Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 177

ตอนที่ 177

ใช้จุดแข็งของมัน

ดวงตาเมิ่งฮ่าวหดแคบลง เมื่อเขาได้ยินคำพูดนั้น

“ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่มันกลืนเข้าไป ไม่ได้ถูกย่อยสลาย แต่เป็นการเก็บสะสม?”

“พยายามจะหลอกข้า? ฝันไปเถอะ หือ” น้ำเสียงของผีโต้งเริ่มสุขุมขึ้น “เด็กน้อย, เจ้าได้เดินไกลลงไปยังเส้นทางของความชั่วร้าย จงสำนึกผิด แล้วเจ้าจะปลอดภัย”

“การที่จะเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ ทำให้เจ้าดูน่าประทับใจเป็นอย่างมาก” เมิ่งฮ่าวพูดอย่างร่าเริง เขายังคงคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ผีโต้งเพิ่งจะพูดไปเมื่อครู่นี้ และคิดว่ามันหมายถึงอะไร เขาต้องหาทางหลอกล่อให้ผีโต้งสำรอกเอาแผ่นหยกออกมาให้ได้

“น่าประทับใจเป็นอย่างมาก? ไม่จำเป็นแม้แต่จะไปคิดถึงมัน สิ่งที่มีผลกระทบกับข้ามากที่สุดในตลอดชีวิตของข้าก็คือสิ่งนี้!!” ผีโต้งดูเหมือนจะกัดฟันของมันจนแน่น มีเสียงปะทุดังออกมา และทันใดนั้น มันก็เปลี่ยนเป็น…

นกแก้วสีสันสดใส! มันมีขนาดประมาณครึ่งแขนของเขา แวววับแพรวพราวราวกับปกคลุมไปด้วยหยดน้ำฝน มันดูค่อนข้างผอมแห้ง มีจงอยปากโค้ง และดวงตาเป็นรูปสามเหลี่ยม มันมีนิสัยที่ค่อนข้างจะวิปริต และดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความไร้ศีลธรรม

มันยืนอยู่ที่นั่น ตรงหน้าเมิ่งฮ่าว มองมาที่เขาด้วยดวงตาสามเหลี่ยมท่าทางกวนๆ มันก้มหน้าลง และจิกลงไปบนร่างของมันเป็นบางครั้ง

เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้างไปยังนกแก้วตัวนั้น ในตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาไม่เคยเห็นนกที่มีท่าทางวิปริตเช่นนี้มาก่อน ดวงตาสามเหลี่ยม และขนที่มีสีสันสดใส ทำให้ร่างกายของมันดูแปลกเป็นอย่างยิ่ง

นกแก้วไอแห้งๆ ออกมา มองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยหางตา

“นี่เป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับข้ามากเป็นที่สุด เจ้านกบัดซบ ในชีวิตสุดท้ายของข้า ข้าไม่อาจทำให้มันยอมจำนนและเปลี่ยนแปลงมันได้ แต่ในชีวิตครั้งนี้ ข้าต้องเปลี่ยนมันให้ได้อย่างแน่นอน! นั่นเป็นเจ้าสิ่งมีชีวิตที่วิปริตและไร้ศีลธรรม ที่ชอบแต่พวกมีขน!!” เสียงของผีโต้งราวกับว่ามันกำลังกัดฟันอยู่ รูปลักษณ์และคำพูดเมื่อครู่นี้ ทันใดนั้น ก็ทำให้รูปแบบในตอนนี้ของมัน ดูเหมือนจะมีชีวิตจริงเป็นอย่างมาก

เมื่อได้เห็นนกแก้ว และได้ยินคำพูดนั้น ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เขาคิดย้อนกลับไปในวันที่เขาเกือบจะสวมหน้ากากสีโลหิต และก็ได้ยินเสียงนกร้องดังออกมาจากกระจกทองแดง

เขาคิดเกี่ยวกับกระจกทองแดง ชอบโจมตีสิ่งมีชีวิตที่มีขนอย่างเร่าร้อนได้อย่างไร จิตใจของเขาก็หมุนคว้างด้วยภาพเหตุการณ์มากมาย เขายังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่านกที่ผีโต้งพูดถึงอยู่เสมอคืออะไรกันแน่…?

เมิ่งฮ่าวลังเลชั่วครู่ ก่อนที่จะหยิบเอากระจกทองแดงออกมาจากถุงจักรวาล “เจ้ากำลังพูดถึงสิ่งนี้?” เขาถาม ทันทีที่มันปรากฎขึ้น ผีโต้งที่เป็นนกแก้วก็เต้นแร้งเต้นกาขึ้นมา ปีกกระพือไปมา มันพุ่งตรงไปจับกระจกทองแดงด้วยกรงเล็บ และเริ่มจิกลงไปอย่างดุร้าย

“บัดซบ! ใช่แล้ว นี่เป็นมัน ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นสาบของมันด้านใน ข้าจะจิกเจ้าให้ตาย เจ้านกฆาตรกรบัดซบ! จิกเจ้า! จิกเจ้า…!” ผีโต้งนกแก้ว ดูเหมือนจะกลายเป็นบ้าไป ขนของมันตั้งชัน ขณะที่มันบ่นพึมพำและจิกลงไปบนกระจกทองแดง

เมิ่งฮ่าวมองไปด้วยความงุนงง เขาคิดไปถึงตอนที่ได้ครอบครองกระจก และจากนั้นก็ตอนที่เขาค้นพบความสามารถของมัน จากเริ่มแรกในตอนนั้น เขาก็มักจะสงสัยเกี่ยวกับธรมชาติอันน่าประหลาดใจของมัน แต่ก็ไม่เคยพบเห็นเบาะแสใดๆ

เมิ่งฮ่าวรู้สึกราวกับว่า เขากำลังจะกลายเป็นบ้าไปอย่างรวดเร็วโดยผีโต้งนกแก้ว มันกำลังบ่นอย่างบ้าคลั่ง และแผ่รังสีความเกลียดชังออกมา เมิ่งฮ่าวรู้สึกว่าได้ระบายออกมาได้บ้าง ทันใดนั้น เขาก็ตั้งใจอย่างแรงกล้า ที่จะพบกับนกแก้วซึ่งอยู่ในกระจกทองแดงนี้

“นกแก้วนี้ต้องพิเศษไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ที่สามารถทำให้ผีโต้งมีโทสะได้มากมายเช่นนี้ บางทีเมื่อมันออกมา มันก็อาจจะช่วยจัดการผีโต้งให้ข้าได้” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย ขณะที่ทันใดนั้น เขาก็เริ่มเข้าใจ “ก่อนหน้านี้ เจ้าผีโต้งบอกว่า เมื่อข้าบรรลุถึงขั้นสร้างแกนลมปราณ นกแก้วก็จะออกมา ใช่หรือไม่? บางที…มันก็เหมือนกับอ๋าวเฉี่ยน ที่เป็นอาวุธวิญญาณเช่นเดียวกัน!”

“ทำไมเจ้าไม่ยอมตอบโต้กลับ? หือ?” ผีโต้งนกแก้วแผดเสียงออกมา ขณะที่จิกไปที่กระจก “ข้าไม่ยอมปล่อยเจ้าไปแน่ในครั้งนี้ ข้าจะต้องเปลี่ยนแปลงเจ้าให้ได้! ฮา ฮา ฮา! เจ้าไม่อาจออกมา เจ้าออกมาไม่ได้! ข้าสามารถเยาะเย้ยเจ้ามากเท่าไหร่ก็ได้ตามที่ข้าต้องการ และเจ้าก็ไม่อาจออกมา”

ผีโต้งตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น แต่ในตอนนั้นเองที่กระจก ทันใดนั้น ก็ขยับไปมา และผีโต้งก็ส่งเสียงร้องออกมา มันคลายกรงเล็บ และบินออกไป กระจกทองแดงบินไล่ตามไป ส่งลำแสงที่มองไม่เห็นโจมตีออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เมิ่งฮ่าวมองดูด้วยความชอบใจ ไม่ทำอะไรที่จะไปหยุดกระจกทองแดง แต่มันก็เกิดขึ้นรวดเร็วมาก ซึ่งก็ปรากฎว่าผีโต้งไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลย เขาโบกสะบัดแขนเสื้อ กระจกทองแดงก็กลับเข้าไปในถุงจักรวาล

ผีโต้งนกแก้วกระพือปีก ขณะที่บินกลับมายืนอยู่บนไหล่ของเมิ่งฮ่าว และมันก็เริ่มพูดพล่ามอยู่ข้างหูเขาเหมือนเช่นเคย

อย่างน้อยรูปแบบนี้ก็ดูดีกว่าหมวกที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ความต้องการที่จะบรรลุขั้นสร้างแกนลมปราณของเขาในตอนนี้เข้มข้นมากขึ้น เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่สนใจคำพูดเพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อยของผีโต้ง เขาบินไปในอากาศ และพุ่งตรงไปที่เส้นขอบฟ้า

“พิษที่อยู่ในตัวข้าเป็นปัญหาใหญ่” เขาคิด “ข้าต้องหาวิธีแทรกซึมเข้าไปในสำนักจื่อยิ่น และหาทางกลายเป็นศิษย์ของเจ้าโอสถจอมปีศาจให้ได้ ข้าถึงจะสามารถขจัดพิษนี้ได้ทั้งหมด” ดวงตาของเขาสาดประกาย ขณะที่บินต่อไป เขาคิดเรื่องนี้ครั้งสุดท้าย ตอนที่เขาอยู่ในเมืองที่ถูกควบคุมโดยสำนักจื่อยิ่น ต้นชุนชิวเพียงแค่ช่วยบรรเทาพิษนี้ และช่วยยืดเวลาออกไปได้บ้าง

มีทางเดียวที่จะกำจัดพิษนี้ออกไปได้อย่างแท้จริง ก็คือ ต้องเข้าไปในสำนักจื่อยิ่น

“นอกจากนั้น ถ้าข้าต้องการจะสร้างแกนสีทองที่สมบูรณ์ สิ่งแรกที่ข้าจำเป็นต้องมีก็คือ แกนสีม่วง การสร้างแกนสีม่วง ต้องใช้วิชาที่เหมาะสม ซึ่งวิชานั้นก็คือ ลมปราณม่วงบูรพา ของสำนักจื่อยิ่น!” เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว มันเป็นความคิดที่ดี แต่เขาก็ไม่อาจจะคิดหาวิธีแทรกซึมเข้าไปในสำนักจื่อยิ่นได้ เขามีเรื่องบาดหมางกับผู้คนมากมายในสำนักนั้น มีทั้งอู้ติงชิว และฉู่อวี้เยียน รวมถึงศิษย์อีกหลายคนที่เขาได้พบในแคว้นจ้าว ซึ่งคงเป็นศิษย์สายในของสำนักแล้วในตอนนี้อย่างแน่นอน

“ข้าจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวตน ข้าต้องหาวิธีที่จะกลายเป็นคนอื่น” เขาถอนหายใจออกมา เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการเพ้อฝันซึ่งควรจะลืมไปได้เลย ทันใดนั้น สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป เขามองไปยังถุงจักรวาล และดวงตาของสาดประกายความเฉลียวฉลาดออกมา

“หน้ากาก…ถ้าข้ามีหน้ากากที่เปลี่ยนใบหน้าได้ ข้าก็จะเข้าสำนักจื่อยิ่นได้ สำหรับหน้ากากนั้น…ข้าก็มีอยู่แล้ว! แต่ใครจะไปรู้ว่าหน้ากากนี้มีพลังเช่นนั้นหรือไม่? ยิ่งไปกว่านั้น พลังฝึกตนของข้าต้องอยู่ในขั้นสร้างแกนลมปราณ ก่อนที่ข้าจะสามารถใช้มันได้ ดังนั้น ถ้าหน้ากากไม่สามารถทำเช่นนั้นได้…” เขาค่อยๆ หันหน้าไปมองยังนกแก้วที่กำลังพูดพล่ามอยู่บนไหล่อย่างช้าๆ ดวงตาเขาส่องประกายออกมา

“เจ้ามองข้าเช่นนั้นทำไม?” ผีโต้งนกแก้วพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ จ้องมาที่เขา

เมิ่งฮ่าวไม่สนใจมัน เขาบินลงไปที่พื้น และนั่งขัดสมาธิ ตบไปที่ถุงจักรวาล และดึงหน้ากากโลหิตออกมา

ทันทีที่ผีโต้งเห็นหน้ากาก ดวงตาของมันก็เบิกกว้าง และกระพือปีกอย่างรุนแรง บินไปรอบๆ เมิ่งฮ่าวเป็นรูปวงกลม และส่งเสียงแผดร้องอันแหบแห้งออกมา

“นั่นคืออะไร? มันคืออะไร? สวรรค์! นั่นเป็นของชั่วร้ายอันใด? เด็กน้อย เจ้าได้เหยียบย่ำลงไปบนเส้นทางอันชั่วร้ายจนไกลมากไปแล้ว แต่ไม่ต้องกลัว ข้าสามารถช่วยดึงเจ้ากลับมาได้ ข้าจะเปลี่ยนแปลงเจ้า อี๋? ด้านในนั่นเป็นอะไร? ทำไมข้าถึงได้เห็นชายชรา? วาว! ชายชราผู้นี้ดูน่าอนาจใจยิ่งนัก เด็กน้อย เจ้าไม่อาจทำเช่นนี้ มันไม่ถูกต้อง มันไร้ศีลธรรม อี๋? ชายชราผู้นี้ได้ดำเนินการยึดครอง! เฒ่าชรา, นั่นมันไร้ศีลธรรม มันไม่ถูกต้อง…”

เมิ่งฮ่าวส่งจิตสัมผัสเข้าไปในหน้ากาก และมองเห็นอ๋าวเฉี่ยนสีโลหิตในทันที มันนอนหลับอยู่ที่นั่น ดูท่าทางโอ่อ่าเกรียงไกร และมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเหมือนจะไร้ขอบเขต เมิ่งฮ่าวมองไปที่มัน และสีหน้าของเขาก็เริ่มอ่อนโยนขึ้น

“เร็วเข้า ตื่นขึ้นมา…” เขากล่าวด้วยจิตสัมผัส ร่างของอ๋าวเฉี่ยนกระตุก และไออุ่นก็กระจายออกมา กล่าวตอบอย่างนุ่มนวล รอยยิ้มของเมิ่งฮ่าวอบอุ่นมากขึ้น และเขาก็คิดกลับไปยังทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้น ในช่วงการแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิต

“ข้ากำลังรอเจ้าตื่นขึ้นมา” เมิ่งฮ่าวกล่าวอย่างอ่อนโยน ดวงตาเขาแวบขึ้น ขณะที่มองไปยังธงสามแฉก เขารู้ดีว่าพลังฝึกตนของเขาตอนนี้ไม่ได้สูงพอที่จะใช้ธงนี้ได้ ทำได้เพียงส่งจิตสัมผัสเข้าไป และประทับมันให้เป็นของเขา

“สร้างแกนลมปราณ…ถ้าข้ากลายเป็นผู้เชียวชาญสร้างแกนลมปราณ ข้าก็จะสามารถใช้ธงนี้ได้…”

สุดท้าย, เมิ่งฮ่าวแตะไปที่ปรมาจารย์ตระกูลหลี่ด้วยจิตสัมผัสของเขา มันนั่งหดตัวอยู่ที่มุมด้านใน ร่างมันดูเลือนลางและโปร่งใส ใบหน้าของมันขาวซีด ดูเหมือนว่ามันอาจจะหายไปได้ทุกเมื่อ

ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปที่มัน มันเงยหน้าขึ้นและมองกลับมา สายตาของมันยังคงดุร้ายเหมือนเดิม น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

“มีคำถามที่ข้าไม่อาจหยุดคิดเกี่ยวกับมันได้” เมิ่งฮ่าวพูดเสียงราบเรียบ “เจ้าช่วยหลี่เต้าอีทำไม? ครั้งแรกที่ข้าเห็น เจ้าอยู่ในด่านที่หก และเจ้าก็เป็นรูปปั้น ครั้งที่สองที่ข้าเห็นเจ้า, เจ้ากลายเป็นโลหิตศักดิ์สิทธิ์ของหลี่เต้าอี ทำไม?”

ปรมาจารย์ตระกูลหลี่หัวเราะอย่างเย็นชา ไม่ยอมโต้ตอบ

“กลายเป็นว่าเจ้ายึดครองโลหิตศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทำให้ข้าอยากรู้นัก ก่อนที่จะครอบครองโลหิตศักดิ์สิทธิ์…เจ้าเป็นใคร!?” เสียงของเขาราบเรียบเหมือนเช่นเคย แต่เมื่อปรมาจารย์ตระกูลหลี่ได้ยินคำพูดของเขา จิตใจของมันก็สั่นสะท้าน ตัวตนของมันเป็นความลับสุดยอด และไม่มีใครรู้เบาะแสเกี่ยวกับมัน แม้เมิ่งฮ่าวจะคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างมันและหลี่เต้าอีได้ แต่รายละเอียดใดๆ ก็ยากที่จะสืบหา

ปรมาจารย์ตระกูลหลี่หัวเราะเสียงเหยียดหยัน “เจ้าต้องการรู้? อ้อนวอนข้าสักหนึ่งปี บางทีข้าอาจจะพิจารณาให้” มันไม่สนใจสิ่งใดๆ แม้แต่ความตาย หลังจากที่ได้เผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยวในเขตล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิตมานานถึงสี่พันปี มันก็มีเจตจำนงอันแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ แม้แต่วิธีการข่มขู่ของเมิ่งฮ่าวก่อนหน้านี้ ก็ไม่มีผลกระทบต่อมันเลยแม้แต่น้อยในตอนนี้

สีหน้าเมิ่งฮ่าวเรียบเฉยเหมือนเช่นเคย เขามองไปเป็นครั้งสุดท้าย ยังท่าทางอ่อนแอของปรมาจารย์ตระกูลหลี่ จากนั้นดวงตาเขาก็หรี่เล็กลง และดึงจิตสัมผัสกลับออกไป เขาจ้องไปยังหน้ากากสีโลหิต จากนั้นก็มองไปยังผีโต้ง

“เจ้าชอบการเปลี่ยนแปลงผู้คน, ใช่หรือไม่?” เมิ่งฮ่าวถาม

“ไม่” ผีโต้งกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าไม่ชอบเปลี่ยนแปลงผู้คน ข้าชอบเกลี้ยกล่อมพวกมัน เข้าใจหรือไม่? เกลี้ยกล่อม”

เมิ่งฮ่าวถอนหายใจ “ชายชราในหน้ากากนี้ มีชีวิตอยู่อย่างโหดเหี้ยมชั่วร้าย มันมีการแสดงออกที่ชั่วร้ายเป็นอย่างมาก และมันก็ไร้ศีลธรรมโดยสิ้นเชิง มันชอบข่มเหงผู้อ่อนแอ และเป็นผู้ที่เลวทรามมากมาโดยตลอด ข้าจับมันมา และขังมันไว้อย่างไร้ความเมตตา เพราะข้าต้องการจะตักเตือนมัน แต่เวทอาคมของมันก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ข้าไม่อาจชักจูงมันได้…” ก่อนที่เขาจะทันกล่าวจบ ดวงตาของผีโต้งนกแก้วก็เบิกโพลง และควันเริ่มออกมาจากตัวมัน

“เจ้ากล้า!? บุคคลเช่นนี้ต้องถูกข้าเปลี่ยนแปลงเท่านั้น! ข้าไม่ได้เกลียดสิ่งใดมากไปกว่าเจ้าคนชั่ว! ข้าต้องเปลี่ยนแปลงมัน!” ทันใดนั้น มันก็ดูมีความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ที่จะมีโอกาสได้เปลี่ยนแปลงคนเลวเช่นนี้ โดยไม่รอคำตอบจากเมิ่งฮ่าว ร่างของมันก็แวบขึ้น และเข้าไปในหน้ากากสีโลหิตทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!