บทที่ 1290 งานชุมนุมเนตรเทพเจ้า
จ้าวเฟิงทรุดกายนั่งลงขัดสมาธิในตำหนัก
ข้อมูล ‘วิชาพลังฟ้าประสานหนึ่ง’ ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในหัว
จ้าวเฟิงอ่าน ‘วิชาพลังฟ้าประสานหนึ่ง’ ดูคร่าวๆ แล้ว ถึงแม้ว่าวิชาจะยอดเยี่ยมนักและครอบคลุมกว้าง แต่จำเป็นต้องเลือกเสวียนอ้าวประเภทหนึ่งให้เป็นตัวเชื่อมระหว่างเสวียนอ้าวทั้งหมด แต่ระดับความแข็งแกร่งของเสวียนอ้าวประเภทนี้ จำเป็นต้องอยู่เหนือเสวียนอ้าวทั้งหมดที่เขามี
“ในเสวียนอ้าวทั้งหมดที่ข้ามี เสวียนอ้าวมิติแข็งแกร่งที่สุด!”
จ้าวเฟิงรู้ตัวดี เพราะชุดคลุมมิติจึงทำให้เสวียนอ้าวมิติของเขาอยู่เหนือกว่าเสวียนอ้าวห้าธาตุและวายุอัสนีที่เขาฝึกตนมาตลอด
‘วิชาพลังฟ้าประสานหนึ่ง’ ทั้งหมดมีหกขั้น ในขั้นที่หนึ่งมีเงื่อนไขคืออย่างน้อยๆ ต้องมีเสวียนอ้าวประเภทหนึ่งแตะขอบเขตพลังขั้นหก
ส่วนสัญลักษณ์ในขั้นที่สอง พลังเสวียนอ้าวที่จะเชื่อมโยงเสวียนอ้าวทั้งหมดต้องแตะขั้นหก ด้วยลักษณะเช่นนี้ทำให้ทุกครั้งที่วิชาก้าวหน้าขึ้นไปแต่ละขั้น พลังเสวียนอ้าวก็ต้องเพิ่มขึ้นไปอีกระดับขั้นด้วย ในขั้นที่ห้าจะเกี่ยวข้องกับการบรรลุพลังเสวียนอ้าวเป็นหลัก ต้องแตะขอบเขตพลังสมบูรณ์ขั้นเก้า ในขั้นที่หกถึงจะเป็นทะลวงขั้นจอมเทพ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าต้องฝึกฝนเสวียนอ้าวมิติเป็นหลักเสียแล้ว!”
จ้าวเฟิงพึมพำเสียงเบา
ดูท่าทางขอแค่เพิ่มระดับพลังเสวียนอ้าวมิติ ขั้นของวิชาก็จะเพิ่มขึ้นไปอย่างช้าๆ
แต่พลังของ ‘วิชาพลังฟ้าประสานหนึ่ง’ อยู่ที่พลังเสวียนอ้าวจำนวนมากพวกนั้น
ดังนั้นในตอนที่ฝึกเสวียนอ้าวมิติเป็นหลัก พลังเสวียนอ้าวอื่นๆ จะลดลงไม่ได้เช่นกัน จุดเด่นของวิชานี้ก็คือ พลังเทพรวมศูนย์แฝงด้วยลักษณะพิเศษของเสวียนอ้าวประเภทต่างๆ จึงแทบจะไม่ถูกพลังใดข่มได้ อีกทั้งตอนที่จ้าวเฟิงไปถึงขั้นสูงสุดสมบูรณ์ ยังสามารถอนุมานพลังบริสุทธิ์ออกมาได้ส่วนหนึ่ง น่าสนใจเป็นที่สุด
หลังจากที่อ่านเคล็ดวิชาอีกรอบแล้ว จ้าวเฟิงจึงเริ่มฝึกฝน
ขั้นแรก ฝึกเสวียนอ้าวมิติเป็นหลัก เพื่อยึดโยงพลังเสวียนอ้าวทั้งหมดเอาไว้ และหลอมรวมพลังเทพเข้าไปภายในจนกลายเป็นพลังเทพรวมศูนย์ ทั้งหมดนี้สำหรับจ้าวเฟิงแล้วไม่ใช่เรื่องยากอะไร
เพิ่งผ่านไปครึ่งชั่วยาม
ในรากฐานเทพของจ้าวเฟิงปรากฏพลังเทพเลือนรางหลากสีสันที่บิดเบี้ยว คุณภาพของมันสูงอย่างยิ่ง อยู่เหนือพลังเทพอัสนีเทวะห้าธาตุของจ้าวเฟิงก่อนนี้มาก
หนำซ้ำฝึกฝน ‘พลังฟ้าประสานหนึ่ง’ จ้าวเฟิงจำเป็นต้องหลอมรวมพลังในรากฐานเทพไม่หยุดหย่อน ต่างจาก ‘วิชาห้าธาตุ’ หากจ้าวเฟิงต้องการฝึกฝนมัน จำเป็นต้องขจัดพลังที่เหลือในรากฐานเทพให้หมดจด
พรึ่บ! จ้าวเฟิงกระตุ้น ‘พลังเทพรวมศูนย์’ ที่ตนเองเพิ่งสร้างได้ แสงรางเลือนกลุ่มหนึ่งบิดเบี้ยวไปมาที่เบื้องหน้าจ้าวเฟิง การเปลี่ยนแปลงของสีในพลังเทพรวมศูนย์ คล้ายคลึงกับการเปลี่ยนแปลงของผมสีเงินดุจความฝันของจ้าวเฟิง
“พลังเทพรวมศูนย์แข็งแกร่งกว่าเทพโบราณหลิวจินสองเท่าเป็นอย่างน้อย!”
จ้าวเฟิงสูดหายใจเข้าลึก
เขาสังเกตว่าพลังเทพกลุ่มนี้หนักหน่วงเหลือประมาณ จนสามารถดูดซึมพลังใดๆ ในฟ้าดินนี้ได้
ส่วนในตอนที่ใช้โจมตี ความน่าจะเป็นที่จะโดนข่มนั้นต่ำอย่างยิ่ง ถ้าหากเขาฝึกฝน ‘วิชาพลังฟ้าประสานหนึ่ง’ ก่อนนี้ เช่นนั้นแล้วตอนศึกเดิมพันระหว่างสองเผ่า เขาก็สามารถอาศัยพลังเทพกลุ่มนี้รับมือกับเทพโบราณหลิวจินได้อย่างซึ่งๆ หน้า
เมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของ ‘วิชาพลังฟ้าประสานหนึ่ง’ แล้ว จ้าวเฟิงจึงฝึกต่อ
สามเดือนต่อมา
ที่สุดแล้วจ้าวเฟิงจึงหลอมรวมพลังทั้งหมดในรากฐานเทพให้กลายเป็นพลังเทพรวมศูนย์ แต่พลังเทพรวมศูนย์กลุ่มนี้ยังไม่บริสุทธิ์นัก เป็นเพราะจ้าวเฟิงยังไม่ได้รวมเสวียนอ้าวทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์
“ถ้าหากระดับเสวียนอ้าวส่วนมากไม่ต่างกันนักจะผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ยิ่งกว่า!”
ในตอนที่จ้าวเฟิงสร้างพลังเทพรวมศูนย์ก็พบปัญหานี้ ยกตัวอย่างเช่นเสวียนอ้าวอัสนีและทองถึงขั้นห้า จึงสามารถเชื่อมโยงกันได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าหากเชื่อมเข้ากับเสวียนอ้าวธาตุไม้ที่อยู่ในขั้นสี่ก็จะไม่สมบูรณ์มากนัก
แน่นอนว่านี่ก็เกี่ยวกับเรื่องทักษะด้วย อย่างไรเสียจ้าวเฟิงเองก็ยังฝึกฝน ‘วิชาพลังฟ้าประสานหนึ่ง’ ได้ไม่นานนัก
ในตอนนี้ เป้าหมายของจ้าวเฟิงก็คือเพิ่มระดับของพลังเสวียนอ้าวทั้งหมดนอกเหนือจากเสวียนอ้าวเวลาให้ไปถึงขั้นห้า เช่นนี้แล้วอานุภาพของพลังเทพรวมศูนย์จึงจะเพิ่มขึ้นมาก
พรึ่บ! จ้าวเฟิงกลับมาที่ตำหนักผลึกห้าสีอีกครั้ง
เขาเพิ่งจะปรากฏตัวก็ได้ยินคนเอ่ย “จ้าวเฟิง ข้ายินดีเป็นข้ารับใช้ของเจ้า!”
จากนั้นปรากฏเงาคนคุกเข่าที่ด้านหน้าจ้าวเฟิง
“ยังมีใครอีกบ้าง?” จ้าวเฟิงกวาดตามองทุกคนในตำหนัก
ไม่นาน สิบกว่าคนก็ทยอยก้าวออกมาคนที่เหลืออยู่ตกอยู่ในสภาวะที่กำลังดิ้นรน ส่วนมากเป็นพวกมีขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งหนุนหลังทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่นปฐมเทพจื่อเย่และปฐมเทพกุยอี
“ข้าต้องการทรัพยากรจำนวนมาก พลังของตำหนักผลึกนี้จะอ่อนแอลงไปอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายก็จะหายไป!”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
ตำหนักหลังนี้เกิดจากการรวมตัวกันของผลึกเสวียนอ้าวจำนวนนับไม่ถ้วน และทุกครั้งที่จ้าวเฟิงมาเขาก็จะเก็บเกี่ยวผลึกเสวียนอ้าวจำนวนมากไป ความสามารถของตำหนักผลึกห้าสีหลังนี้ไม่เหมือนก่อนนานแล้ว หากไม่ใช่เพราะจ้าวเฟิงผู้เป็นคนควบคุม ปฐมเทพและเทพแท้จริงภายในนั้นคงจะหนีออกไปได้นานแล้ว
เมื่อได้ยินประโยคนี้ คนจำนวนไม่น้อยยินดีอย่างยิ่ง
ทันทีที่โครงสร้างของตำหนักห้าธาตุถูกทำลายลง พวกเขาก็จะมีโอกาสหนีออกไปได้ แต่คนจำนวนมากกว่ากลับมีสีหน้าหนักใจ รีบเดินออกมา จำใจยอมเป็นข้ารับใช้ของจ้าวเฟิง
“เพราะโครงสร้างตำหนักแห่งนี้จะสลายไปแล้ว ดังนั้นข้าอาจจะสังหารพวกเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้!”
เสียงเย็นชาของจ้าวเฟิงดังมา
สำหรับเขาแล้ว ในตอนนี้จะสังหารคนเหล่านี้หรือไม่ก็ไม่ต่างกัน
ถ้าหากอีกฝ่ายรู้จักประเมินสถานการณ์ จ้าวเฟิงจะให้ทางรอดพวกเขาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้
“จ้าวเฟิง เจ้าช่างกล้า!” ปฐมเทพและเทพแท้จริงของตำหนักรัตติกาลม่วงมีสีหน้าตื่นตระหนก ร้องตะโกนทันใด
แววตาของจ้าวเฟิงสาดประกาย โบกฝ่ามือไป พลังเทพขมุกขมัวหลากสีสายหนึ่งพุ่งออกไปดุจกระสุนโลหะ
โครม ฉัวะ! เทพแท้จริงขั้นห้าของตำหนักรัตติกาลม่วงผู้หนึ่งถูกพลังเทพรวมศูนย์ทะลวงผ่าน ร่างกายและวิญญาณสลายไปพร้อมกัน
ส่วนพลังเทพรวมศูนย์ที่จ้าวเฟิงปลดปล่อยออกมานั้นปะทะเข้าที่กำแพงผลึกด้านหลัง จนผลึกเสวียนอ้าวหลุดร่วงลงมาหลายชิ้น
เฮือก! ทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบทันที
เมื่อครู่คนของตำหนักรัตติกาลม่วงพูดว่าจ้าวเฟิงไม่กล้า แต่ในวินาทีต่อมาเขาก็สังหารคนของฝ่ายนั้นทันที พลังของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งจนเกินไป จะสังหารเทพแท้จริงขั้นห้าก็ง่ายดายไม่ต่างอะไรกับการบี้มดปลวก
ในเวลาเดียวกัน พวกเขาถูกจ้าวเฟิงกักตัวเอาไว้นานแล้ว ไม่มีใครช่วยออกไป ส่วนจ้าวเฟิงไม่เพียงแต่มีชีวิตที่ดี พลังฝึกตนยังเพิ่มขึ้นสูงราวติดปีก นี่ทำให้พวกเขารู้สึกว่า หากไม่ยอมศิโรราบแก่จ้าวเฟิงก็จะออกไปไม่ได้ตลอดกาล
“ข้ายอมแพ้ต่อเจ้า!”
“ข้ายินยอมเป็นข้ารับใช้ของท่าน!”
เมื่อโดนคุกคามจากความตาย พวกเขาจึงเลือกยอมโอนอ่อนแต่โดยดี ในสายตาพวกเขา มีเพียงมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น ทั้งหมดถึงจะมีความเป็นไปได้ จนสุดท้ายแล้ว ขนาดคนของตำหนักรัตติกาลม่วงต่างก็ยอมแพ้ทั้งหมด
จ้าวเฟิงไม่พูดพร่ำทำเพลง จัดการนำคนพวกนี้เข้าไปในห้วงฝันบรรพกาล และมอบหมายให้จ้าววั่นจัดการ
จ้าววั่นและจ้าวหวังในตอนนี้ทะลวงขั้นเทพไปแล้ว ทั้งสองล้วนไปถึงเทพขั้นห้า แถมยังมีพื้นฐานยังมั่นคงอย่างยิ่ง บวกกับที่ตัวพวกเขาอยู่เผ่าพันธุ์กิเลนเพลิงโลหิต ตำแหน่งไม่ต่างจากคนในระดับผู้อาวุโสของเผ่าพันธุ์เท่าไหร่นัก จึงได้สวัสดิการที่ดีเลิศ เส้นทางในการฝึกตนจึงราบรื่นเกินจะเปรียบ
“นายท่าน มีอะไรที่ข้าสามารถช่วยท่านได้หรือไม่!” คนระดับสูงผู้หนึ่งของเผ่าพันธุ์กิเลนเพลิงโลหิตเอ่ยอย่างนบนอบ
“ข้าต้องการทรัพยากรฝึกเพื่อบรรลุเสวียนอ้าววายุอัสนี!”
จ้าวเฟิงพูดทันที
แต่เผ่าพันธุ์กิเลนเพลิงโลหิตไม่ฝึกฝนเสวียนอ้าววายุอัสนีแม้แต่น้อย ทรัพยากรประเภทนี้จึงมีน้อยนิดนัก
หลังจากที่จ้าวเฟิงเอาไปจนหมดแล้วก็ออกจากห้วงฝันบรรพกาล
“ไปดูที่พื้นที่แลกเปลี่ยนของเผ่าพันธุ์วิญญาณสักหน่อย!”
จ้าวเฟิงเดินออกจากตำหนัก
ไม่นาน เขาก็มาถึงพื้นที่แลกเปลี่ยนอันครึกครื้น พื้นที่แลกเปลี่ยนแห่งนี้มีไว้เพื่อให้ศิษย์ในเผ่าพันธุ์วิญญาณแลกเปลี่ยนสิ่งของกัน
หลักๆ จ้าวเฟิงมาที่นี่เพื่อทรัพยากรสำหรับบรรลุเสวียนอ้าววายุอัสนี ส่วนของที่จะเอาออกมาแลกเปลี่ยน จ้าวเฟิงเลือกผลึกเสวียนอ้าวห้าธาตุออกมา อย่างไรเสีย พลังเสวียนอ้าวที่คนส่วนมากฝึกฝนนั้นจะเป็นหนึ่งหรือสองอย่างของเสวียนอ้าวห้าธาตุ
ของอย่างผลึกเสวียนอ้าวมีน้อยนิดนัก ผลึกเสวียนอ้าวของจ้าวเฟิงก็สูงค่าเป็นที่สุด
ตอนนี้จ้าวเฟิงหยิบมันออกมา ก็ดึงดูดคนของพื้นที่แลกเปลี่ยนให้เข้ามาแย่งกันซื้อและสอบถามราคา
“ข้าแลกเปลี่ยนทรัพยากรสำหรับเสวียนอ้าววายุอัสนีเท่านั้น!”
จ้าวเฟิงกล่าวทิ้งท้ายแล้วยืนรอตรงนั้น
จากนั้นจึงมีคนเดินมาแลกเปลี่ยนทรัพยากรกับเขาไม่หยุด หลังจากที่จ้าวเฟิงได้สิ่งของมาจำนวนหนึ่งแล้วก็เดินทางจากไป
“จริงด้วย งานชุมนุมเนตรเทพเจ้าจะจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า แต่ข้ายังไม่รู้เลยว่ามันจัดที่ไหน”
จู่ๆ จ้าวเฟิงก็นึกอะไรออกในฉับพลัน หนำซ้ำเขาไม่คุ้นเคยกับงานชุมนุมเนตรเทพเจ้าแม้แต่น้อย หาคนไปด้วยกันน่าจะดีกว่า
เขาจึงเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งให้เซี่ยโหวอู่แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต
หลังจากกลับไปยังที่พักอาศัย จ้าวเฟิงก็พบว่าจ้าวหยูเฟยรออยู่ที่ด้านหน้าตำหนักเขานานแล้ว
“พี่เฟิง ท่านฝึกเป็นเพื่อนข้าที” จ้าวหยูเฟยเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส
จ้าวเฟิงอดนึกถึงตอนที่อยู่ในดินแดนทวีปไม่ได้ ทั้งสองมักจะประลองแลกเปลี่ยนฝีมือเพื่อช่วยกันเพิ่มพลังขึ้น แต่ในตอนนี้ความต่างของทั้งสองมีมากจนเกินไป จ้าวเฟิงโจมตีส่งๆ ก็สามารถเอาชนะจ้าวหยูเฟยได้ทันที
“ท่านต้องกดพลังฝึกตนเอาไว้ที่เทพแท้จริงขั้นห้า และห้ามใช้สายเลือดดวงตาด้วย!”
จ้าวเฟิงทำตามข้อเรียกร้องของจ้าวหยูเฟย และเริ่มประมือกัน
ผลสุดท้ายจ้าวเฟิงใช้พลังเทพแท้จริงขั้นห้าเอาชนะจ้าวหยูเฟยได้อย่างง่ายดายในไม่กี่กระบวนท่า โดยไม่ได้ใช้สายเลือดดวงตาด้วยซ้ำ
“พี่เฟิง พลังเทพของท่านกดไปจนถึงเทพแท้จริงขั้นที่ห้า ทำไมยังทรงพลังขนาดนี้?”
หลังสู้ไปหลายครั้ง จ้าวหยูเฟยหอบหายใจถาม
ในตอนที่ประลองฝีมือกัน จ้าวเฟิงใช้ได้แค่พลังเทพพื้นฐานเท่านั้น แต่จ้าวหยูเฟยกลับรับมือไม่ไหว ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวหยูเฟยยังมีสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณ พลังเทพของนางแข็งแกร่งกว่าเทพแท้จริงขั้นห้าทั่วไปมากนัก
“ข้าฝึกฝนวิชาที่เหนือกว่าขั้นเทพโบราณ ต่อให้ลดพลังเทพลงไปที่ขั้นที่ห้าก็ยังแข็งแกร่งมากอยู่ดี…”
จ้าวเฟิงเอ่ยพลางยิ้ม
พลังเทพของเขากลายเป็นพลังเทพรวมศูนย์นานแล้ว ต่อให้กดระดับขอบเขตพลังลงไป พลังเทพรวมศูนย์ในระดับเทพแท้จริงขั้นห้าก็แทบเป็นพลังเทพที่ไร้เทียมทาน
“ข้าจะตามท่านให้ทัน!”
ถึงแม้จ้าวหยูเฟยจะหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่จิตต่อสู้พลุ่งพล่าน
“หยูเฟย สามเดือนจากนี้ข้าจะเดินทางออกจากเผ่าพันธุ์วิญญาณไปชม ‘งานชุมนุมเนตรเทพเจ้า’ สักหน่อย”
จ้าวเฟิงบอกเรื่องนี้แก่นาง
ในตอนแรก งานชุมนุมเนตรเทพเจ้าอนุญาตให้ทายาทเนตรเทพเจ้าเข้าร่วมเท่านั้น ต่อมาจึงผ่อนปรนลง ขอแค่มีสายเลือดดวงตาก็เข้าร่วมได้แล้ว
จ้าวหยูเฟยคงจะเคยได้ยินเรื่องงานชุมนุมเนตรเทพเจ้า จึงรู้ว่าตนเองไปไม่ได้
สองเดือนให้หลัง
จ้าวเฟิงได้รับจดหมายที่ส่งมาจากเซี่ยโหวอู่แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต
ด้านบนเขียนสถานที่และเวลาในการจัดงานชุมนุมเนตรเทพเจ้า หนำซ้ำยังเชื้อเชิญจ้าวเฟิงให้เข้าร่วมงานพร้อมกับกลุ่มคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต
ไม่กี่วันจากนั้นจ้าวเฟิงจึงออกเดินทาง