Skip to content

King of Gods 1102

King Of Gods

บทที่ 1102 ซินอู๋เหินที่ปรากฏตัวอย่างฉับพลัน

ในช่วงเวลาสำคัญสุดท้าย ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ บนทางเดินแสงต่างทุ่มเทแรงทั้งหมดทะยานไปข้างหน้า ถึงขั้นหยิบเอาไพ่ตายส่วนหนึ่งออกมา เตรียมการทุ่มกำลังครั้งสุดท้าย

พรึ่บ!

มังกรวารีล้างโลกาที่อยู่ด้านหน้าสุด ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยเพลิงมังกรดั้งเดิมที่เผาไหม้รุนแรง พุ่งทะยานไปด้านหน้าอย่างไม่สนใจสิ่งใด

“บุก!” แววตาจ้าวเฟิงเพ่งมอง

วู้ม พรึ่บ!

ภายในร่างจ้าวเฟิงทะลักพลังวายุอัสนีที่น่ากลัว ในนั้นแฝงด้วยพลังอัสนีเทวะจำนวนมาก สามารถต้านทานสายฟ้าสีแดงในทางเดินแสงได้

จ้าวเฟิงสำแดงวิชาปีกอัสนีโบยบิน ประหนึ่งแสงสีทองแดงสายหนึ่งทะลวงผ่านในทางเดินแสง ทิ้งครึ่งเทพหลายคนไว้ด้านหลังทันที

สามารถพูดได้ว่า กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงต้านทานอัสนีบาตได้แข็งแกร่งที่สุด อีกทั้งในเวลานี้ จ้าวเฟิงยังเคลื่อนพลังอัสนีเทวะทั้งหมดในกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์และแสงวนพลังศักดิ์สิทธิ์ มาต้านทานสายฟ้าแดงในทางเดินแสง

ในเวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงโคจรดวงตาเทพเจ้าจนถึงขีดสูงสุด จนร่างกายเปล่งประกายอยู่ตลอดทาง และหลบหลีกกลุ่มแสงพลังเทพที่ร่วงลงมาจากด้านบน

ยิ่งเข้าใกล้กลุ่มแสงขนาดใหญ่เบื้องหน้า กลุ่มแสงพลังเทพที่ร่วงลงมาก็ยิ่งแน่นขนัดมากขึ้น จุดเด่นของยอดฝีมือที่ชำนาญด้านความเร็วค่อยๆ ปรากฏให้เห็น

“มังกรวารีล้างโลกาชำนาญเสวียนอ้าวทำลายล้าง รวดเร็วอย่างมาก!”

“หืม? เจ้ามนุษย์คนนี้เองก็ชำนาญเสวียนอ้าวทำลายล้างด้วยเช่นกัน!”

คนกลุ่มหนึ่งที่พุ่งทะยานอยู่ด้านหน้าสุดอดทอดถอนใจไม่ได้

“พลังอัสนีเทวะ?”

ราชาเซียนสังสารวัฏมองจ้าวเฟิงด้วยความตื่นเต้นยินดี

“ลำแสงดับสูญ!”

ดวงตาสองข้างของครึ่งเทพพั่วเมี่ยเปล่งแสงทองระยิบระยับ ในดวงตาที่ราวกับดวงอาทิตย์สีทองสาดซัดลำแสงแสบตาชวนสะพรึงขวัญ พลังทำลายล้างที่ทำให้คนต้องหวาดกลัวแผ่กระจาย แต่ว่าสายฟ้าสีแดงที่เจอระหว่างทางก็น่ากลัวเกินจะเปรียบเช่นกัน

วูบ! ดวงตาทั้งสองของครึ่งเทพพั่วเมี่ยสาดลำแสงสีทอง ปะทะเข้ากับสายฟ้าแดงที่ร่วงลงมาไม่หยุดด้านหน้า

วิธีการที่เขาใช้มุ่งไปข้างหน้าแตกต่างกับวิธีของผู้แข็งแกร่งคนอื่น ผู้ครอบครองเนตรดับสูญใช้วิธีการทำลายล้างระดับสูง กวาดล้างทุกอุปสรรคที่ขวางหน้า ทว่าตัวครึ่งเทพพั่วเมี่ยเองก็ไม่ชำนาญการป้องกันและความเร็ว

ตลอดทางที่ผ่านมา ครึ่งเทพพั่วเมี่ยใช้วิธีการนี้มาตลอด ส่งผลให้พลังดวงตาของเขาหมดไปเป็นจำนวนมาก พลังของเนตรดับสูญจึงลดลง ความเร็วในการเดินทางจึงช้ากว่ามังกรวารีล้างโลกาและจ้าวเฟิง

“น่าชังนัก เจ้ามนุษย์และมังกรดำ!”

ครึ่งเทพพั่วเมี่ยเผยสีหน้าหงุดหงิด

ครึ่งเทพพั่วเมี่ยผู้ชำนาญเสวียนอ้าวทำลายล้างที่สุด

คิดไม่ถึงว่าจะโดนมังกรวารีล้างโลกาและจ้าวเฟิงนำไป นี่ทำให้ในใจของเขารู้สึกไม่สงบนัก

ฟุ่บ!

มังกรวารีล้างโลกาทะลวงไปเป็นคนแรก ผ่านม่านแสงสีขาวบนพื้นผิวของแสงทรงกลมขนาดยักษ์ และเข้าไปภายในนั้น

จากนั้นจ้าวเฟิงถึงเข้าไปในแสงทรงกลมจากอีกด้านหนึ่ง

“ให้เจ้ามนุษย์นั่นเข้าไปก็ไม่เป็นอะไร แต่ที่สำคัญคือมังกรวารีล้างโลกา!”

“เจ้าเดียรัจฉานนั่นมีท่าทีผิดปกติอยู่ หรือว่าจะได้อาวุธเทพชั้นรองประเภทช่วยเหลืออะไรในร่างเทพมา?”

“ถ้าปล่อยให้มังกรวารีทมิฬได้โอกาสมหาศาลจากภายในนั้นก็แย่แล้ว!”

ผู้แข็งแกร่งจากราชวงศ์ทั้งสองสนใจมังกรวารีล้างโลกาที่เข้าไปภายในแสงลี้ลับเป็นคนแรกอย่างยิ่งยวด

พรึ่บ!

หลังจากผ่านม่านแสงสีขาวไปแล้ว ทิวทัศน์ที่ปรากฏตรงหน้าจ้าวเฟิงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน

สิ่งที่ลอดเข้ามาในครรลองสายตาก็คือสิ่งปลูกสร้างแปลกประหลาดประเภทต่างๆ ทั้งเรือนพัก ตำหนัก พระราชวัง ศาลาและอื่นๆ

สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดจัดวางอยู่ในมิติอย่างไร้ระเบียบ ยกตัวอย่างเช่น เหนือศีรษะจ้าวเฟิงมีตำหนักขนาดยักษ์ที่กลับด้าน ภายในมีสิ่งปลูกสร้างที่มีรูปแบบแปลกประหลาดต่างๆ

“นั่นมันดาวตกเก้าดารา!”

แววตาของจ้าวเฟิงพลันจ้องไปที่บันไดของเรือนหลังหนึ่ง

ดาวตกเก้าดาราเป็นสมบัติในตำนานของดินแดนทวีป เป็นแร่ผลึกที่ใช้สร้างอาวุธชั้นนภาคุณภาพดีเยี่ยม ว่ากันว่าในท้องพระคลังของราชวงศ์ต้าเฉียนก็มีเพียงแค่ชิ้นเดียว ขนาดประมาณกำปั้น

แต่ขั้นบันไดที่จ้าวเฟิงจ้องอยู่ตอนนี้สร้างจากดาวตกเก้าดารา มีขนาดพอๆ กับร่างกายของชายฉกรรจ์คนหนึ่ง

“แร่ผลึกที่ล้ำค่าขนาดนั้น เป็นเพียงแค่บันไดของบ้านหลังนี้!”

จ้าวเฟิงใจเต้นรุนแรง โคจรดวงตาซ้ายเพื่อประเมินพื้นที่อื่น

หลังจากสังเกตอย่างละเอียดแล้ว จ้าวเฟิงค้นพบว่าของตกแต่งเล็กน้อยของที่นี่ แทบทุกอย่างสร้างจากวัสดุล้ำค่าที่ไม่ด้อยไปกว่าดาวตกเก้าดาราเลยแม้แต่น้อย

วัสดุหลักของก่อสร้างอย่างเช่นบ้าน ตำหนัก พระราชวัง จ้าวเฟิงไม่รู้จักแม้แต่ชิ้นเดียว แต่กลิ่นอายน่าสะพรึงขวัญและแสงประหลาดที่สาดออกมา ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่ามูลค่าของวัสดุเหล่านี้อยู่เหนือกว่าดาวตกเก้าดาราหลายเท่าตัว

“ที่แท้ลำแสงเจิดจ้าบนผิวแสงทรงกลมขนาดยักษ์แผ่มาจากสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้!”

จ้าวเฟิงอุทานอย่างตกใจ

ตอนที่ทะยานไปบนทางเดินแสง ทุกคนทำได้เพียงเห็นทิวทัศน์ภายในแค่เลือนรางผ่านแสงพร่างพรายนั้น แต่ประกายแสงเหล่านั้น ที่จริงแล้วสาดออกมาจากสิ่งปลูกสร้างภายในต่างหาก

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยน้อยปรากฏกายขึ้นบนบ่าจ้าวเฟิง ดวงตาราวอัญมณีสีดำเปล่งประกาย

“สถานที่ล้ำค่าเช่นนี้ เมื่อนำของตกแต่งชิ้นหนึ่งจากสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ออกไปที่โลกภายนอก จะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าควรเมือง!”

จ้าวเฟิงยืนนิ่งกับที่ ตื่นตะลึงอย่างยิ่ง

แต่เขาโยนความคิดในใจทิ้งไป สงบความตื่นเต้นในใจอย่างรวดเร็ว

หลังจากได้รับโอกาสในคฤหาสน์ลับเทพบรรพกาล จ้าวเฟิงจึงเข้าใจ บรรดาของล้ำค่าที่เขามองเห็นในตอนนี้ ในสายตาของเจ้าของร่างเทพอาจเป็นสิ่งของธรรมดาทั่วไปที่ไร้มูลค่าใดๆ

แต่สมบัติและโอกาสที่แท้จริงจะต้องซุกซ่อนอยู่ในสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้แน่

“ออกไปจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน!” จ้าวเฟิงเอ่ยขึ้นทันที

เขาและมังกรวารีล้างโลกาเป็นคนกลุ่มแรกที่มาถึงที่นี่ ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ก็ทยอยมาถึง

ยามนี้ ผู้แข็งแกร่งต่างเผ่าพันธุ์แทบทั้งหมดจับจ้องจ้าวเฟิง ขอแค่สบโอกาสจะต้องทำร้ายจ้าวเฟิงแน่นอน

ฟึ่บ! ในขณะที่จ้าวเฟิงโบยบินผ่านสิ่งปลูกสร้างประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วน

เขาใช้มนตราอากาศทิ้งสัญลักษณ์มิติเอาไว้หลายจุด เพื่อรับมือกับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น

“สิ่งปลูกสร้างจำนวนมากเช่นนี้ ในแต่ละแห่งน่าจะมีโอกาสชั้นสูงอยู่!”

จ้าวเฟิงรู้สึกลายตาอยู่บ้าง

เวลาทุกนาทีล้ำค่า จ้าวเฟิงจำต้องเลือกสิ่งปลูกสร้างที่อาจจะมีโอกาสและสมบัติชั้นยอดซุกซ่อนอยู่

แต่สิ่งปลูกสร้างที่นี่มีมากอย่างยิ่ง ทำให้จ้าวเฟิงไม่อาจเลือกได้ทันที

กริ๊ง กริ๊ง!

เจ้าแมวขโมยน้อยโยนเหรียญทองแดงหลายเหรียญออกมา จากนั้นก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง

แต่ตอนนี้ ดวงตาของจ้าวเฟิงก็มองไปทิศทางหนึ่งเช่นกัน ซึ่งเป็นทางเดียวกับที่เจ้าแมวขโมยชี้นำไป

“ที่นั่นคือ?”

ด้านหน้าที่อยู่ไกลลิบจากจ้าวเฟิง มีตำหนักขนาดยักษ์ที่สร้างจากหินสีทองคำขาวเก่าแก่โบราณ โอ่อ่ายิ่งใหญ่

ตำหนักสีขาวทองโปร่งแสง ทั่วทั้งตำหนักเปล่งรัศมีสีต่างๆ ที่สว่างเจิดจ้าเกินจะเปรียบ ทำให้คนมองไม่เห็นสถานการณ์ภายใน

ฟุ่บ!

จ้าวเฟิงโบยบินไปทางตำหนักทองคำขาวหลังใหญ่ ไม่นานเท่าไหร่นัก จ้าวเฟิงก็เดินทางมาถึงพื้นที่ใกล้เคียงตำหนักมโหฬารแห่งนี้

“ช่างเป็นกลิ่นอายพลังเทพที่แข็งแกร่งเหลือเกิน!”

ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ กลิ่นอายพลังเทพที่โหมซัดปั่นป่วนก็พวยพุ่งมา ทำให้จ้าวเฟิงไม่อาจเข้าไปใกล้ได้

“โอกาสในตำหนักแห่งนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน!”

จ้าวเฟิงใจเต้นรัว พยายามเข้าใกล้ตำหนักทองคำขาวแห่งนี้สุดความสามารถ

จำนวนสิ่งปลูกสร้างภายในมิติแห่งนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน จ้าวเฟิงเตร็ดเตร่ไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่เจอสิ่งปลูกสร้างแห่งไหนมีกลิ่นอายพลังน่ากลัวขนาดนี้ แถมยังสาดกลิ่นอายพลังเทพที่แข็งแกร่งออกมาด้วย

อีกทั้งขนาดของตำหนักแห่งนี้ก็เป็นสิ่งปลูกสร้างใหญ่ที่สุดที่จ้าวเฟิงเคยเห็นมา อิฐและหินทุกก้อนล้วนเป็นหินแร่ประหลาดที่จ้าวเฟิงไม่รู้จักทั้งสิ้น หากบอกว่าที่นี่ไม่มีสมบัติหรือโอกาส จะตีให้ตายอย่างไรจ้าวเฟิงก็ไม่เชื่อ

พรึ่บ แซ่ด!

จ้าวเฟิงโคจรกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ทะลวงไปด้านหน้าเป็นระยะทางหนึ่ง

“ทางเข้าตำหนัก!”

จ้าวเฟิงใช้พลังทั้งหมดกระตุ้นกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ เข้าไปใกล้ทางเข้าตำหนักทองคำขาวโปร่งแสงหลังนั้น

หลังจากเพียรพยายามไปช่วงหนึ่ง จ้าวเฟิงมาถึงทางเข้าได้สำเร็จ

ฟิ้ว! จ้าวเฟิงโคจรพลังทั่วร่าง ฟาดลงบนประตูทองคำขาว

“เปิดประตูไม่ได้งั้นหรือ?”

ใจจ้าวเฟิงพลันหนักอึ้ง

จากนั้นจ้าวเฟิงจึงทดลองวิธีหลากหลายประเภท และยังไม่ได้ผลอะไร

ขวับ! ในมือจ้าวเฟิงปรากฏมุกผลึกโลหิตเม็ดหนึ่ง

จ้าวเฟิงขับเคลื่อนพลังเทพโลหิตส่วนหนึ่งในนั้นเข้าไปในฝ่ามือ และฟาดลงบนประตูทองคำขาว

แต่ประตูใหญ่ของตำหนักแห่งนี้กลับไม่เขยื้อนแม้แต่น้อย และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดแม้แต่น้อย

“กระทั่งพลังเทพยังไม่ได้เลย!”

จ้าวเฟิงผิดหวังเล็กน้อย

ในฐานะที่เป็นคนมาถึงที่นี่ก่อน เขาจะมีโอกาสที่ผู้แข็งแกร่งคนอื่นไม่มี

เดิมจ้าวเฟิงคิดว่าเขาเจอสถานที่ที่มีโอกาสมหาศาลแล้ว แต่ตอนนี้ประตูบานใหญ่ของตำหนักแห่งนี้กลับปิดสนิท เขาสูญเสียโอกาสแรกของตนเองไปแล้ว

“ดูไปแล้วโอกาสน่าจะขึ้นอยู่กับโชคชะตาด้วย!”

จ้าวเฟิงสงบจิตใจอย่างรวดเร็ว

จากโครงสร้างและกลิ่นอายพลังของตำหนักแห่งนี้ ต่อให้จ้าวเฟิงสามารถเข้าไปภายในได้ ก็คงจะไม่ได้สมบัติอะไรจากข้างใน

“ข้างในมีอะไรกันแน่?”

จ้าวเฟิงเตรียมจะถอดใจกับตำหนักแห่งนี้ แต่ก่อนที่จะจากไป จ้าวเฟิงอยากลองสำรวจสักหน่อยว่าที่สุดแล้วด้านในตำหนักแห่งนี้มีหน้าตาเป็นอย่างไร มีสมบัติล้ำค่าอะไรบ้าง

พรึ่บ! ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงปกคลุมด้วยคลื่นสีทองอ่อน

ฟู่! สายตาของเขาเริ่มมองทะลวงผ่านกลิ่นอายและรัศมีต่างๆ เข้าไปภายในตำหนัก

แต่ทว่า หลังจากที่จ้าวเฟิงมองผ่านสิ่งต่างๆ ไปได้ระยะหนึ่ง ก็ไม่สามารถมองต่อไปได้อีก

“เหมือนจะไม่มีสมบัติล้ำค่าอะไรเป็นพิเศษ!”

จ้าวเฟิงตกใจเล็กน้อย ภายในตัวตำหนักเหมือนจะไม่มีสมบัติล้ำค่าอะไร มีเพียงบริเวณใจกลางเหนือตำหนักมีกลุ่มแสงพลังเทพที่ชวนให้ใจผวา แสบตาอย่างมาก

พรึ่บ! จ้าวเฟิงใช้พลังทั้งหมดกระตุ้นลูกทรงกลมสีทองลี้ลับในมิติดวงตาซ้าย

ดวงตาสองข้างของเขาปกคลุมด้วยลายคลื่นสีทองอ่อนที่ยิ่งลึกล้ำขึ้นอีกครั้ง สายตาจ้าวเฟิงจับจ้องไปยังกลุ่มแสงพลังเทพภายในตำหนัก และมองทะลุผ่านเข้าไปอีกขั้น

ในวินาทีหนึ่ง ทั่วร่างของจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน ดวงตาสองข้างหรี่เล็ก

“เงาคนผู้หนึ่ง!”

จ้าวเฟิงไม่อาจเชื่อได้เลยว่าใจกลางกลุ่มแสงพลังเทพในตำหนักกลับมีเงาร่างคนที่เลือนราง

นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน? หรือว่าคนผู้นี้ก็คือเจ้าของร่างเทพ?

เหงื่อเย็นไหลโซมทั่วร่างจ้าวเฟิง ครุ่นคิดไปต่างๆ นานา

ในขณะที่จ้าวเฟิงเตรียมตัวจะจากไป นัยน์ตาของเงาร่างคนผู้นั้นลืมขึ้นทันที

“หืม? จ้าวเฟิง!” เสียงประหลาดเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวจ้าวเฟิง

“ซินอู๋เหิน!” จ้าวเฟิงยืนอึ้งอยู่กับที่ ใบหน้าตะลึงค้าง

จ้าวเฟิงคุ้นเคยเสียงนี้เป็นอย่างดี

แต่เงาร่างคนในกลุ่มแสงพลังเทพ จะเป็นซินอู๋เหินได้อย่างไรกัน?

ทันใดนั้นเอง จ้าวเฟิงก็คิดได้ว่าการปรากฏขึ้นของร่างเทพในตอนนั้น เหมือนเป็นเพราะซินอู๋เหินทำอะไรบางอย่างลงไป

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จ้าวเฟิงจึงคิดมาตลอดว่าซินอู๋เหินถูกพลังเทพที่ทะลักออกมาจากใต้พิภพทำลายไปจนหมดสิ้น

คิดไม่ถึงเลยว่าซินอู๋เหินจะมาอยู่ที่นี่!

ยามนี้จ้าวเฟิงเข้าใจแล้ว ทางเดินแสงที่เขามองเห็นในตอนแรกอาจเป็นเส้นทางที่ซินอู๋เหินเคยเดินมาก่อน

ที่แท้ซินอู๋เหินมาถึงที่นี่ก่อนคนอื่นนานแล้ว

“จ้าวเฟิง เวลาไม่มากนัก สิ่งปลูกสร้างทุกแห่งที่นี่ล้วนแต่เป็นโอกาส เลือกเอาจากความรู้สึกของเจ้าเถอะ!”

เสียงเรียบๆ ของซินอู๋เหินดังขึ้นในหัวจ้าวเฟิง แต่ในเวลานี้เอง ปรากฏร่างคนขึ้นในที่ไม่ไกลนัก

“ครึ่งเทพโยวหลงฝ่ายต่างเผ่าพันธุ์!”

ทั่วร่างจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน หวาดกลัวอย่างยิ่ง

ครึ่งเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกต่างเผ่าพันธุ์คือครึ่งเทพโยวหลงผู้อาวุโสสูงสุดแห่งลัทธิเมืองมืด ว่ากันว่าเขาครอบครองสายเลือดวิถีราชาที่น่ากลัวลำดับแรก

“ลาก่อน!”

ในเวลานี้ จ้าวเฟิงไม่มีเวลาพูดคุยกับซินอู๋เหินต่อแล้ว

ถ้าหากถูกครึ่งเทพโยวหลงจับไว้ได้ ถึงจ้าวเฟิงจะมีมนตราอากาศและศรสังหารเทพก็ยังยากจะหนีพ้น

ขวับ! จ้าวเฟิงโบกมนตราอากาศบนแขนซ้าย ร่างที่อยู่ในเงาสีเงินเข้มหายวับไป

“ภยันอันตรายกำลังจะมาถึง นี่ถือว่าเป็นค่าชดเชยส่วนหนึ่งที่ข้าให้แก่พวกเจ้า ต่างคนต่างหาโอกาสเอาเองแล้วกัน!”

หลังจ้าวเฟิงจากไปแล้ว ซินอู๋เหินถอนหายใจอยู่ภายในตำหนัก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!