บทที่ 1507 ฝึกฝนในฝัน
จอมเทพฮ่วนไฉ่และหญิงชราผมเขียวมีสีหน้าทะมึน
ที่แท้พวกเขามองแผนการที่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาเสแสร้งว่าบาดเจ็บหนักออกนานแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังเคยเห็นเคล็ดวิชานี้ ดังนั้นจึงมีวิธีรับมือ
หลังจากกำจัดโลกความฝันแล้ว อวี่หลิวผิงจึงส่งเสียงวิญญาณบอกวิธีจัดการแก่คนเผ่าความลับสวรรค์
“ลงมือ!” จอมเทพฮ่วนไฉ่แค่นเสียงเย็น เปลี่ยนแปลงทิศทาง จากนั้นจึงพุ่งทะลวงไปสังหารอวี่หลิวผิง
หญิงชราผมเขียวก็เข้าใจเจตนาของจอมเทพฮ่วนไฉ่ จึงลงมือในทันที
วินาทีนี้ จอมเทพทั้งสองจากแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาเข้าจู่โจมอวี่หลิวผิง ขอแค่เอาชนะอวี่หลิวผิงได้ เผ่าความลับสวรรค์คนอื่นที่เหลือก็ไม่มีภัยคุกคามใดแล้ว
“ฮึ อย่างพวกเจ้าก็คิดจะทำร้ายข้างั้นรึ?” อวี่หลิวผิงหัวเราะเสียงเรียบ
“ตายเสีย!” ในมือจอมเทพฮ่วนไฉ่ปรากฏแถบผ้าหลากสีขึ้นห้าเส้น กลายเป็นแสงห้าสายพุ่งไปโจมตีอวี่หลิวผิงอย่างรวดเร็ว
ส่วนมือหญิงชราผมเขียวปรากฏไม้เท้าหยกสีเขียวมรกต ขณะโบกมันก็ส่งระลอกแสงสีเขียวมรกตหลายสายออกมา
กำลังรบเผ่าความลับสวรรค์ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก พวกนางเป็นเผ่าเทพมายา ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการร่วมมือของคนสองคน ย่อมต้องเอาชนะอวี่หลิวผิงได้ในระยะเวลาสั้นๆ แน่
“ให้พวกเจ้าได้เห็นพลังที่แท้จริงของข้าหน่อยแล้วกัน!”
อวี่หลิวผิงไม่แยแสการล้อมโจมตีของคนระดับขั้นเดียวกัน บนผิวหนังเหี่ยวย่นหยาบกระด้างมีลวดลายประหลาดจำนวนมากเผยขึ้นมา แต่ในทันใดนั้น กลิ่นอายสายเลือดที่แข็งแกร่งอีกกลุ่มหนึ่งก็กระจายตัวออกมา ปกคลุมร่างริ้วลายเก่าแก่โบราณเอาไว้
ฟิ้ว ตูม! คลื่นพลังบ้าคลั่งสีแดงรอบตัวอวี่หลิวผิงพุ่งขึ้นฟ้าไป
คนอื่นๆ ในรัศมีหลายสิบลี้ต่างสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่กดดันเกินจะเปรียบ แต่จิตสำนึกของพวกเขายังคงติดอยู่ที่โลกความฝีน เหมือนว่ากำลังฝันร้ายอะไรอยู่ คลื่นพลังที่กลิ่นอายสายเลือดกระตุ้นออกมาหมุนวนอยู่ในอากาศ ก่อนจะรวมตัวกันเป็นโครงร่างเงาเทพมารขนาดใหญ่ ทั้งเก่าแก่เย็นชา เขย่าขวัญผู้คน
วู้ม! เงาเทพมารยิ่งเป็นรูปธรรมมากขึ้น หนำซ้ำทุกอิริยาบถยังเหมือนกับอวี่หลิวผิงไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งยังสาดซัดกลิ่นอายทรงพลังเขย่าฟ้าดินและจิตต่อสู้ที่ไม่สิ้นสุดออกมา
ในยามนี้ จอมเทพฮ่วนไฉ่และหญิงชราผมเขียวที่กำลังจะโจมตีอวี่หลิวผิงชะงักฝีเท้า เลือดในร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“สายเลือดเผ่าเทพสงคราม!” จอมเทพฮ่วนไฉ่ร้องเสียงหลงอย่างตื่นตกใจ
หากพูดว่าเมื่อก่อนพวกนางประมาทอวี่หลิวผิง คิดว่าสองคนรวมพลังกันก็น่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้สบายๆ เช่นนั้นตอนนี้พวกนางก็เปลี่ยนความคิดไปอย่างสิ้นเชิง
เผ่าเทพสงครามที่จัดเป็นลำดับที่ห้าในหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ เป็นเผ่าพันธุ์ที่กำลังรบเหนือชั้น ใช้เคล็ดวิชาและกลยุทธ์ประเภทต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“จัดการกำจัดพวกแมลงวันที่เกะกะลูกตาอย่างพวกเจ้าก่อนแล้วกัน!”
อวี่หลิวผิงแค่นเสียงหยัน แล้วตรงดิ่งไปสังหารจอมเทพขั้นสามสองคนของแดนศักดิ์สิทธิ์
แดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาไม่ยอมถอดใจ หากไม่กำจัดพวกเขาทิ้งไป ก็ไม่รู้ว่าตอนไหนจะโผล่หน้าเข้ามาอีก
ในตอนที่อวี่หลิวผิงลงมือ เงาเทพมารสีแดงก็ทำท่าทางเดียวกัน ส่งผลให้คนรอบๆ รู้สึกได้ถึงแรงควบคุมและการโจมตี
“ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้!” จอมเทพฮ่วนไฉ่ขมวดคิ้ว โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง
เผ่าเทพมายาหงายไพ่ตายออกมาจนหมดแล้ว เดิมคิดว่าจะได้เนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ามาครอบครองอย่างง่ายดายและออกจากที่นี่ไป กลับคาดไม่ถึงว่าเผ่าความลับสวรรค์จะได้เปรียบกว่า ไม่เพียงแต่มีวิธีจัดการ ‘ฝันร้ายไร้สิ้นสุด’ คนเป็นผู้นำก็มีสายเลือดที่แข็งแกร่งเช่นนี้อีก
“สายเลือดของคนผู้นี้จะต้องปลูกถ่ายเข้าไปแน่ ยังด้อยกว่าทายาทเผ่าเทพสงครามที่แท้จริงมาก พวกเราสองคนร่วมมือกัน ไยจะสู้กับอีกฝ่ายไม่ได้!”
แววตาหญิงชราผมเขียวลุ่มลึกขุ่นมัว
“คงทำได้เท่านี้แล้ว!” จอมเทพฮ่วนไฉ่กัดฟันตอบ
นางเองก็เชื่อว่าพลังของอวี่หลิวผิงต้องด้อยกว่าเผ่าเทพสงครามที่แท้จริงแน่นอน
หนำซ้ำก่อนเข้าไปในอาณาจักรเทพเผ่าแสง พวกเขาได้ส่งข่าวที่นี่ให้กับ ‘ราชาเทพโยวอวิ๋น’ ที่อยู่ด้านนอกแล้ว
เกรงว่าไม่นานเท่าไหร่ ราชาเทพโยวอวิ๋นก็จะเร่งรุดเดินทางมาด้วยตนเอง พอถึงตอนนั้นทุกอย่างที่นี่จะคลี่คลายลงได้ในคราเดียว
จ้าวเฟิงยืนนิ่งไม่ไหวติง เสแสร้งว่ายังอยู่ในฝันร้ายไร้สิ้นสุด มองทุกสรรพสิ่งไว้ในครรลองสายตา
‘ผู้อาวุโสเผ่าความลับสวรรค์ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย!’ จ้าวเฟิงคิดในใจ
ไม่นึกเลยว่าศัตรูก็ครอบครองสายเลือดที่แข็งแกร่งเช่นนี้ อวี่หลิวผิงที่กระตุ้นพลังสายเลือดออกมา คงจะไม่ต่างจากเป่ยหมิงฮุยที่กระตุ้นสายเลือดเผ่าทำนุฟ้าเท่าไหร่นัก อีกอย่าง นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเฟิงเห็นสายเลือดเผ่าเทพสงคราม เขาพบว่าสายเลือดประเภทนี้คล้ายคลึงกับสายเลือดสวรรค์ไร้เทียมทานซึ่งเขาเคยเห็นที่ดินแดนทวีป บางทีคงมีสายสัมพันธ์ระหว่างสายเลือดทั้งสองกระมัง
ทางฝั่งสมาชิกที่เหลือของเผ่าความลับสวรรค์ พอหลุดพ้นจาก ‘ฝันร้ายไร้สิ้นสุด’ ก็เริ่มต่อสู้กับคนของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตา
แน่นอนว่าขอบเขตพลังฝึกตนไม่สูงนัก พอทำลายโลกความฝันจึงเสียพลังจิตใจและวิญญาณไปค่อนข้างสูง
แต่เพราะสมาชิกของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาเพิ่งจะสำแดงฝันร้ายไร้สิ้นสุด สายเลือดจึงเสียหายหนัก ต่อกรศัตรูไม่ค่อยได้
“ปล่อยให้พวกเจ้าสู้กันไปก่อนสักยกแล้วกัน!” จ้าวเฟิงไม่รีบร้อนสลัด ‘ฝันร้ายไร้สิ้นสุด’ ทิ้งไป
ตอนนี้แดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาและเผ่าความลับสวรรค์กำลังสู้รบกัน หากจู่ๆ เขาก็ได้สติขึ้นมากะทันหัน จะทำลายสถานการณ์ในตอนนี้
แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้อยู่เฉย
ดวงตาสองข้างของจ้าวเฟิงปิดลงเล็กน้อย พลังลวงตาเคลื่อนไหว พลังความคิดโคจร และสร้างห้วงความฝันขึ้นอีกครั้งในชั่วพริบตา
จ้าวเฟิงสร้างมิติห้วงฝันที่ถือได้ว่าเป็นของตนเองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยพื้นฐาน ‘ฝันร้ายไร้สิ้นสุด’ ของเผ่าเทพมายา
จิตสำนึกส่วนมากของจ้าวเฟิงดำดิ่งเข้าไปในมิติห้วงฝันของตนเอง
ในมิติแห่งนี้เขาสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ แต่มีเพียงตนเองเท่านั้นที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้
“ความฝันและความจริงเกิดขึ้นพร้อมกัน!”
จ้าวเฟิงที่อยู่ในห้วงฝันนั่งขัดสมาธิ เริ่มฝึกตน
เหตุการณ์ในมิติห้วงฝันของจ้าวเฟิงเกิดขึ้นพร้อมกับโลกของความจริง ไม่เพียงส่งผลต่อศัตรู แต่ยังส่งผลต่อตนเองด้วย
ขณะนี้เขาสงบจิตสงบใจฝึกตนอยู่ในห้วงความฝันที่ตนเองสร้างขึ้น แต่ในสายตาของโลกภายนอก จ้าวเฟิงเหมือนติดอยู่ใน ‘ฝันร้ายไร้สิ้นสุด’ ของเผ่าเทพมายา
ในมิติห้วงฝันมีผลของเวลาในการฝึกตนที่พิเศษเช่นกัน ที่มาของความพิเศษนี้คือกฎเกณฑ์เวลาและพลังดั้งเดิมมายา ส่งผลให้ผลลัพธ์ดีเยี่ยม ความเร็วในการเดินของเวลาเป็นหนึ่งต่อสี่ร้อย
จ้าวเฟิงหยิบริ้วผ้าหยกทองชิ้นหนึ่งออกมา ด้านบนพลันมีกฎเกณฑ์เวลาที่รุนแรงแผ่กระจาย นี่ก็คือเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนประเภทมิติที่เจ้าแมวขโมยน้อยได้มาจากหญิงชราผมเขียว
วู้ม~ ภายในห้วงฝัน จ้าวเฟิงทดลองเอาเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนชิ้นที่สามผสานเข้าไปในชุดคลุมมิติ ระหว่างขั้นตอนทั้งหมด จ้าวเฟิงเองก็กำลังทำความเข้าใจกฎเกณฑ์มิติ ฝึกฝนและตระหนักรู้
ตอนนี้เขาครอบครองเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนสองชิ้น เขาสัมผัสได้รางๆ ว่ากฎเกณฑ์มิติของตนเองกำลังจะทะลวงผ่านช่วงที่ติดขัดแล้ว
เนิ่นนานก่อนนี้ ข้างในอาณาจักรเทพเผ่าแสง จ้าวเฟิงก็ไปถึงระดับจอมเทพขั้นหนึ่งสุดยอดแล้ว ไม่เพียงกฎเกณฑ์เท่านั้น แต่ยังมีพลังเทพด้วย
ตำราเทพบริสุทธิ์ที่ฝึกฝนต่อในภายหลัง ถึงแม้ว่าจะสร้างพลังเทพขึ้นใหม่ แต่ก็แตะขีดจำกัดของพลังขั้นหนึ่งนานแล้ว ตอนนี้ขอแค่กฎเกณฑ์ไปถึงระดับต่ำ พลังเทพก็จะทะลวงผ่านขั้นสองได้อย่างราบรื่น
เขาอาศัยโอกาสนี้รีบโคจรตำราเทพบริสุทธิ์ ทดลองทะลวงจอมเทพขั้นที่สอง…
ณ โลกภายนอก เผ่าความลับสวรรค์และแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตากำลังประมือกันอย่างดุเดือด
“ฝ่ามือแสงทอง!” อวี่หลิวผิงตะโกนเสียงดังและผลักฝ่ามือออกไป
เงาเทพมารสีแดงก็ทำท่าเช่นเดียวกัน ฝ่ามือยักษ์สีแดงผลักออกมาด้านหน้า
บึ้ม~ ฝ่ามือแสงสีทองอมแดงที่ใหญ่ราวขุนเขา หอบเอาพลังเทพที่ไม่มีสิ้นสุดพุ่งออกไปทำลายล้างทุกสิ่งจนแหลกละเอียด
“เป็นการโจมตีที่รุนแรงเหลือเกิน!” แววตาหญิงชราผมเขียวหนักอึ้งเล็กน้อย มือขาวโบกไม้เท้าติดต่อกัน
น้ำวนสีเขียวสามกลุ่มปรากฏขึ้นกลางอากาศ ทันใดนั้นภายในก็มีเถาวัลย์เก่าแก่เส้นใหญ่ยักษ์มากมายพุ่งตรงไปรัดฝ่ามือแสงทองไว้
ในเวลาเดียวกัน แถบสีรุ้งในมือจอมเทพฮ่วนไฉ่โบกสะบัด กลายเป็นแสงฉับไวห้าสายพุ่งทะลวงผ่านฝ่ามือแสงทอง
‘ผลึกเหมันต์’ ในมืออีกข้างของนางพลันพุ่งออกมา ส่งระลอกแสงเย็นเยือกสายหนึ่งออกไปโจมตีอวี่หลิวผิงจากด้านข้าง
“ช่างโง่งมนัก!” อวี่หลิวผิงแค่นเสียงต่ำ ก่อนจะรีบเปลี่ยนมาชี้นิ้วอย่างรวดเร็ว
เงาร่างยักษ์สีแดงก็ทำท่าทางเดียวกัน พลังดัชนีที่ยิ่งใหญ่ทรงพลังตรงออกมาทำลายการโจมตีของจอมเทพฮ่วนไฉ่จนแหลกละเอียดอย่างง่ายดาย
อวี่หลิวผิงที่กระตุ้นสายเลือดเผ่าเทพสงครามแล้ว กำลังรบผิดแผกไปจากปกติมาก สามารถสำแดงพลานุภาพของแต่ละเคล็ดวิชาออกมาด้วยความแข็งแกร่งที่สุดถึงแม้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะเป็นจอมเทพขั้นสามสองคน ก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจริงๆ
“สังหาร!” อวี่หลิวผิงกดเสียงเอ่ย สมาชิกเผ่าความลับสวรรค์อีกสามคนรับคำสั่งพวกเขาเองก็ไม่ได้เก็บงำฝีมือเอาไว้อีกแล้ว ตรงไปสังหารจอมเทพขั้นสามทั้งสองกลยุทธ์การต่อสู้ที่แข็งแกร่งหลายแขนงถูกสำแดงออกมาบีบจอมเทพฮ่วนไฉ่และหญิงชราผมเขียว
“คนผู้นี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!” หญิงชราจำต้องยอมรับ ถึงนางและจอมเทพฮ่วนไฉ่จะร่วมมือกัน ก็ยังยากจะรับมืออวี่หลิวผิง
“รั้งมันเอาไว้ รอท่านโยวอวิ๋นกลับมา เรื่องทั้งหมดก็จะจบลงแล้ว แต่ข้าไม่เชื่อว่าคนผู้นี้จะสามารถใช้สายเลือดปลูกถ่ายที่แกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร้ข้อจำกัดใดๆ!”
สีหน้าจอมเทพฮ่วนไฉ่ตึงเครียด ถึงแม้นางจะสู้อวี่หลิวผิงไม่ได้ แต่ก็ไม่น่าจะพ่ายแพ้ง่ายดายเช่นกัน
สำหรับการปลูกถ่ายสายเลือดของเผ่าความลับสวรรค์ จอมเทพฮ่วนไฉ่เองก็เข้าใจอยู่บ้าง การปลูกถ่ายสายเลือดที่แข็งแกร่งอื่นๆ ทำได้เพียงเพิ่มกำลังรบในระยะเวลาสั้นๆ และยังส่งผลที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคลด้วย
ในขณะที่ทั้งสองคนสู้รบกัน พายุแห่งสงครามที่ดุเดือดก็ปะทะใส่คนฝั่งอาณาจักรเทพเผ่าแสงไม่หยุดหย่อน บวกกับมู่กู่ควบคุมพลังในฟ้าดิน กระตุ้นทุกคนที่ติดอยู่ในห้วงความฝันตลอด
ซินอู๋เหินเป็นคนแรกที่หลุดออกจากฝันร้ายไร้สิ้นสุด ใบหน้าเขาซีดเผือด ใจสั่นด้วยความหวาดกลัว เขามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
ในเวลาเดียวกันเขาก็รีบถอยร่นไป ถึงแม้เขามีความสามารถหลุดพ้นจากความฝันด้วยตนเอง แต่กลับไม่มีวิธีช่วยเหลือสหายร่วมรบจำนวนมากให้หลุดพ้นออกมาได้ แต่ทว่าซินอู๋เหินกลับปรายตามองจ้าวเฟิงเล็กน้อย ใบหน้าฉายแววประหลาดใจเมื่อเห็นจ้าวเฟิงยังอยู่ในโลกความฝัน
“แดนศักดิ์สิทธิ์และเผ่าความลับสวรรค์ช่างลึกล้ำเกินจะคาดเดาจริงๆ!”
ซินอู๋เหินทอดถอนใจ ขณะมองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นไกลๆ
หลังจากการต่อสู้ดำเนินมาเรื่อยๆ ยอดผู้อาวุโสเผ่าเทพยักษ์และมังกรทมิฬล้างโลการ่างกายสั่นเทิ้มน้อยๆ ไม่นานนักก็หลุดออกจากห้วงฝันมาได้ ทุกคนที่หลุดพ้นล้วนแต่มีใบหน้าซีดขาวและประหวั่นพรั่นพรึง นั่นเพราะพวกเขาเผชิญเรื่องราวที่น่าหวาดกลัวหลายอย่างใน ‘ฝันร้ายไร้สิ้นสุด’
ถึงแม้ฝันร้ายไร้สิ้นสุดจะทรงพลัง เมื่อเล่นงานเป้าหมายเพียงคนเดียว บางทีอาจจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกอยู่ในฝันร้ายไปตลอดกาล แต่ทางฝั่งจ้าวเฟิงมีจำนวนมากมาย ดังนั้นจึงทำให้อานุภาพของมันลดลงไปมาก เหลือเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น
นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมแผนการก่อนหน้าของพวกจอมเทพฮ่วนไฉ่จึงวางแผนจับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า จากนั้นจึงค่อยหนีออกจากอาณาจักรเทพ
เวลาที่โลกภายนอกผ่านไปเพียงเล็กน้อย แต่ในมิติห้วงฝันของจ้าวเฟิงกลับผ่านไปยาวนาน
จ้าวเฟิงไม่ใส่ใจการต่อสู้ด้านนอกอีกต่อไปแล้ว
กฎเกณฑ์มิติในใจของเขาสะสมและตกตะกอนไม่หยุด อีกทั้งพัฒนาขึ้น จวนจะไปถึงอีกระดับขั้นหนึ่งแล้ว มิติห้วงฝันบิดเบี้ยววุ่นวาย กฎเกณฑ์มิติส่งผลกระทบต่อทุกอย่าง สีสันพร่างพรายทำให้สับสนตาลาย พลังเทพบริสุทธิ์ของจ้าวเฟิงกำลังเกาะกลุ่มรวมตัวกัน เหมือนเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพ
จ้าวเฟิงรู้ดี ตอนนี้ตนเองมาถึงช่วงเวลาสำคัญในการทะลวงจอมเทพขั้นสองแล้วทันทีที่ทะลวงระดับขั้นสำเร็จ พลังแท้จริงของเขาก็จะเพิ่มขึ้นมาก ถึงตอนนั้นการรับมือกับเผ่าความลับสวรรค์และแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเรื่องง่ายดาย