอบคำถามแบบกำกวม
ที่ตั้งของตระกูลตวนมู่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากเมืองหลวงเพียงแค่มณฑลเดียวเท่านั้น แต่ตวนมู่ชิงกลับมาปรากฏตัวอยู่แถวสุดขอบทางใต้ เดินทางมาไกลถึงที่นี่ น่าจะมีเรื่องสำคัญ
“มีเรื่องสำคัญบางเรื่อง ข้าจึงจำเป็นต้องเดินทางออกจากตระกูล!”
ตวนมู่ชิงตอบคำถามอย่างกำกวมเช่นเดียวกัน ทั้งยังไม่มีจุดที่ชวนให้ผู้อื่นไม่พอใจ
หากแต่ตระกูลจีทุกคนล้วนจับจ้องมายังเด็กหนุ่มผมทองดวงตาทองโดยไม่รู้ตัว
เดิมจ้าวเฟิงคือ ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ แห่งชางไห่ ภายหลังชิงร่างลูกศิษย์คนหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น แล้วถือกำเนิดขึ้นมาใหม่
อีกทั้งที่นี่ก็ห่างจากสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่อยู่ริมทะเลไม่ไกลมากนัก
เมื่อรวมเข้ากับคำยืนยันของจีหลาน พร้อมทั้งวิชาดวงตาลึกลับยากจะหยั่งถึงของเด็กผมทองคนนี้ ในตระกูลตวนมู่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีอัจฉริยะสายเลือดดวงตา
ภาพรวมของเด็กหนุ่มผมทองคนนี้ใกล้เคียงกับจ้าวเฟิงมากทีเดียว และในตอนนี้ ตวนมู่ชิงดั้นด้นมาไกลถึงชายฝั่งทะเลเพื่อรับจ้าวเฟิงกลับตระกูลตวนมู่
สาเหตุไม่ต้องพูดก็เดาได้…ศึกชิงตำแหน่งรัชทายาท
จากการแสดงฝีมือของจ้าวเฟิงในมิติเทพลวงตา ต่อให้เป็นตระกูลสายเลือดดวงตาที่เยี่ยมยอด ก็มองวิชาดวงตาลึกลับนี้ไม่ออก
มันจะต้องช่วยให้ตระกูลตวนมู่ชิงตำแหน่งในรายชื่อมาได้แน่
“เซียนตวนมู่ ค่ายกลข้ามเมืองซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าขอตัวก่อน!”
ตระกูลจีทุกคนเอ่ยคำลากับตวนมู่ชิง
อันที่จริงค่ายกลซ่อมเสร็จนานแล้ว แต่ระหว่างการสนทนาของเซียนทั้งสองจากแปดตระกูลใหญ่ ใครเล่าจะกล้าขัด
“ผู้อาวุโสสูงสุด เมื่อครู่วิชาดวงตาที่จ้าวเฟิงใช้มันเป็นยังไงกันแน่?”
เมื่อใช้ค่ายกลข้ามเมืองจากมาแล้ว จีอู๋เหยี่ยอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
ในขณะเดียวกัน สองเด็กสองผู้สูงวัยของตระกูลจีต่างรีบทำท่าล้างหูไว้รอฟังทันใด
สำหรับพวกเขา มีเพียงเซียนซิงหมัวเท่านั้นจึงจะให้คำตอบแก่พวกเขาได้
การใช้เนตรดาราม่วงของเซียนซิงหมัวอยู่ในขั้นสุดยอด เขาไม่หยุดทดลอง ผสานเนตรดาราม่วงเข้ากับวิชาดวงตาอื่นๆ คิดค้นเป็นวิชาดวงตาเนตรดาราม่วงที่เหมาะสม และสร้างวิชาดวงตาที่ทรงพลังใหม่ๆ เป็นคุณูปการให้กับตระกูลจีมากมาย
ดังนั้นถึงแม้ระดับพลังของเซียนซิงหมัวจะไม่สูง แต่วิชาดวงตาน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
“แยกส่วน!” เซียนซิงหมัวพูดออกมาแค่เพียงสองคำเท่านั้น
“แยกส่วน?” อีกห้าคนที่เหลืองุนงง ก่อนที่จ้าวเฟิงจะแสดงพลังก็พูดสองคำนี้ออกมาเบาๆ เช่นเดียวกัน
“ผู้อาวุโสสูงสุด ข้ารู้ว่ามีวิชาดวงตาจำพวกคลี่คลาย มันคือวิชาดวงตาประเภทที่ลดอานุภาพการโจมตีลง แต่นี่ไม่เหมือนกับวิชาที่จ้าวเฟิงแสดงออกมาเลยสักนิด!”
จีอู๋เหยี่ยไม่รู้ว่าเจ้าสองคำนี้หมายความว่าอะไร แต่เขาเคยเห็นวิชาดวงตาประเภทนี้มาก่อน
“วิชาดวงตาของเด็กคนนั้นค่อนข้างคล้ายกับวิชาดวงตาประเภทคลี่คลาย”
เซียนซิงหมัวนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “วิชาดวงตาคลี่คลายคือการหาจุดสำคัญของเสวียนอ้าวการโจมตี แล้วทำลายลงเพื่อลดพลานุภาพ ส่วนพลังของผู้เยาว์คนนี้ พูดง่ายๆ ก็คือแยกส่วนประกอบของจุดสำคัญในเสวียนอ้าวพลังโจมตีออก อีกทั้งแยกชั้นเสวียนอ้าวทั้งหมด!”
ฟังคำอธิบายจากผู้อาวุโสสูงสุด กลุ่มคนตระกูลจีตะลึงอ้าปากค้าง
พวกเขาล้วนทราบดี พลังดวงตาประเภทคลี่คลายเผาผลาญพลังสูงมาก แต่การโจมตีทำลายนั้นน้อยนิด ดังนั้นจึงมีเพียงสายเลือดดวงตาที่พิเศษเท่านั้น จึงจะใช้วิชานี้เพื่อให้ได้ผลที่ดียิ่งขึ้น แต่สิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดพูดมาคือ การแยกส่วนสำคัญของเสวียนอ้าวพลังโจมตี! ทำลายกับแยกส่วนเป็นคนละระดับกันโดยสิ้นเชิง เหมือนกับกำแพง หากจะทำลายมันลงก็เป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนปอกกล้วย แต่หากต้องการจะให้อิฐที่เป็นโครงสร้างของกำแพงยังคงสภาพเดิมไว้ กลับเป็นเรื่องที่ยุ่งยากนัก
หากจะทำให้ได้ถึงขั้นนี้ จะต้องมีพลังวิญญาณและพลังดวงตาที่แข็งแกร่งปานใดกัน มิน่าเล่า จ้าวเฟิงจึงสำแดงวิชาเพียงแค่ช่วงเดียวก็หยุดทั้งหมดลง
“นี่เป็นเพียงความคิดที่คร่ำครึของข้า!”
ดวงตาของเซียนซิงหมัวราวดำดิ่งสู่ภวังค์ เอ่ยออกมาช้าเนิบ
ทันใดนั้น! ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบงัน พวกเขาก็เป็นตระกูลผู้เชี่ยวชาญในวิชาดวงตาเช่นเดียวกัน ย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดพูดมาคือความจริง
เมื่อเห็นตระกูลจีจากไปแล้ว ตวนมู่ชิงและจ้าวเฟิงก็ก้าวเข้าสู่ค่ายกลข้ามเมือง
เมื่อเซียนทั้งสองจากไป ผู้คนที่เหลือทั้งตำหนักต่างถอนหายใจโล่ง
“เด็กหนุ่มผมทองคนนั้นเป็นใครกัน ใช้วิชาดวงตาเพียงกระบวนท่าเดียวก็เอาชนะอัจฉริยะหนุ่มตระกูลจีได้!”
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งในกลุ่มเจ้าเมืองรู้สึกหวาดหวั่นในใจนัก
……….
เมื่อใช้ค่ายกลมาถึงรอยต่อระหว่างเมือง ศิษย์อาจารย์ทั้งสองก็นั่งพาหนะเพลิงวายุทะยานไปในหมู่เมฆอีกครั้ง
“จ้าวเฟิง นี่คือพลังที่การแปรสภาพของเนตรเทพเจ้านำมาให้รึ?”
ใบหน้าของตวนมู่ชิงฉายแววแปลกใจ เขาเองก็มองไม่ออกเหมือนกันว่าวิชาดวงตาของจ้าวเฟิงใช้หลักเหตุผลอะไร
“การแปรสภาพตาซ้ายเพียงแค่เพิ่มความสามารถในการมองเห็นและการวิเคราะห์เท่านั้น วิชาดวงตาแยกส่วนเมื่อครู่ คือการที่ข้าผสานวิชาดวงตากับความสามารถช่วยเหลืออื่นเข้าไป จึงเกิดเป็นวิชาดวงตาใหม่!”
จ้าวเฟิงรีบอธิบาย เขาบอกถึงพลังใหม่ของเนตรเทพเจ้าและที่มาของวิชาดวงตาไปตามจริง
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะเข้าใจผิดกันไป!”
ตวนมู่ชิงลองเปลี่ยนมุมมอง วิชาดวงตาของจ้าวเฟิง จริงๆ แล้วไม่ได้น่ากลัวเหมือนอย่างที่คิด
จ้าวเฟิงเพียงแค่ทำให้การโจมตีวิญญาณบางส่วนหายไป อีกทั้งยังเผาผลาญพลังสูง และหยุดลงกลางคันราวกับว่ายังไม่มีทักษะการโจมตี เพียงแต่พวกเขายังไม่เข้าใจถึงหลักการ ดังนั้นจึงรู้สึกว่าแข็งแกร่งและดูลึกลับ ถึงอย่างไรเหล่ามนุษย์ก็ล้วนเกรงกลัวในสิ่งที่ตนเองไม่รู้
ศิษย์อาจารย์ทั้งสองคุยกันได้สักพัก จ้าวเฟิงก็กลับเข้าไปในมนตราอากาศอีกครั้ง
การต่อสู้จริงในครั้งนี้ทำให้เขาเข้าใจอะไรอีกมาก
แยกส่วนการโจมตีวิญญาณของจีอู๋เหยี่ย กับแยกชั้นต้นหญ้าและก้อนหิน มันเป็นคนละระดับเลยทีเดียว ในการโจมตีวิญญาณของเขายังแฝงไปด้วยพลังที่ทำลายชั้นกายเนื้อ ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงพลันได้รับข้อมูลมหาศาลจึงทำให้รู้สึกเจ็บปวด ไม่หยุดไม่ได้ หรือถ้าจะพูดอีกอย่างก็คือ รอเมื่อจ้าวเฟิงสังเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นแล้ว ในครั้งหน้าก็จะแยกส่วนการโจมตีของจีอู๋เหยี่ยได้อย่างสบายๆ นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังกดพลังวิญญาณลงจนอยู่ในระดับเดียวกันกับอีกฝ่ายแล้วทำการทดลอง
ในจุดนี้ เซียนซิงหมัวมองออกอย่างแน่นอน แต่ว่าตั้งแต่ตอนแรก เซียนซิงหมัวเพียงแค่สนใจสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงเท่านั้น
สำหรับเรื่องนี้ จ้าวเฟิงก็ไม่รังเกียจเช่นเดียวกัน
พลังใหม่ของเนตรเทพเจ้า แม้กระทั่งเจ้าแมวขโมยน้อยยังเกรงกลัว แสดงว่าต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ทุกครั้งของการแยกส่วน ข้อมูลโครงสร้างที่ได้มาล้วนถูกเก็บไว้ในลูกทรงกลมสีทอง ข้าสามารถเข้าไปดูตอนไหนก็ได้ ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่ต้องกระตุ้นดวงตาซ้ายจึงจะคัดลอกและซึมซับได้! ”
จ้าวเฟิงพอใจในจุดนี้เป็นอย่างมาก
“โครงสร้างของจุดและอณูมีแต่ส่วนที่เหมือนกัน อีกทั้งภายในจุดยังรวมธาตุเอาไว้อีกด้วย” ยิ่งเป้าหมายในการแยกส่วนมีมาก ภายใต้การสังเกตเป็นเวลานาน ทุกครั้งจ้าวเฟิงก็จะรับรู้อะไรบางอย่างได้
จ้าวเฟิงเดาว่า หากเขาเข้าใจข้อมูลพวกนี้ได้ทั้งหมดและเข้าใจถึงเสวียนอ้าวในนั้น ในวันหน้าความเร็วของการ ‘แยกส่วน’ วัตถุใดก็แล้วแต่ จะต้องพัฒนาขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน
“ธาตุของจุดไม่ได้มีเพียงแค่ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดินเท่านั้น อีกทั้งโครงสร้างก็แบ่งได้อีกหลายชนิดตามแต่ว่ามีธาตุมากหรือน้อย!”
จ้าวเฟิงโดนโลกของนานาวัตถุดึงดูด ศึกษาในมนตราอากาศอย่างหลงใหลลืมตัว
ผ่านไปอีกสิบกว่าวัน จ้าวเฟิงก็เข้าใจในพื้นฐานของโครงสร้างของจุด
“ร่างของเซียน มีกายเนื้อวิญญาณกับพลังเทวาเร้นลับผสมผสานกันในระดับสูง พลังการป้องกันและการฟื้นฟูแข็งแกร่งนัก หากข้าสามารถแยกพลังทั้งสามอย่างนี่ออกจากกันได้! ”
จ้าวเฟิงวิเคราะห์ในใจ หากแยกร่างกาย วิญญาณของเซียน กับพลังเทวาเร้นลับออกจากกันได้ ข้อได้เปรียบของเซียนก็จะลดต่ำลงอย่างมาก นี่เป็นเพียงแค่แนวคิดของจ้าวเฟิงเท่านั้น ยังไม่ได้ทดลองจริง เขาเองก็ยังไม่กล้ายืนยัน อีกทั้งจ้าวเฟิงในยามนี้ยังมีความสามารถไม่เพียงพอที่จะใช้พลังการแยกส่วนในขอบเขตกว้างๆ ยิ่งขอบเขตการแยกส่วนกว้างขึ้น ปริมาณการใช้พลังและความกดดันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว
แต่สิ่งที่สามารถยืนยันได้ก็คือ พลังการแยกส่วนของจ้าวเฟิงแทบจะเพิกเฉยต่อการป้องกันของขั้นเซียน และแยกส่วนประกอบของร่างเซียนได้ทันที อีกทั้งเหล่าเซียนไม่เคยมีความรู้ในเรื่องอณู ไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ทำได้เพียงแค่อาศัยพลังการฟื้นฟูตนเองจากร่างเซียนเท่านั้น เช่นนี้ นี่จึงจะเป็นไพ่ตายอีกใบที่สามารถสร้างความเกรงกลัวให้กับขั้นเซียนได้
“ยิ่งศึกษาลึกลงไป ก็ยิ่งรู้สึกว่าพลังของเนตรเทพสีทองไม่ธรรมดาเลย เหมือนยังสามารถศึกษาลึกลงไปได้อีก! ”
จ้าวเฟิงดิ่งลึกลงไปในโลกของการขยายส่วนราวกับหิวกระหาย
ในตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเข้าใจในพลัง
เวลาครึ่งปี เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไป
ในช่วงนี้จ้าวเฟิงไม่ใส่ใจการฝึกบำเพ็ญใดๆ
การกระตุ้นใช้เนตรสีทองเผาผลาญพลังวิญญาณและพลังดวงตามากเกินไป หากจ้าวเฟิงอยากจะศึกษาเสวียนอ้าวในนั้น ก็ต้องรวบรวมสมาธิให้มาก ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงไม่ได้ใช้ ‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ มาแบ่งจิตใจ อีกทั้งระดับพลัง กายสายฟ้าปฐพีทอง และวายุอัสนีห้าสายของจ้าวเฟิงเพิ่งจะบรรลุได้ไม่นานเท่าไหร่ ยังต้องการเวลาให้ตกผลึกสะสม
“จ้าวเฟิง ใกล้จะถึงตระกูลตวนมู่แล้ว!”
เสียงของตวนมู่ชิงลอยเข้ามา
จ้าวเฟิงออกมาจากมนตราอากาศ มองไปทางตำหนักวิจิตรตระการตา ลำธารใสกระจ่างมีแมลงปอบินร่อนฉวัดเฉวียน กลิ่นดอกไม้หอมหวน เสียงนกเสียงไม้ ป่าไผ่เขียวมรกต ทั้งหมดนี้ราวกับดินแดนแห่งความฝัน
ตระกูลตวนมู่อยู่ที่จุดศูนย์กลางของพื้นที่ ทั้งสี่ด้านโอบล้อมด้วยขุนเขาทอดยาว ทางออกมีเพียงทางเดียวคือแม่น้ำสีเขียวมรกตที่กว้างหลายสิบจั้ง
“ผู้อาวุโสชิง เด็กผู้นี้เป็นใคร?”
ประตูทางเข้าตระกูลตวนมู่ ผู้อาวุโสทั้งห้าคนของตระกูลลอยตัวรออยู่เหนือแม่น้ำมรกต มาเป็นเวลานานแล้ว
“นี่คือลูกศิษย์ของข้า!”
ตวนมูชิงตอบเสียงหนักแน่น แรงกดดันจากกลิ่นอายพลังของขั้นเซียนแผ่กระจายออกมาบางๆ พลานุภาพกดดันอันน่าสะพรึงทำให้อากาศรอบๆ หนักอึ้ง ตวนมู่ชิงที่ดูน่ายำเกรงราวกับราชาเทพ ก้มลงมองผู้อาวุโสทั้งห้าจากเบื้องบน
ผู้อาวุโสทั้งห้าล้วนแต่เป็นขั้นจักรพรรดิทั้งสิ้น แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตวนมู่ชิงที่เป็นถึงเซียนกลับมีทีท่าซักไซ้ไล่เรียง แน่นอนว่าเบื้องหลังต้องเป็นการจัดการของผู้อาวุโสสูงสุดในขั้นเซียน
“ผู้อาวุโสชิง โปรดอย่าร้อนใจ พวกเราไม่ได้มาทำให้ท่านลำบากใจ!”
ผู้อาวุโสชุดน้ำเงินมีรายละเอียดพลังค่อนข้างต่ำต้อย เพียงแค่เผชิญหน้ากับแรงกดดันเซียนของตวนมู่ชิงก็รีบศิโรราบโดยทันที ซ้ำยังเผยสีหน้าท่าทางอย่างคนโดนรังแก
“ผู้อาวุโสชิง ในฐานะที่จ้าวเฟิงเป็นหนึ่งใน ‘มารคู่ผมม่วง’ ชื่อเสียงฉาวโฉ่ จึงไม่เหมาะจะย่างก้าวเข้าไปในตระกูลตวนมู่!”
“จ้าวเฟิงอยู่ในมิติเทพลวงตา ล่วงเกินกลุ่มอำนาจมากมาย ในยามนี้ตระกูลตวนมู่กำลังฟื้นตัว ชื่อเสียงจะแปดเปื้อนไม่ได้!”
………..
ผู้อาวุโสเหล่านั้นผลัดกันพูดห้าม ทำให้ตวนมู่ชิงเริ่มเปลี่ยนสีหน้า
เพราะเขาเองก็เป็นคนของตระกูลตวนมู่เช่นเดียวกัน เขาก็หวังให้ตระกูลตวนมู่กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง แต่ลูกศิษย์ของตนเองเป็นเช่นไร ในใจเขารู้ดีที่สุด
มิติเทพลวงตา การแย่งชิงสมบัติทรัพยากรมันเป็นเรื่องธรรมดา พวกสำนักใหญ่ระดับสามดาวไม่เคยลงมือแย่งชิงของของสำนักสองดาวหรืออย่างไร?
ผู้แข็งแกร่งคือผู้ชนะ ผู้อ่อนแอคือผู้พ่ายแพ้
เพียงแต่พวกที่คิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง แพ้ให้แก่ผู้ที่ตนคิดว่าเป็นผู้อ่อนแออย่างยับเยิน เมื่อรู้สึกเสียหน้าจึงใส่ร้ายปรักปรำเพื่อกู้หน้าคืนมา
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย นี่มันไม่ใช่เหตุผลกระมัง!”
สีหน้าของตวนมู่ชิงค่อยๆ กลับเป็นปกติ เอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น
ผู้อาวุโสเหล่านั้นก็หยุดลงทันที คอตกเล็กน้อย ไม่พูดโน้มน้าวอะไรอีก
เพราะนี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงจริงๆ
ทันใดนั้น ลำแสงเจิดจ้าแสบตาก็พุ่งมาจากตระกูลตวนมู่ สาดแสงไปทั่วทุกทิศ พลังมากมายมหาศาลพุ่งตรงมายังตวนมู่ชิง
“นี่ก็คือเหตุผลที่แท้จริง!”
เสียงที่ดังก้องกังวานไปทั่วราวกับคลื่นที่ซัดสาดเข้ามา อำนาจมากมายล้นฟ้า