บทที่ 1302 ความเคลื่อนไหวของไข่ที่กำลังฟักตัว
เผ่าเปลวทองเข้าไปในทางเดินเล็กๆ อย่างสะดวกราบรื่น
“ค่ายกลกลไกที่เป็นอุปสรรคในระหว่างทางถูกทำลายลงไปหมดแล้ว หากพวกเราเดินไปตามทางต่อคงยากจะได้อะไรมา!”
ชายชราชุดม่วงของเผ่าเปลวทองชะงักเล็กน้อย
“คนฝ่ายตรงข้ามไม่น่ามีจำนวนมากเท่าไหร่กระมัง!”
เทพโบราณหลิวจินเอ่ย
พวกเผ่าเปลวทองที่เดินทางมาครั้งนี้ส่วนมากเป็นเทพโบราณขั้นเจ็ด โดยมีเทพโบราณจวี้หลิงเทพโบราณขั้นแปดเป็นผู้นำ จากที่เทพโบราณหลิวจินบอกไว้ ในซากปรักหักพังแห่งนี้ยังไม่เคยปรากฏสมบัติที่ทำให้เทพโบราณผู้อยู่ในขั้นสูงกว่าใจเต้น
ยิ่งไปกว่านั้น ซากปรักหักพังแห่งนี้ยังอยู่ในอาณาเขตของขั้วอำนาจห้าดาวอย่างเทวาพฤกษาสมุทร เผ่าเปลวทองย่อมไม่กล้าบุ่มบ่ามพาผู้แข็งแกร่งขั้นสูงจำนวนมากเข้ามาในอาณาเขตของขั้วอำนาจห้าดาวอื่น เพราะจะยิ่งทำให้ซากปรักหักพังแห่งนี้แพร่งพรายออกไปมากขึ้น จนสุดท้ายแล้วเผ่าเปลวทองถึงได้ส่งกลุ่มเทพโบราณขั้นเจ็ดที่มีเทพโบราณขั้นแปดเป็นผู้นำมา
“ย่อมเป็นเช่นนั้น จากที่ข้าลองสังเกตดู ฝ่ายตรงข้ามไม่น่าจะมีเกินห้าคนหรอก”
ชายชราชุดม่วงยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม
“สิ่งที่พวกเขาได้มาจะต้องตกเป็นของเผ่าเปลวทองทั้งสิ้น!”
แววตาเทพโบราณจวี้หลิงทอประกายวิบวับ
คำพูดของเขามีความหมายที่เห็นได้ชัดยิ่ง
จากนี้จะค่อยๆ เดินทางเข้าไปด้านในช้าๆ เมื่อเจอคนอื่นก็จะลงมือสังหารและชิงสมบัติมา
มิติซากปรักหักพังแห่งนี้ไม่มั่นคง หากเทพโบราณขั้นเก้าเข้าไปแล้วจะอยู่รอดปลอดภัยในนั้นได้หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา ดังนั้นคนของเผ่าเปลวทองจึงคาดเดาว่า พวกเขาไม่น่าจะเจอเทพโบราณขั้นเก้าในนั้นแน่
พวกเขาเป็นเผ่าลำดับยี่สิบเอ็ดในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ มีจำนวนคนก็มาก แทบอยู่ในซากปรักหักพังแห่งนี้ได้อย่างสบายใจ…
……
บริเวณใต้ดิน จ้าวเฟิงและคนทั้งหมดเดินหน้าต่ออย่างระมัดระวัง
เมื่อเทียบกับเทพอสูรในบริเวณต่างๆ ที่รอบนอกซากปปรักหักพังแล้ว อันตรายภายในซากปรักหักพังแต่เป็นกับดักและกลไกมากกว่า
“มีกลิ่นอายประหลาด!” ในตอนนี้เอง จมูกของสตรีโฉมงามขยับฟุดฟิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้น
พอดีที่บริเวณไม่ไกลนักมีทางเดินสองทาง
“จากการกระจายตัวของกลไกที่นี่ ทิศนั้นน่าจะเป็นจุดสำคัญ”
เทพโบราณเฮยจี๋เปิดปาก ชี้ไปยังทิศทางเดียวกันกับที่สตรีโฉมงามนางนั้นได้กลิ่นลอยมา จากนั้นทุกคนจึงเปลี่ยนทิศทาง
เดินเข้าไปไม่นานนัก ทางเดินรอบด้านค่อยๆ กว้างขึ้น สุดท้ายก็ปรากฏประตูหินผลึกสีม่วงบานใหญ่ขึ้นด้านหน้า ประตูหินผลึกสีม่วงบานนี้เป็นบานประตูขนาดใหญ่ที่สุดที่ทุกคนเคยเจอมา
เมื่อมองผ่านปราการพลังบนประตูหินผลึกสีม่วงไป พอจะมองเห็นทิวทัศน์ด้านหลังได้รางๆ ภายในนั้นเป็นพื้นที่ทรงกลมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง รอบด้านมีกล่องผลึกจำนวนมากฝังไว้ ภายในกล่องมีดินหลากสี เหนือพื้นดินยังปลูกพืชพันธุ์ประเภทต่างๆ เอาไว้
นอกจากนี้แล้วยังมีเครื่องมือเครื่องใช้ขนาดใหญ่ที่ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่ามิติทรงกลมนี้มีส่วนที่เสียหาย สิ่งของมากมายภายในทรุดโทรมผุพัง
กล่องผลึกที่เลี่ยมฝังอยู่ทุกด้าน มีหลายกล่องถูกทำลายหรือไม่ก็เสียหายไป พืชดอกภายในนั้นแห้งเหี่ยวไปนานแล้ว เหลือก็เพียงใบไม้แห้งกรอบบางส่วนเท่านั้น แต่ยังมีกล่องผลึกอีกสองกล่องที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์
ทรัพยากรล้ำค่าบางส่วนในนั้นมีจิตวิญญาณทะลวงออกมา แถมยังสาดแสงสว่างประหลาด
“นั่นคือว่านสังสารวัฏ!” สตรีโฉมงามร้องเสียงหลงทันที
ในหมู่ทายาทแปดเนตรเทพเจ้า ผู้ที่ยากจะพัฒนาพลังฝึกตนที่สุดก็คือเนตรทำนาย รองลงมาก็คือเนตรสังสารวัฏ สาเหตุเพราะพลังที่ดวงตาทั้งสองประเภทมียากจะทำความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง
ยกตัวอย่างเช่นราชาเซียนสังสารวัฏที่เคยประมือกับจ้าวเฟิงยามอยู่ในดินแดนทวีป เขาสังหารคนผู้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ไม่หยุดเพื่อยกระดับพลัง และช่วงชิงเอาพลังสังสารวัฏมาจากร่างพวกเขา
“หลินจือศักดิ์สิทธิ์ ผลพันวัฏจักร!”
หลินเฉิงอู่ที่เย็นชามาตลอดยังเบิกตาโตเมื่อมองเห็นทรัพยากรหลายอย่างในมิติที่ซ่อนอยู่ด้านหลังปราการพลัง
“เทพโบราณเฮยจี๋ รีบทำลายปราการนี่เร็วเข้า!”
สตรีโฉมงามดูร้อนรนจนรอไม่ไหวแล้ว
ตลอดทางที่ผ่านมา สิ่งที่ทุกคนเจอเกี่ยวกับเสวียนอ้าวมรณะทั้งสิ้น แต่ในตอนนี้นางกลับเห็นสมบัติฝึกฝนที่ไขว่คว้าแม้แต่ในความฝัน
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงมองทะลุเห็นทุกสิ่ง เห็นสภาพในกล่องผลึกได้อย่างชัดเจน มั่นใจได้ว่าสิ่งของที่เห็นมีอยู่จริงๆ ในตอนนี้จ้าวเฟิงกำลังฝึกฝนเสวียนอ้าวประเภทต่างๆ สิ่งของในกล่องผลึกจึงมีประโยชน์อย่างมากกับเขา
“อย่ารีบร้อนไป ค่ายกลกลไกที่นี่ลึกล้ำกว่าที่ผ่านมามากนัก ไม่ได้แก้ได้เพียงชั่วครู่ยาม!”
เทพโบราณเฮยจี๋ที่ดูสงบนิ่งอย่างยิ่ง เขาหยิบเอาจานหินสีดำออกมา ก่อนจะตรวจตรากลไกซับซ้อนบนบานประตูหินผลึกสีม่วงอย่างละเอียด
“ถ้าหากที่นี่ไม่ถูกทำลาย ทรัพยากรฝึกฝนภายในนั้นคู่ควรจะเป็นสมบัติของเทพโบราณขั้นเก้าได้แล้ว…” สตรีโฉมงามตื่นเต้น ก่อนจะเอ่ยรำพึง
กล่องผลึกทั้งหมดในมิติแห่งนั้น นับๆ ดูแล้วน่าจะมียี่สิบกว่ากล่องเป็นอย่างน้อย แต่ต่างถูกทำลายไปแล้วจนสิ้น ตอนนี้จึงเหลือเพียงสองกล่องท่านั้น
ทุกคนอาศัยตอนที่เทพโบราณเฮยจี๋ทำลายบานประตูหิน นั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลังที่ใช้ไปก่อนนี้ มิติด้านหลังบานประตูหินผลึกสีม่วง ถึงจะมีสมบัติล้ำค่าแต่ก็ยากจะหลีกเลี่ยงอันตรายที่คาดคิดไม่ถึง
“ได้แล้ว!” ผ่านไปสักพัก เทพโบราณเฮยจี๋พลันเอ่ยขึ้น
“ได้ จะทำอะไรรึ?” สตรีโฉมงามเอ่ยถามทันที
“ต่างจากเมื่อครู่เล็กน้อย ค่ายกลนี้มีจุดสำคัญถึงห้าจุดทีเดียว…”
เทพโบราณเฮยจี๋อธิบายวิธีการอย่างคร่าวๆ
สตรีโฉมงามรีบเรียกกายวัฏสงสารสองร่างออกมา
จากนั้นเทพโบราณเฮยจี๋จึงเริ่มปลดกลไกลทันที
ในตอนที่ลวดลายซับซ้อนยากจะเข้าใจรอบบานประตูหินเปล่งแสงประกาย เป็นสัญญาณว่ากลไกถูกทำลายลงไปแล้ว
โครม! ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทุกคนพากันโจมตียังจุดสำคัญทั้งห้าจุดพร้อมกัน แล้วจึงทำลายปราการออกไป
ครั้งนี้ทุกคนไม่รีบบุก แต่กลับเข้าไปภายในช้าๆ
“ที่นี่เหมือนจะไม่มีอันตรายอะไร?”
แววตาหลินเฉิงอู่กวาดผ่านรอบบริเวณอย่างละเอียดแล้วพลันเอ่ยต่อ แต่ในตอนนี้ ด้านขวาของมิติเกิดเสียงดังโครมครามขึ้นโดยพลัน
“เกิดอะไรขึ้น?” สตรีโฉมงามมีสีหน้าระแวดระวัง
จุดที่เกิดการระเบิดยังมีระลอกพลังรุนแรงสะท้อนออกมาด้วย ประสาทสัมผัสเทพของทุกคนกวาดผ่านไป แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที!
“มีคนอื่นอีก!” หลินเฉิงอู่ตะโกนเสียงต่ำ
จุดที่เสียงดังอึกทึกดังขึ้นถูกซากปรักหักพังทับถมพอดี ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้สังเกตจุดนั้นตั้งแต่แรก
อันที่จริง ในตอนที่หลินเฉิงอู่และคนอื่นทำลายค่ายกล ทางด้านขวายังมีทางเข้าอยู่ ด้านนอกทางเข้ามีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังทำลายปราการค่ายกลเช่นกัน
พรึ่บ! พรึ่บ! เงาสามร่างปรากฏขึ้นในมิติแห่งนี้ทันที
ทั้งสองกลุ่มสบตากัน
“คิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะยังมีคนอื่นอีก?”
แววตาชายชราชุดเขียวคนหนึ่งในกลุ่มฉายแววไม่เป็นมิตร
“เป็นเขา…” แววตาของจ้าวเฟิงจ้องที่คนชุดดำ
ชายวัยกลางคนคนนั้นมีดวงตาขวาข้างเดียว ซึ่งเป็นเนตรหมื่นปรากฏการณ์
จ้าวเฟิงเจอคนผู้นี้โดยบังเอิญตอนที่ไปเยี่ยมเยือนแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต และในตอนนั้นเนตรหมื่นปรากฏการณ์ข้างเดียวคนนี้ยังคิดจะทำร้ายจ้าวเฟิงด้วย
“ฮึๆ!” เทพโบราณเสวียนหมัวผู้มีตาข้างเดียวกวาดมองพวกจ้าวเฟิง ก่อนจะหัวเราะเสียงเย็น
“จ้าวเฟิง!”
บุรุษหนุ่มชุดเหลืองในกลุ่มเทพโบราณเสวียนหมัวเอ่ยด้วยความตกใจ
จ้าวเฟิงปรายตามองเล็กน้อย พบว่าบุรุษหนุ่มชุดเหลืองผู้นั้นก็คือคนที่เดินทางไปงานชุมนุมเนตรเทพเจ้าพร้อมกันกับเขา เป็นหนึ่งในสมาชิกจำนวนมากของกลุ่มแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต
“พวกเรามีกันสี่คน แต่พวกเจ้ามีกันแค่สามคน อีกทั้งพวกข้าเป็นคนเจอที่นี่ก่อน ข้าขอแนะนำให้ยอมแพ้เสียเถอะ!” เทพโบราณเฮยจี๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงข่มขู่เป็นคนแรก
หลินเฉิงอู่และสตรีโฉมสะคราญเริ่มสงสัยเทพโบราณเฮยจี๋ อย่างไรเสียพวกเขาเองก็ลงชื่อในพันธะสัญญา จึงไม่สามารถแพร่งพรายเรื่องนี้ได้ ถ้าหากจะมีคนเผลอแพร่งพรายข้อมูลออกไป คงจะมีเพียงเทพโบราณเฮยจี๋เท่านั้น
แต่เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของเทพโบราณเฮยจี๋ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ถึงแม้ว่าอาจเป็นเพราะเทพโบราณเฮยจี๋ที่แพร่งพรายข่าวออกไป แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันว่าจะมีคนอื่นค้นพบซากปรักหักพังแห่งนี้
“ฮึๆ ถึงแม้พวกเขามีจำนวนมาก แต่ดูท่าทางแล้วพลังความสามารถน่าจะธรรมดา!”
ชายชราชุดเขียวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแววตาเจ้าเล่ห์ยิ่ง สาดซัดกลิ่นอายแข็งแกร่งที่เทียบเท่าได้กับขั้นเจ็ดสุดยอดออกมา
“ผลึกนั้นไม่สามารถแตะต้องได้โดยตรง พวกเราไม่ได้มาครอบครอง พวกเจ้าก็อย่าหวังจะได้เลย!”
เทพโบราณเสวียนหมัวหัวเราะเสียงต่ำ พลังความสามารถของเขาเองก็ถึงขั้นเจ็ดสุดยอด ถึงกระทั่งแข็งแกร่งกว่าชายชราชุดเขียวไม่น้อย เมื่อเอ่ยออกมาแล้ว สายตาของคนที่เหลือกวาดตามองที่กล่องผลึกที่ไม่ธรรมดาและยังแฝงด้วยกลไกที่ลึกลับมากทั้งสอง
หลินเฉิงอู่และสตรีโฉมงามสีหน้ายุ่งยากไม่น้อย
ถ้าหากเทพโบราณเฮยจี๋ไปทำลายค่ายกล พวกเขาสามคนย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามแน่ แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามกำลังต่อสู้ พวกเขาจะไม่สามารถขับไล่พวกนั้นไปได้
“อย่าเพิ่งรีบร้อน…” สมาชิกในกลุ่มเทพโบราณเสวียนหมัวส่งกระแสจิตเอ่ยแนะนำ
“พวกเจ้าสามารถบุกทะลวงมาถึงที่นี่ได้ น่าจะเป็นคนที่ชำนาญค่ายกลกลไก ไม่สู้พวกเราร่วมมือกันเอาสมบัติในกล่องผลึกมาด้วยกัน!”
หลังจากที่สมาชิกคนอื่นเห็นด้วย เทพโบราณเสวียนหมัวก็เอ่ยยิ้มๆ
ทำลายกล่องผลึกเสียก่อน จากนั้นค่อยลงมือช่วงชิงไป ส่วนทางฝั่งเทพโบราณเฮยจี๋มีจำนวนคนมากกว่าคนหนึ่ง นับว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“ข้าเองก็ตั้งใจเช่นนั้น!”
เทพโบราณเสวียนหมัวหัวเราะน้อยๆ และชันกายขึ้นทันที
จากนั้นคนที่ชำนาญค่ายกลกลไกที่สุดจากทั้งสองกลุ่มก็ไปยังด้านข้างของกล่องผลึก
ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มทั้งสองต่างจับจ้องทุกอิริยาบทของกันและกัน
“หากข้าเดาไม่ผิดแล้วละก็ เนตรหมื่นปรากฏการณ์ตาเดียวคนนั้นน่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มนี้…”
แววตาจ้าวเฟิงเคร่งขรึมลง เริ่มเดาอะไรออกบ้างแล้ว
อายุของเทพโบราณเฮยจี๋และเทพโบราณเสวียนหมัวไม่ถือว่าอาวุโสมากนัก แต่คนทั้งสองกลับเคยศึกษาค่ายกลกลไกของเผ่าความลับสวรรค์มาก่อน และยังเป็นหัวหน้าของทั้งสองกลุ่มพอดี
อีกอย่าง ก่อนนี้จ้าวเฟิงมองเห็นคนกลุ่มหนึ่งด้านนอกที่มีจำนวนสี่คน
พูดได้ว่าในมิติแห่งนี้ยังมีกลุ่มอื่นๆ อยู่อีก จ้าวเฟิงจึงระแวดระวังขึ้นอีกอย่างอดไม่ได้ รู้สึกว่าการสำรวจมิติครั้งนี้ค่อนข้างไม่ธรรมดาเลย และตอนนี้เอง ในหัวจ้าวเฟิงก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในฉับพลัน
“นายท่าน ไข่ฟองนั้น…”
มังกรวารีล้างโลกาติดต่อกับจ้าวเฟิงผ่านทางตราผนึกดวงใจทมิฬ
“ไข่?” จ้าวเฟิงชะงักไป ก่อนจะเข้าใจในทันที สีหน้าตื่นตะลึงไปเล็กน้อย
ณ มิติในชุดคลุม
ไข่ดำเมี่ยมฟองหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากมังกรวารีล้างโลกานักสั่นไหวน้อยๆ บนเปลือกไข่ปรากฏอักขระและสัญลักษณ์ที่สลับซับซ้อนสีเงินเป็นครั้งคราว หนำซ้ำรอยประหลาดรอบเปลือกไข่ก็เริ่มกะเทาะออก
“แมวขโมยตัวนี้เป็นอะไรกันแน่?”
สีหน้ามังกรวารีล้างโลกาเคร่งขรึมเกินจะเปรียบ
ทันใดนั้นเอง อักขระสัญลักษณ์ประหลาดบนเปลือกไข่ก็กระจายกลิ่นอายสายเลือดบรรพกาลที่ปั่นป่วนออกมาจากภายใน
“กลิ่นอายสายเลือดบรรพกาลกลุ่มนี้…”
มังกรวารีล้างโลกาแข็งค้างไปทั่วร่าง สายเลือดเผ่าพันธุ์มังกรทำลายล้างโลกาที่อ่อนแอเล็กน้อยในร่างเขาเกือบจะหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวเพราะกลิ่นอายสายเลือดบรรพกาลนิรนามกลุ่มนั้น
จ้าวเฟิงเตรียมจะตรวจสอบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชุดคลุมมิติ แต่กลับได้ยินเสียงตะโกนของเทพโบราณเฮยจี๋ “ลงมือ!”
ก่อนจะเห็นว่าผลึกเหนือกล่องทั้งสองสลายตัวไป สมบัติสำหรับฝึกตนที่ล้ำค่ายิ่งปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของทุกคน!