บทที่ 1585 พร้อมหน้าพร้อมตา
ที่โลกภายนอก บรรดาผู้ชมต่างตกตะลึงกันอย่างที่สุด ไม่นึกเลยว่าจ้าวเฟิงที่มีขอบเขตพลังเพียงแค่ก่อเกิดดาราช่วงต้นเท่านั้นจะมาถึงขั้นนี้ได้
“จ้าวเฟิงกลับเอาชนะหวาเทียนเฟิงได้อย่างซึ่งหน้า!”
“มีอะไรเก่งกาจนักหนา อาศัยหุ่นเชิด ค่ายกล กับอุปกรณ์พิเศษทั้งนั้น!”
“เขาก็โชคดีเท่านั้นแหละ ถ้าหากไปเจอเข้ากับองค์ชายสิบหรือคุณชายเว่ย ต่อให้มีของพวกนี้ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี!”
คนจำนวนมากไม่ได้ชื่นชมนักที่จ้าวเฟิงใช้วิธีแบบนี้พาตนเองไปถึงขั้นนั้น
ส่วนคนที่ถูกคัดออกไปก่อนหน้านี้ยิ่งโห่ร้องเสียงดัง อันที่จริงในใจพวกเขาริษยาอย่างมาก ถ้าหากพวกเขามีกลอุบายพวกนี้ ก็เดินไปถึงขั้นนี้ได้เช่นกัน
มีแค่ฮั่วชิงเฟิง เซวี่ยหลิงจื่อ และพวกที่ระบายยิ้มบางอยู่ตลอด
ตอนที่พวกเขารู้ว่าจ้าวเฟิงจะเข้าร่วมการทดสอบพลังนี้ พวกเขาก็รู้แล้ว่าอีกฝ่ายจะต้องชนะแน่
ในมิติของการทดสอบ หลังจากจ้าวเฟิงเอาชนะหวาเทียนเฟิงได้แล้ว ก็เบนสายตามองไปอีกด้าน
ยามนี้องค์ชายสิบเอาชนะคู่ต่อสู้ได้แล้ว เวทีประลองของเขาและคุณชายเว่ยรวมกันเป็นหนึ่ง ทั้งสองเปิดฉากต่อสู้ที่น่าพรั่นพรึงขึ้น
องค์ชายสิบและคุณชายเว่ยเรียกได้ว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดาอัจฉริยะทั้งหมด
แต่ที่โชคไม่ดีคือการต่อสู้ของทั้งสองไม่ได้เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
โครม ตูม!
บนเวทีประลอง แสงฟ้ามังกรทองเกี่ยวกระหวัดและพังทลาย
องค์ชายสิบและคุณชายเว่ยเป็นขอบเขตแปรจิตช่วงกลาง แต่กำลังรบที่ทั้งสองคนสำแดงออกมากลับเข้าใกล้ขอบเขตแปรจิตช่วงสุดยอด
ในฐานะที่องค์ชายสิบเป็นราชวงศ์ พลังแฝงจึงลึกล้ำ มีเบื้องหลังทรงพลัง กลวิชาที่เตรียมมาก็มากเป็นพิเศษ
ข้างตัวเขามีสัตว์ประหลาดที่คล้ายมังกรกึ่งจระเข้สองตัว ร่างกายใหญ่โต ดุร้ายยิ่งนัก ส่วนดาบทองลายมังกรในมือองค์ชายสิบก็เป็นถึงอาวุธชั้นนภาระดับกลาง
แน่นอนว่าเบื้องหลังคุณชายเว่ยก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
เบื้องหน้าคุณชายเว่ยมีหุ่นเชิดสีทองเข้มใหญ่ยักษ์สองตัว ประหนึ่งขุนเขาขวางอยู่ด้านหน้า คอยกั้นขวางแรงปะทะมากมายให้แก่คุณชายเว่ย
การต่อสู้ของทั้งสองมาพร้อมการปะทะกันอย่างรุนแรงของสัตว์วิเศษ หุ่นเชิด และอาวุธเทพ ทำให้คนมองตาลาย จิตใจตึงเครียด
ถึงแม้การต่อสู้ขององค์ชายสิบและคุณชายเว่ยจะไม่ใช่การต่อสู้สุดท้าย แต่สำหรับคนที่ชมการต่อสู้แล้ว คนที่ได้ชัยในครั้งนี้จะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด
“เจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยเจอมา แต่เจ้าต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!”
องค์ชายสิบตะโกนกร้าว ผมยาวสะบัดพลิ้ว ดาบทองลายมังกรในมือม้วนกลิ่นอายชะตามังกรขึ้นมา ก่อนจะฟันออกไป
คุณชายเว่ยถอยร่นไปด้านหลัง ให้หุ่นเชิดกลไกเป็นโล่มนุษย์ ขวางการโจมตีส่วนมากขององค์ชายสิบเอาไว้
แต่ถึงตอนนี้ หุ่นเชิดกลไกของเขาก็บาดเจ็บสาหัสมากแล้ว หนำซ้ำหุ่นเชิดตนหนึ่งในนั้นยังโดนองค์ชายสิบทำแหลกสลายไป
“มังกรคำรามเก้าชั้นฟ้า!”
องค์ชายสิบตะโกนสุดเสียง พลังบนร่างเพิ่มขึ้นพุ่งพรวด ฟันดาบออกมาในฉับพลัน
เห็นเพียงมังกรทองดุร้ายตัวใหญ่ยักษ์ร้องคำรามสะเทือนแปดทิศ พุ่งโจมตีมาพร้อมพายุหมุนรุนแรง
และในเวลาเดียวกัน สัตว์วิเศษขององค์ชายสิบก็รุกโจมตีเช่นกัน
คุณชายเว่ยบีบตราหยกแผ่นหนึ่งจนแหลกละเอียด เกราะแสงเกล็ดสีฟ้าชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นรอบกาย
แต่ที่สุดแล้วเขาก็ยากจะสกัดกั้นการโจมตีขององค์ชายสิบ เกราะแสงแหลกละเอียดไป ร่างกายม้วนกระเด็นออกไปนอกเวทีประลอง
การต่อสู้สุดยอดที่สะดุดตาครั้งนี้ก็จบลงไปเช่นนี้เอง
ตอนนี้ มิติแห่งนี้จึงเหลือเวทีประลองเพียงแค่สองแห่งเท่านั้น
เวทีประลองขององค์ชายสิบยังใหญ่กว่าจ้าวเฟิงมาก เพราะเขาประลองมาแล้วสามครั้ง
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคู่ต่อสู้คนสุดท้ายจะเป็นเจ้าไปได้!”
องค์ชายสิบทำท่าทีหยิ่งยโส ดูถูกอยู่เล็กน้อย
ถึงแม้จ้าวเฟิงจะมอบภาพจำตราตรึงลึกยิ่งไว้ให้เขาจากสองด่านก่อนหน้านี้ แต่กับการต่อสู้ซึ่งหน้า องค์ชายสิบเชื่อมั่นอย่างที่สุดว่าจะเอาชนะจ้าวเฟิงได้
โครม ตูม ตูม!
เวทีประลองทั้งสองฝั่งเคลื่อนมาตรงกลาง จนในที่สุดก็ประสานเข้าหากัน
นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการต่อสู้ครั้งสุดท้ายได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ!
ทันใดนั้น องค์ชายสิบจับดาบทองลายมังกร ตรงมาหน้าจ้าวเฟิงพร้อมพลังมังกรเขย่าขวัญ จากนั้นฟาดฟันระลอกแสงมังกรทองสายหนึ่งลงมา
โครม ตูม!
ระลอกแสงมังกรทองสายนั้นกระทบลงบนเกราะแสงผลึกฟ้า ทำให้เกราะสั่นไหวรุนแรง เหมือนใกล้จะแหลกละเอียดเต็มที
ส่วนหุ่นเชิดสองตัวของจ้าวเฟิงก็ถูกอสูรมังกรของเขาสะกดเอาไว้
ในตอนนี้จ้าวเฟิงเป็นประหนึ่งคนพิการที่ทำอะไรไม่ได้ เมื่อค่ายกลแหลกละเอียดลง ก็คือตอนที่จ้าวเฟิงจะพ่ายแพ้
ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่โลกภายนอกทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ พวกเขาคาดเดาไว้นานแล้วว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น
จ้าวเฟิงมีกลอุบายต่างๆ มากมาย อาจใช้รับมือกับขอบเขตแปรจิตช่วงแรกเริ่มได้ แต่กับองค์ชายสิบแล้วไร้ซึ่งประโยชน์ใดใด
จ้าวเฟิงเป็นประหนึ่งหินเก่าแก่พันปี ยืนนิ่งอยู่ในค่ายกล
“สมกับที่เป็นองค์ชายสิบ ดูแล้วข้าคงต้องลงมือสุดแรงเสียแล้ว!”
จู่ๆ จ้าวเฟิงก็ยิ้มออกมา
ขวับ!
เขาโบกมือเรียกธงค่ายกลสีแดงออกมาสี่ผืน พวกมันร่อนลงด้านในเกราะแสงผลึกฟ้า และกลายร่างเป็นค่ายกลอีกครั้ง เกราะแสงริ้วแดงอีกอันหนึ่งปรากฏออกมาปกป้องจ้าวเฟิงเอาไว้ด้านใน
จากนั้นจ้าวเฟิงจึงเรียกหุ่นเชิดออกมาสองตัว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นขอบเขตแปรจิตช่วงสุดยอดเลยทีเดียว
อีกทั้งไม่รู้ว่าในมือจ้าวเฟิงมีลูกโลหะสิบกว่าลูกตอนไหน
“อะไรกัน? คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมีของมากมายขนาดนี้…เจ้ามันคนขี้ขลาดตาขาว!”
องค์ชายสิบเผยสีหน้าตื่นตะลึง ก่อนจะร้องด่าทันที
เขาคิดว่าจ้าวเฟิงใช้ไพ่ตายทั้งหมดแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะยังมีกลวิชาที่แกร่งกว่านั้นอีก ชั่วเวลานั้น องค์ชายสิบก็ไม่รู้จะจัดการจ้าวเฟิงได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้เขาจึงหงุดหงิดอย่างยิ่ง
“สังหาร!”
องค์ชายสิบไม่ได้รุกโจมตีจ้าวเฟิงก่อน แต่โจมตีหุ่นเชิดขอบเขตแปรจิตช่วงสุดยอด
หุ่นเชิดนี้แข็งแกร่งกว่าอสูรมังกรของเขาเสียอีก หากเขาไม่ลงมือ เกรงว่าสัตว์วิเศษของตนจะต้องตายลงที่นี่แล้ว
“เจ้าบอกว่าข้าเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวหรือ?”
จ้าวเฟิงยิ้มชั่วร้ายออกมา
ฟุ่บ!
ลูกโลหะลูกหนึ่งพุ่งออกจากมือของเขา
“สมควรตาย!”
องค์ชายสิบเห็นภาพเหตุการณ์นี้ จึงขยับกายหลบไป
“ระเบิด!”
จ้าวเฟิงตะโกนเสียงต่ำ ลูกโลหะที่เข้าไปใกล้องค์ชายสิบระเบิดออกทันที เกิดเป็นคลื่นเพลิงที่ไม่สิ้นสุดหมุนตลบขึ้น
“กระจอก!” องค์ชายสิบแค่นเสียงหยัน
โครม บึ้ม!
แสงทองไร้ขอบเขตสาดออกมาจากกลุ่มเพลิงโดยพลัน ทำลายกลุ่มเพลิงจนปริร้าวทุกจุด
อย่างมากพลานุภาพของลูกโลหะก็ทำร้ายแค่ขอบเขตแปรจิตช่วงต้น ส่วนกับองค์ชายสิบผู้เป็นขอบเขตแปรจิตช่วงกลางแถมยังมีเกราะวิเศษป้องกัน กลับไม่มีผลอะไรมากนัก
จ้าวเฟิงระบายยิ้มน้อยๆ และส่งลูกโลหะสามลูกออกมาอีกครั้ง
โครม ตูม!
คลื่นเพลิงสาดซัดปั่นป่วน ปราณแท้ขององค์ชายสิบระเบิดปะทุ หนึ่งดาบฟันมันขาดออกจากกัน
ยังไม่ทันให้เขาเปิดปาก ลูกโลหะทั้งสามลูกก็ลอยมาอีกครั้ง
โครม ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้นติดต่อกัน คลื่นเพลิงสาดกระจายเต็มเวทีประลอง
การระเบิดของลูกโลหะทั้งสามลูกส่งผลทบทวีในระดับหนึ่ง
“เจ้า…ไม่จบไม่สิ้นสินะ!” องค์ชายสิบเดือดดาลอยู่บ้าง
เจ้านี่หลบอยู่ในค่ายกล เอาแต่ปล่อยลูกโลหะกระแทกใส่ไม่หยุด แต่ก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้
ถึงจะพูดว่าเขาไม่กลัวลูกโลหะ แต่จ้าวเฟิงโจมตีเขาไม่หยุดแบบนี้ เขาก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
“ยังไม่หมด!” จ้าวเฟิงตอบอย่างจริงจังมาก
เขาคร้านจะลงมือต่อสู้ ดังนั้นก่อนที่จะเข้าร่วมการทดสอบจึงสร้างอุปกรณ์เช่นนี้เอาไว้เป็นจำนวนมาก
เปรี๊ยะ…
ลูกโลหะสามลูกลอยออกไปหาองค์ชายสิบอีกครั้ง
ครั้งนี้องค์ชายสิบไม่ได้เข้าปะทะ แต่เลือกที่จะหลบแทน ทว่าภาพเหตุการณ์ต่อมาทำให้เขาตื่นตะลึงยิ่งกว่า เบิกตากว้างอ้าปากค้างไป
เห็นแต่จ้าวเฟิงสะบัดมือ เขวี้ยงลูกโลหะเกือบยี่สิบลูกออกมาทันใด พวกมันลอยกระจายทั่วบริเวณ ขวางทางหนีทีไล่ขององค์ชายสิบเอาไว้ทั้งหมด
เปรี้ยง โครม~
วัตถุทรงกลมนับไม่ถ้วนระเบิดออกทันที เพลิงร้อนแรงลุกโหมทำลาย ปกคลุมทั้งเวทีประลองเอาไว้
ตอนที่เพลิงสลายตัวไป เสื้อผ้าของใช้องค์ชายสิบขาดวิ่นจนเห็นเกราะอ่อนด้านใน ใบหน้าหล่อเหลาถูกรมควันจนดำเมี่ยมเหมือนขอทาน ผมยุ่งเหยิงดุจรังนก
องค์ชายสิบในเวลานี้ไหนเลยจะยังมีท่าทางขององค์ชายอยู่ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่มาเพื่อปกป้องเขา ก็เกรงว่าจะจำเขาไม่ได้แล้ว
“จ้าวเฟิง…”
องค์ชายสิบตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราด แววตาโหดเหี้ยมจ้องจ้าวเฟิงเขม็ง เหมือนจะสับเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ยังจะเอาอีกหรือ? อย่าเกรงใจเลย ข้ามีอีกเยอะนัก ยกให้เจ้าทั้งหมดเลยแล้วกัน!”
จ้าวเฟิงโบกมืออีกครั้งอย่างใจกว้างนัก ลูกโลหะสิบกว่าลูกพุ่งมาอีกครั้ง
ใบหน้าโมโหโทโสขององค์ชายสิบเปลี่ยนไปทันที เขาหวาดกลัวกระบวนท่านี้ของจ้าวเฟิงจริงๆ
ตูม เปรี้ยง!
เสียงระเบิดดังขึ้นติดต่อกันบนเวทีประลอง องค์ชายสิบทะยานหนีไปทั่ว หลบเลี่ยงไม่หยุด อเนจอนาถเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีบุคลิกของราชาเช่นก่อนหน้านี้
“น่าตายนัก เจ้ากำลังบีบข้า!”
ใบหน้าองค์ชายสิบฉายแววเคียดแค้น
เขาไม่รู้ว่าจ้าวเฟิงยังมีลูกโลหะอีกเท่าไหร่ ในเวลาอันสั้นนี้ เขาไม่สามารถทำลายค่ายกลสองชั้นที่ปกป้องจ้าวเฟิงได้เลย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาทำได้เพียงใช้ไพ่ตายสุดท้าย เขาเชื่อมั่นว่าไพ่ตายนี้จะพลิกแพ้ให้เป็นชนะได้
แกรก!
จู่ๆ ก็ปรากฏป้ายหยกลายมังกรแผ่นหนึ่งขึ้นในมือองค์ชายสิบ และถูกเขาบีบจนแหลกไป
ในชั่วขณะที่ป้ายหยกแหลกละเอียด มีเงามังกรสีทองเข้มตัวหนึ่งทะยานออกมาจากภายใน ตัวใหญ่ไม่เห็นสุดปลาย พลานุภาพมหาศาล กำราบทุกสรรพชีวิต
“ไปตายซะ จ้าวเฟิง!” องค์ชายสิบร้องคำราม
หยกแผ่นนี้คือสิ่งของรักษาชีวิตที่เสด็จพ่อเขามอบให้ เป็นการโจมตีดวงวิญญาณ ต่อให้เป็นขอบเขตอมตะช่วงกลางก็สังหารได้ทันที
โครม!
เงามังกรสีทองเข้มตัวนั้นพุ่งออกมา ทะลุผ่านค่ายกลป้องกันสองชั้น พุ่งเข้าไปในร่างจ้าวเฟิง
องค์ชายสิบระบายยิ้มเมื่อเห็นเงามังกรพุ่งเข้าร่างจ้าวเฟิง
ทางฝั่งจ้าวเฟิงก็ระบายยิ้มออกมาเช่นกัน
ในโลกดวงวิญญาณ เงามังกรตัวนั้นปลดปล่อยพลังอันไม่สิ้นสุดออกมา เพียรพยายามทำลายดวงวิญญาณของจ้าวเฟิง
แต่ในเวลานี้เอง เงาเนตรมายาดวงใหญ่ไร้จุดสิ้นสุดดวงหนึ่งพลันเผยขึ้นในดวงวิญญาณที่เหมือนจะอ่อนแอของจ้าวเฟิง
ตอนที่ถูกดวงตาดวงนี้จ้องเขม็ง พลังของมังกรทองตัวนี้หายไปทันที ร่างสั่นเทิ้ม ทรุดลงอ้อนวอนร้องขอชีวิต
ระลอกแสงสว่างเป็นประกายบนเนตรมายา ก่อนจะส่งแรงกดดันที่ยากจะพรรณนาออกมา
โครม ตูม!
ไม่ถึงครึ่งช่วงลมหายใจ เงามังกรทองก็แตกละเอียด
“ทำไมถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไร คงจะตายแล้วกระมัง…”
องค์ชายสิบจ้องจ้าวเฟิงเขม็ง
ทันใดนั้น จ้าวเฟิงเงยหน้ามององค์ชายสิบ ระบายยิ้มที่ทำให้อีกฝ่ายขวัญผวา
ฟิ้ว~
เขาโบกมือน้อยๆ เรียกลูกโลหะสิบกว่าลูกให้ลอยออกมา
“เป็นไปได้อย่างไร?”
ใจองค์ชายสิบปั่นป่วน แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาจะคิดอะไรมากมายอีก เขารีบหนีไปทันที
“จะหนีไปไหน!” จ้าวเฟิงเรียกลูกโลหะออกมาติดต่อกัน
“จ้าวเฟิง ข้าและเจ้าอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว!”
“อ๊าก เจ้าขี้ขลาดตาขาว!”
“จ้าวเฟิง เก่งกาจนักก็มาสู้กับข้าสักตั้ง!”
……
เรี่ยวแรงที่จะส่งเสียงร้องขององค์ชายสิบหายไปอย่างช้าๆ
โครม~
องค์ชายสิบบาดเจ็บทั่วร่าง อ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง โดนโจมตีจนกระเด็นออกจากเวทีประลอง
ใบหน้าเขาดิ้นรนบิดเบี้ยว เจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่อีก
หากโดนโจมตีซึ่งหน้าแล้วพ่ายแพ้ก็ยังดี แต่ถูกเอาชนะไปแบบนี้ เขารู้สึกไม่พอใจจริงๆ!
ทุกคนที่โลกภายนอกตัวชาวาบนานแล้ว
ตั้งแต่ต้นจนจบ จ้าวเฟิงไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย แต่องค์ชายสิบหลบหนีไปทุกหนแห่ง จนสุดท้ายไม่สามารถหนีไปได้อีก ถูกโจมตีจนร่วงออกจากเวที
ในตอนนั้น คนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกได้ว่าองค์ชายสิบช่างน่าสงสารเกินไปแล้ว
พักใหญ่หลังจากนั้น ผู้นำตระกูลลู่ยืนขึ้นพลางเปิดปากเอ่ย “คนที่ได้ที่หนึ่งคราวนี้คือจ้าวเฟิง!”
หลังจากเอ่ยจบ เขาก็ชะงักไปอีกครั้ง เหมือนขนาดเขายังคิดไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ นี่มันเกินความคาดหมายเกินไปแล้ว
ผู้แข็งแกร่งอัจฉริยะมากมายขนาดนี้ กลับถูกขอบเขตก่อเกิดดาราช่วงแรกเริ่มเอาชนะไปได้
ฟิ้ว! แท่งแสงสีขาวสองสายปรากฏขึ้นกลางลาน ภายในมีเงาสองร่างปรากฏขึ้นช้าๆ
หนึ่งในนั้นนั่งขัดสมาธิไม่ขยับตัว ส่วนอีกคนสะบักสะบอมเละไม่เป็นท่า ร่างกายดำเมี่ยม ไม่มีท่าทีองอาจเย่อหยิ่ง ไว้ตัวเหมือนที่ผ่านมา
ส่วนบุรุษคนอื่นๆ ใจสั่น ตอนที่พวกเขามองจ้าวเฟิงถึงกับถอยหลังไปหลายก้าว หวาเทียนเฟิงหวาดกลัวเกินจะเปรียบ กระทั่งองค์ชายสิบยังถูกจัดการจนเละไม่เป็นท่า มาคิดๆ ดูสิ่งที่ตนเองเจอที่ผ่านมานับว่าโชคดีมากแล้ว
จ้าวเฟิงยืนขึ้น ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินหน้าไป
“หึ!” ด้านข้าง ผู้อาวุโสชุดดำซึ่งเป็นผู้นำตระกูลลู่แค่นเสียงเย็นออกมา
เขาเป็นคนของราชวงศ์ เดินทางติดตามองค์ชายสิบมา การกระทำก่อนนี้ของจ้าวเฟิงทำลายภาพลักษณ์ราชวงศ์ ทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก
แต่ในตอนนี้เอง แววตาจ้าวเฟิงกวาดมอง ก่อนจะจ้องผู้อาวุโสชุดดำเขม็ง
ผู้อาวุโสชุดดำใจเต้นระรัว เขารู้สึกเหมือนมีผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดจ้องอยู่ ความลับใดๆ ที่ปกปิดไว้ถูกฝ่ายตรงข้ามอ่านออกหมดแล้ว
หลังจากที่เขย่าขวัญคนผู้นั้นเล็กน้อย จ้าวเฟิงจึงมองยังลู่เฟยเอ๋อร์และลู่ฉินเอ๋อร์
ตอนนี้นางทั้งสองคนก็กำลังมองจ้าวเฟิงอยู่
จ้าวเฟิงเป็นผู้ได้ชัยคนสุดท้าย มีคุณสมบัติจะทาบทามสู่ขอ และพวกนางก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
แต่ที่น่าประหลาดก็คือ ถึงแม้พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงจะด้อยกว่านาง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพวกนางถึงได้รู้สึกว่าจ้าวเฟิงหน้าคุ้นนัก มีความรู้สึกสนิทสนมอย่างประหลาด เหมือนเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน
“ผู้เยาว์ เจ้าอยากจะสู่ขอบุตรสาวคนไหนของข้า?”
ผู้นำตระกูลตระกูลลู่ยิ้มน้อยๆ
จ้าวเฟิงถูกกำหนดให้เป็นเขยของเขา เขาไม่ได้ขับไสไล่ส่งจ้าวเฟิง แต่กลับสนใจอีกฝ่ายอย่างมาก
ลู่เฟยเอ๋อร์และลู่ฉินเอ๋อร์ต่างกำลังจ้องจ้าวเฟิง กระทั่งพวกนางเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าตนเองถูกเด็กหนุ่มตรงหน้าสะกดความสนใจเอาไว้ อยากรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะตอบว่าอะไร
“ข้า…อยากจะแต่งทั้งสองคน!”
จ้าวเฟิงระบายยิ้มน้อยๆ ถึงขัดเขินอยู่บ้าง แต่ก็เปิดปากเอ่ยออกมา
รอบบริเวณเงียบสนิท ทุกคนเบิกตากว้าง
ตามกฎแล้วสามารถทาบทามสู่ขอได้แค่คนเดียวเท่านั้น!
อัจฉริยะชนขั้นสูงเหล่านั้นก่นด่าจ้าวเฟิงในใจ ทำมถึงได้ละโมบน่ารังเกียจขนาดนี้
แต่ลู่เฟยเอ๋อร์และลู่ฉินเอ๋อร์เองก์มีสีหน้าตกใจ เห็นได้ชัดว่าประหลาดใจนัก ทั้งสองคนหน้าแดงระเรื่อ
“พวกเจ้ายินยอมหรือไม่?”
จ้าวเฟิงไม่แยแสปฏิกิริยาของคนอื่น ตรงไปถามลู่เฟยเอ๋อร์และลู่ฉินเอ๋อร์
นัยน์ตาของเขาทะลักสีสันมายาสว่างเจิดจ้า พุ่งไปที่ดวงตาของหญิงสาวทั้งสอง เข้าไปในส่วนลึกของสมองพวกนาง
เหตุการณ์นี้ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปจะมองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แต่ตอนนี้รอบบริเวณเกิดเสียงระเบิดโครมคราม
“กฎคือคนที่ชนะจะทาบทามสู่ขอได้เพียงคนเดียว อีกทั้งอีกฝ่ายไม่สามารถปฏิเสธได้ ทำไมเขาถึงได้ทาบทามสู่ขอถึงสองคน?”
“เหอะๆ หากสู่ขอคนหนึ่งอีกฝ่ายจะไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่เจ้านี่ทาบทามสู่ขอสองคน สามารถถูกปฏิเสธ!”
“ใช่แล้ว เทพธิดาทั้งสองจะชอบเจ้านี่ได้อย่างไร ต้องโดนปฏิเสธแน่!”
กระทั่งผู้ถูกเลือกที่ล้มเหลวแล้วพวกนั้นก็ยิ้มขึ้นมา พวกเขารอดูความอับอายของจ้าวเฟิง
สักพักใหญ่ เสียงอื้ออึงรอบๆ นั้นก็ซาลงไป
เทพธิดาทั้งสองเปิดปากเอ่ย “ข้ายินดี!”
ครั้งนี้เงียบกริบเสียยิ่งกว่าที่ผ่านมา ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจของทุกคนอย่างชัดเจน
จากนั้นลู่เฟยเอ๋อร์และลู่ฉินเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนทันที แล้วโถมร่างเข้าสู่อ้อมกอดของจ้าวเฟิง
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้คนนับไม่ถ้วนราวกับโดนสายฟ้าฟาด รู้สึกอยากจะพุ่งชนกำแพง
กระทั่งผู้นำตระกูลลู่หรือบิดาของสตรีทั้งสองยังนิ่งแข็งค้างไปราวรูปสลัก
“ท่านพ่อ พวกเรายินดี!”
สตรีทั้งสองหมุนกายมาเอ่ย ในตอนนี้พวกนางได้ความทรงจำกลับมาแล้ว
ทั้งสองฝ่ายต่างยินยอมพร้อมใจ ต่อให้คนมากมายต่างคัดค้านก็ไร้ประโยชน์!
และในเวลาเดียวกัน ข้ารับใช้ทั้งสี่คนของจ้าวเฟิงโบยบินออกมา แต่ละคนต่างเอาสินสอดที่เตรียมเอาไว้นานแล้วออกมาให้
งานแต่งงานจึงถูกกำหนดไว้เช่นนี้
ข่าวแพร่สะพัดไปถึงฝั่งเมืองหนานอวิ้นอย่างรวดเร็ว
คนระดับสูงของจำนวนมากของฝั่งจ้าวเฟิง ก็คิดไม่ถึงว่าเขาเดินทางไปคราวนี้จะไปแต่งงาน อีกทั้งเจ้าสาวยังเป็นสตรีผู้ถูกเลือกสองคนของตระกูลลู่
เมืองหนานอวิ้นประดับประดาตกแต่งเพื่อเฉลิมฉลอง ทุกคนต่างรู้ดีว่าวันนี้เป็นวันที่จ้าวเฟิงจะตบแต่งสตรีผู้ถูกเลือกสองคนของตระกูลลู่
ภายในห้องหอ
จ้าวเฟิงมองภรรยาที่งดงามทั้งสอง ก่อนจะระบายยิ้มออกมา
“ชาติก่อนไม่ได้จัดงานแต่งให้พวกเจ้า มาชาตินี้พวกเราแต่งงานแล้วเราไปท่องยุทธภพกัน!”
จ้าวเฟิงในตอนนี้จริงจังเล็กน้อย แต่ที่มากกว่านั้นคือความสุข ทางฝั่งหลิ่วฉินอินและจ้าวหยูเฟยตื่นเต้นอย่างยิ่ง ใบหน้างามแดงระเรื่อ ชวนให้คนหลงใหล
หลังจากดื่มสุรามงคล โขกศีรษะเคารพฟ้าดินแล้ว จ้าวเฟิงก็บรรจงจูบลงอย่างอดไม่ได้…