บทที่ 1010 ปฏิกิริยาของเหรียญทองแดง
“มิสู้เจ้าไปที่แผ่นดินใหญ่ เข้าร่วมสำนักศาสตร์ซากศพ อย่างเช่นขั้วอำนาจที่ขึ้นต่อวังเก้านิรย!”
จ้าวเฟิงคิดบางอย่างได้ พลันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
อย่างแรก ระบบการฝึกฝนของจ้าวหวาง จ้าวเฟิงไม่ชำนาญนัก เขาแก้ไขได้เพียงปัญหาในการฝึกตนเบื้องต้นของจ้าวหวาง
อย่างที่สอง ทรัพยากรประเภทมรณะและอัสนีมืดของจ้าวเฟิงมีอยู่ค่อนข้างน้อย หนำซ้ำทรัพยากรของจ้าวเฟิงเองก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว
ในสองด้านนี้ สำนักศาสตร์ซากศพสามารถช่วยจ้าวหวางแก้ไขปัญหาได้
และการฝึกตนของจ้าวหวางรวดเร็วอย่างมาก น่าจะกลายเป็นระดับสูงของสำนักดังกล่าวโดยใช้เวลาไม่นาน ไม่แน่ว่าอาจได้ข้อมูลความลับของวังเก้านิรยมา
นี่คือวิธีดีที่สุดในการล้วงความลับจากศัตรู ในตอนนี้เป็นช่วงสงคราม คงปลอมตัวปะปนเข้าไปได้ค่อนข้างง่ายดาย
เมื่อตัดสินใจดีแล้ว จ้าวหวางก็จากไปในทันที
ก่อนจะเดินทาง จ้าวเฟิงมอบทรัพยากร อาวุธศักดิ์สิทธิ์ และไพ่ตายรักษาชีวิตส่วนหนึ่งให้กับจ้าวหวาง
หลังจากที่จ้าวหวางจากไป จ้าวเฟิงก็เข้าไปในตระกูลจี
คนของตระกูลจีกุลีกุจอเข้ามาต้อนรับในทันที และพาจ้าวเฟิงเข้าไปในตระกูล
“เป็นจ้าวเฟิง ลือกันในวันนั้นว่าเขาสามาถเข้าไปในชั้นที่เก้าของหอคอยดาราม่วง!”
“จะเป็นไปได้อย่างไร เขายังอยู่ในขอบเขตพลังจักรพรรดิเท่านั้น!”
“นี่ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ บางทีเขาอาจจะมีสมบัติล้ำค่าอะไร แต่ว่าลูกหลานมากมายของตระกูลจีต่างก็เห็นเขาเอาชนะจีเซิ่งหมิงได้ด้วยตาของตนเองกันทั้งนั้น!”
ระหว่างทาง สายตาพวกลูกหลานตระกูลจีจับจ้องไปที่จ้าวเฟิง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกลูกหลานตระกูลจีส่วนหนึ่งที่ติดตามจีหลานไปยังหอควันสมุทรในคราวก่อน เมื่อมองเห็นจ้าวเฟิง ใบหน้าของพวกเขายำเกรงและเลื่อมใส
จ้าวเฟิงยังไม่ทันได้เข้าใกล้ตำหนักส่วนตัวของเซียนซิงหมัว ก็มีเสียงลอดออกมาจากภายใน
“จ้าวเฟิง เข้ามาสิ!”
เชื้อสายตระกูลจีที่พาจ้าวเฟิงมาที่นี่ก็ถอยไปอย่างรู้ตัว
“สหายน้อยจ้าว ทำไมเจ้าบาดเจ็บได้? ” เซียนซิงหมัวมองจ้าวเฟิงในตอนนี้ รู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติ
พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงอ่อนแอกว่ายามจากกันมาก
หลังจากลูกหลานตระกูลจีกลับมาแล้ว ก็รายงานเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา จ้าวเฟิงน่าจะรับมือกับเซียนสองคนได้อย่างสบายๆ แล้วเหตุใดจึงบาดเจ็บได้?
“เรียนท่านผู้อาวุโสตามตรง ขณะที่ข้ากลับไปได้ฝึก ‘วิชาแยกวิญญาณ’!”
จ้าวเฟิงไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้
อย่างไรเสีย เซียนซิงหมัวก็เดาไว้นานแล้วว่าจ้าวเฟิงจะต้องลองฝึก ‘วิชาแยกวิญญาณ’
“เจ้าทำสำเร็จแล้ว? ”
สีหน้าของเซียนซิงหมัวฉายแววตื่นเต้นยินดี
เขาได้ศึกษาวิเคราะห์วิชานี้อย่างลึกซึ้ง แต่ก็ยังคงไม่มีหวังจะฝึกฝนได้สำเร็จ
หลังจากที่เซียนแบ่งร่างออกมาได้แล้ว ร่างเดิมจะเสียหาย จ้าวเฟิงแบ่งวิญญาณได้สำเร็จ พลังวิญญาณจึงได้รับบาดเจ็บ นี่ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล
หากว่าล้มเหลว จะไม่บาดเจ็บแค่เพียงเท่านี้แน่ ด้วยเหตุนี้เซียนซิงหมัวจึงมั่นใจอย่างยิ่งว่าจ้าวเฟิงต้องแบ่งร่างได้สำเร็จแล้ว
“ใช่!”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะ เขาเองก็ยินดีในความสำเร็จของการฝึกฝน ‘วิชาแยกวิญญาณ’ ในขั้นแรกเช่นกัน
เซียนซิงหมัวเผยสีหน้าตื่นเต้น รีบเข้าไปใกล้จ้าวเฟิงในทันที “ให้ข้าดูร่างแยกของเจ้าหน่อยเร็ว!”
เขาไม่คิดเลยว่าจ้าวเฟิงได้ ‘วิชาเทพคืนวิญญาณ’ มาไม่กี่เดือน ก็บรรลุเงื่อนไข สามารถฝึก‘วิชาแยกวิญญาณ’ได้สำเร็จ
นี่คือชะตาที่ฝืนลิขิตฟ้าของจ้าวเฟิง หรือเป็นพรสวรรค์ที่มีมากมายนักในด้านนี้ของเขา?
“ตอนนี้ร่างแยกของข้าอยู่ที่อื่น!”
จ้าวเฟิงยิ้มขออภัย
ในขณะที่มาถึงตระกูลจี จ้าวเฟิงก็ให้จ้าวหวางไปหาสำนักศาสตร์ซากศพที่แผ่นดินใหญ่พอดี
เซียนซิงหมัวสีหน้าชะงักไป และปรับสีหน้ากลับคืนอย่างรวดเร็ว
เซียนทั่วไปฝึกฝนเคล็ดวิชาแบ่งร่าง ก็เพื่อใช้จิตใจหนึ่งทำหลายเรื่อง สามารถทำหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน
ร่างแยกของจ้าวเฟิงไม่อยู่ข้างกาย นี่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
ต่อจากนั้น จ้าวเฟิงจึงเล่าเรื่องแบ่งวิญญาณออกจากกันให้เซียนซิงหมัวฟัง
หลังจากรู้เรื่องจนถึงระดับหนึ่งแล้ว บางทีเซียนซิงหมัวอาจช่วยเขาฝึกฝนไปจนถึงขั้นที่สองได้
“ที่แท้ก็มีผลลัพธ์ที่อัศจรรย์เช่นนี้!” เซียนซิงหมัวตื่นตะลึงอย่างมาก
จากการบรรยายของจ้าวเฟิง เขาพอจะเข้าใจในความสามารถแบ่งวิญญาณระดับหนึ่ง
หากไม่ใช่เพราะแทบไม่มีหวัง เซียนซิงหมัวต้องลองเป็นแน่
แต่เขาไม่อาจลงมือทำอะไรโดยผลีผลามได้ ในวันนี้ศึกใหญ่ได้เริ่มขึ้นแถมไม่รู้ว่าจะหนักหนาจนถึงขั้นไหน ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตระกูลจี ชีวิตของเขาไม่ได้มีเพียงแค่ตนเอง
“ ‘วิชาแยกวิญญาณ’ ขั้นที่สอง สหายน้อยจ้าวฝึกได้ถึงไหนแล้ว? ”
เซียนซิงหมัวถาม
ตำราเล่มนี้ไม่ธรรมดา อีกทั้งไม่สามารถหาวิชาที่คล้ายคลึงมาอ้างอิงประกอบกันได้ จะฝึกให้สำเร็จนับว่ายากเย็นอย่างยิ่งยวด
“มีพัฒนาการไม่มากเท่าไหร่นัก!”
จ้าวเฟิงเพิ่งจะฝึกขั้นที่หนึ่งสำเร็จ พลังวิญญาณเกือบจะไปแตะขั้นปฐมเซียน
ถึงจะสามารถฝึกขั้นที่สองได้สำเร็จ ตอนนี้จ้าวเฟิงก็ฝึกไม่ได้อยู่ดี
ดังนั้น ในระยะนี้จ้าวเฟิงเพลิดเพลินไปกับกองหนังสือ เพิ่มพูนความรู้และพื้นฐานทฤษฎี เพื่อเตรียมทะลวงผ่านขั้นที่สองในภายภาคหน้า
“สหายน้อยก็อยู่เสียที่นี่ ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า นอกจากนี้ข้ายังมีเรื่องจะบอกเจ้าด้วย!”
เซียนซิงหมัววางเรื่อง ‘วิชาแยกวิญญาณ’ ก่อนชั่วคราว
“องค์ชายแปดส่งข่าวบอกข้าแล้ว เขาจะอยู่ที่กองทัพขององค์ชายเก้า คอยช่วยเหลือองค์ชายเก้า!”
เซียนซิงหมัวยิ้มเอ่ย
นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาคาดหวัง เขาไม่อยากให้ตระกูลจีทรยศทอดทิ้งองค์ชายแปดไปเข้าร่วมกับกองทัพขององค์ชายเก้า
ถึงแม้ว่าการทดสอบคัดเลือกรัชทายาทจบลงไปแล้ว จะเลือกข้างใหม่อีกครั้งก็เป็นเรื่องปกติ แต่ก็ยังกระทบต่อชื่อเสียงของตระกูลจีอยู่ดี
“องค์ชายแปด? ” จ้าวเฟิงอึ้งไปเล็กน้อย
คิดไม่ถึงเลยว่าการทดสอบคัดเลือกรัชทายาทเพิ่งจะจบลงไป องค์ชายแปดก็ตัดสินใจแล้ว
จ้าวเฟิงย่อมรู้สึกได้เช่นกันว่า องค์ชายแปดตัดสินใจเช่นนี้เกี่ยวข้องกับเขาอย่างมาก
แต่แบบนี้ก็พอดี อิทธิพลขององค์ชายเก้าอ่อนแอลงไป เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากองค์ชายแปด พลานุภาพของทั้งหมดก็ใกล้เคียงกับองค์ชายสิบสามแล้ว
อีกอย่าง ตระกูลหยูก็เหมือนเป็นขั้วอำนาจขององค์ชายแปด และยังเป็นกำลังรบหลักในแนวหน้าด้วย หากเป็นเช่นนี้ สมาชิกขั้วอำนาจสำนักเบื้องหลังองค์ชายเก้าที่เดินทางไปแนวหน้าของสนามรบก็มีที่พึ่งแล้ว และคงจะไม่โดนขั้วอำนาจกลุ่มอื่นหมายหัว
“ส่วนข่าวคราวของผู้สืบทอดเนตรสังสารวัฏ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสซิงหมัวเจออะไรบ้างหรือไม่? ”
จ้าวเฟิงเปลี่ยนหัวข้อ เอ่ยเสียงเบา
นี่ก็เป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์หลักที่เขามาในครั้งนี้ คือข่าวคราวที่เกี่ยวกับผู้สืบทอดเนตรสังสารวัฏ
เวลาผ่านไปสองเดือน หากสามารถหาเจอก็น่าจะหาเจอไปแล้ว
“ยังไม่มีข่าวคราวของเขาเลย!” เซียนซิงหมัวทอดถอนใจเล็กน้อย
จ้าวเฟิงสีหน้านิ่งสงบ เขาเตรียมใจล่วงหน้าเอาไว้นานแล้ว แล้วก็เป็นไปตามนั้น ผู้ปลีกตัวโดดเดี่ยวแบบนี้ยากจะหาเจอ ยิ่งไปกว่านั้น พลานุภาพของผู้สืบทอดเนตรสังสารวัฏก็ลึกล้ำเกินกว่าจะคาดเดา
“แต่ข้าเจอสถานที่แห่งหนึ่ง สงสัยว่าอาจจะเป็นที่ที่ผู้สืบทอดเนตรสังสารวัฏเคยอาศัย!”
เซียนซิงหมัวเอ่ยอีกครั้ง
“รบกวนผู้อาวุโสบอกด้วย!”
สีหน้าจ้าวเฟิงชะงักไปเล็กน้อย
“ข้าไปกับเจ้าดีกว่า!”
เซียนซิงหมัวพลันทะยานออกจากตำหนัก ผ่านหมอกควันสีม่วง จ้าวเฟิงตามหลังเขามาติดๆ
ไม่ถึงหนึ่งวันดี คนทั้งสองก็มาถึงป่าไผ่เขียวขจีแห่งหนึ่ง
สถานที่แห่งนี้ไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงเรือนไม้ไผ่ บ่อน้ำ แท่นวางพิณ กระดานหมาก เก้าอี้ไม้ไผ่เป็นต้น
“สำนึกรู้ที่นี่ไม่ธรรมดาเลย!”
ในวินาทีที่จ้าวเฟิงมาถึง ก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง
ถึงแม้ว่าที่นี่จะมีเพียงสิ่งของธรรมดาที่เรียบง่ายยิ่งเท่านั้น แต่กลับแผ่กลิ่นอายเสวียนอ้าวลึกล้ำเลือนรางที่บรรยายไม่ถูก
“คนอยู่ที่นี่น่าจะจากไปไม่นานนัก!”
เซียนซิงหมัวเอ่ย
หากหาที่นี่เจอเร็วกว่านี้ บางทีอาจจะเก็บเกี่ยวอะไรได้บ้าง
จ้าวเฟิงร่อนลงบนพื้น เดินไปยังเรือนไม้ไผ่
การตกแต่งภายในเรือนไม้ไผ่ เรียบง่ายเป็นระเบียบ ล้วนแต่เป็นสิ่งของที่คนทั่วไปใช้
“เก็บกวาดได้สะอาดเรียบร้อยมาก!”
เซียนซิงหมัวเอ่ยปาก
ผู้สืบทอดเนตรสังสารวัฏคิดจะกลบเกลื่อนร่องรอย ย่อมต้องไม่ทิ้งเบาะแสอะไรเอาไว้แน่ หากเปลี่ยนเป็นเซียนซิงหมัว เขาคงทำลายที่นี่ทั้งหมดไปแล้ว
จ้าวเฟิงไม่รู้เพราะอะไร ในตอนที่เข้าไปภายในเรือนไม้ไผ่ มีกลิ่นหอมประหลาดตลบอบอวลรอบกายเขา ทำให้ใจเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง
จ้าวเฟิงเบิกเนตรเทพเจ้า กวาดผ่านสิ่งของทุกชิ้นในนั้นแต่ก็ไม่พบอะไร
ดูไปแล้วผู้ครอบครองเนตรสังสารวัฏจะเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเองและระมัดระวังตัว
เขาเก็บรักษาที่นี่เอาไว้อย่างสมบูรณ์ แต่กลับไม่มีเบาะแสใดๆ กระทั่งดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็ยังหาเงื่อนงำอะไรไม่เจอ
จ้าวเฟิงเดินเข้าทางประตูหน้าและออกทางประตูหลัง
“พิณ? ” จ้าวเฟิงมองไปยังพิณโบราณเจ็ดสายสีครามที่อยู่ด้านข้าง
ในสมองของเขาพลันปรากฏสตรีงามราวเซียนในภาพวาดที่สุขุมสง่างามนางหนึ่ง ใบหน้างามจนปักษีตกนภา ท่าทีเศร้าสร้อย
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยกระโจนออกจากมนตราอากาศ ในอุ้งมือของมันถือเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งเอาไว้
เหรียญทองแดงเหรียญนี้ ไม่ใช่เหรียญทองแดงโบราณที่เจ้าแมวน้อยใช้ทำนาย แต่เป็นเหรียญทองแดงที่หลิวฉินซินมอบให้จ้าวเฟิง ณ ชั้นสุดท้ายของตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน
ยามนี้ เหรียญทองแดงนี้เปล่งประกายแสงสีขาวอ่อนจาง เหมือนว่าจะแตกสลายไปได้ทุกเมื่อ
จ้าวเฟิงตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
เหรียญทองแดงนี้เขาเก็บเอาไว้ในมนตราอากาศโดยตลอด แล้วเหตุใดจึงส่องแสงสว่างอย่างไร้สาเหตุแบบนี้?
จ้าวเฟิงกำของในมือแน่น พลังเหนี่ยวนำประหลาดถูกเขาหาเจอแล้ว
“พิณตัวนี้!” จ้าวเฟิงเดินเข้าไปใกล้พิณโบราณสีคราม ลูบมันเบาๆ
เสียดายก็แต่เขาไม่เข้าใจในดนตรีแม้แต่น้อย คลื่นเสียงดังขึ้น
ในมือของเจ้าแมวขโมยน้อยปรากฏเหรียญทองแดงโบราณสองสามเหรียญ เสียง ‘กรุ๊งกริ๊ง’ ดังขึ้น แล้วเหรียญก็ร่วงลงในฝ่ามือ
“นี่หมายความว่าอย่างไรกันแน่?” จ้าวเฟิงหลับตาลงเล็กน้อย
เขาพบสถานที่เคยพำนักอาศัยของเนตรสังสารวัฏ แล้วเหตุใดเหรียญทองแดงจึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ หนำซ้ำสิ่งที่ทำให้เหรียญทองแดงเกิดปฏิกิริยา เหมือนจะเป็นเพียงแค่พิณโบราณธรรมดาเท่านั้น
นี่อาจจะเป็นพิณของผู้สืบทอดเนตรสังสารวัฏ เหรียญทองแดงกำลังบอกจ้าวเฟิงว่า เนตรสังสารวัฏสามารถช่วยเขาหาหลิวฉินซินได้? หรือว่ายังมีเหตุผลอื่นอีก…
จ้าวเฟิงกำเหรียญทองแดงแน่น ครุ่นคิดอยู่นาน แต่ก็ไม่เข้าใจ
ทันใดนั้นเอง เหรียญทองแดงในมือจ้าวเฟิงส่องแสงอ่อนลงเล็กน้อย แสงสีขาวที่แผ่ออกมา จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าบนเหรียญทองแดงเหมือนมีเส้นด้ายแห่งโชคชะตาที่บอกไม่ถูกยืดยาวออกไปยังที่ไกลแสนไกล
จ้าวเฟิงยื่นเกราะแขนออกมา ค่อยๆ ขยับ ในขณะนั้นเอง เหรียญทองแดงพลันสาดแสงออกมาน้อยๆ อีกครั้ง ก่อนจะอับแสงลง
พลังในเหรียญทองแดงเหมือนถูกใช้ไปจนหมดแล้ว
“ที่นั่นคือ ทิศเหนือ…”
จ้าวเฟิงเก็บเหรียญทองแดง ทอดสายตาไปยังทิศเหนือที่ไกลลิบ
เซียนซิงหมัวยืนอยู่เบื้องหลังตลอด เขาพอจะมองออกถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของจ้าวเฟิง คล้ายมีเรื่องหนักอึ้งในใจ จึงทอดถอนใจและไม่ไปรบกวน
“ผู้อาวุโสซิงหมัว พวกเรากลับไปกันเถอะ!”
ไม่นานนัก จ้าวเฟิงโบยบินออกมา
หลังจากกลับไปถึงตระกูลจี จ้าวเฟิงยังอยู่ในเขตเรือนพักที่เดิมในคราวก่อน ไปตำหนักส่วนตัวของเซียนซิงหมัวทุกวัน
ตอนนี้ เซียนซิงหมัวเปิดของสะสมส่วนตัวที่เขามีทั้งหมดให้กับจ้าวเฟิง
ทุกวันจ้าวเฟิงจะดำดิ่งลงไปในโลกเคล็ดวิชา ทฤษฎีวิญญาณและดวงตา บางครั้งเซียนซิงหมัวยังเข้าร่วมถกการยกระดับ ‘วิชาแยกวิญญาณ’ กับจ้าวเฟิงด้วย
ในวันหนึ่ง จ้าวเฟิงไปที่หอคอยดาราม่วงอีกครั้ง
ตอนนี้จ้าวเฟิงได้รับคุณสมบัติผ่านเข้าออกระยะยาวของหอคอยดาราม่วงแล้ว
ควรรู้ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีเพียงผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลจีเท่านั้นถึงจะได้รับคุณสมบัติประเภทนี้