บทที่ 650 ซีจิ่ว ไม่ได้พบกันเสียนาน
ต่อให้เขาถูกคนซ้อมจนเป็นอัมพาฒ คนที่อยู่ข้างกายเหล่านั้นก็สามารถดูแลได้เป็นอย่างดี เช่นนั้นเขารับตัวอวิ๋นชิงหลัวไปทำอะไร?
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกระทำการใดมักทำให้ ผู้คนรู้สึกฉงนอยู่เสมอ ดังนั้นคำถามนี้จึงถูกลิขิตไว้แล้วว่ามิอาจคลี่คลายได้
แต่กู้ซีจิ่วก็ละทิ้งความคิดที่จะไปเยี่ยมเยือนเขาแล้ว วิถีชีวิตเธอควรเป็นอย่างไรก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เล่าเรียน ประลองยุทธ์ ค้นคว้ากลยุทธ์ หลอมยาบ้างเป็นครั้งคราว ดำเนินวิ ถีชีวิตอย่าง เรียบง่ายเสรีเช่นนี้เหมือนครึ่งเดือนที่ผ่านมา
อวิ๋นชิงหลัวกลับมาแล้ว นางหายไปกว่าหนึ่งเดือน ในที่สุดก็กลับมาแล้ว แถมยังถูกส่งกลับมาโดยทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายด้วย
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตนคงจะมีเวรมีกรรมกับสองคนนี้จริงๆ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ แต่กลับประสบพบเจอกันอยู่รํ่าไป
วันที่อวิ๋นชิงหลัวกลับมาเป็นวันที่อากาศแจ่มใส วันนั้นกู้ซีจิ่วเพิ่งจะออกมาจากห้องฝึกยุทธ์ ก็มองเห็นเรือลำหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างโดดเด่นบนท้องนภา
ใต้หล้านี้กู้ซีจิ่วรู้จักคนผู้เดียวที่สามารถล่องเรือกลางเวหาได้ นั่นก็คือตี้ฝูอี ดังนั้นวินาทีที่เธอมองเห็นเรือลำนั้น ฝีเท้าก็ชะงักทันที หยุดนิ่งไป
แน่นอน เรือลำนั้นปรากฏขึ้นอย่างโดดเด่นยิ่ง สหายร่วมสำนักคนอื่นก็หยุดฝีเท้าเช่นกัน พากันแหงนหน้ามอง
ต่อมาเรือลำนั้นก็มุ่งตรงไปที่เหนือลานกว้างผืนใหญ่ หยุดนิ่งที่ระดับความสูงหลายสิบเมตรจากพื้นดิน จากนั้นอวิ๋นชิงหลัวก็เหินลงมาจากเรือ ดั่ง เทพธิดาจำแลง
อวิ๋นชิงหลัวงดงามนัก ทำให้วันนั้นงดงามยิ่งขึ้น นางสวมชุดกระโปรงสีฟ้า ยามที่ร่อนลงมา พลิ้วไหวปานโบยบินออกมาจากภาพนํ้าหมึก งดงามจนทำให้คนหยุดหายใจได้
ชมชอบสิ่งสวยงามเป็นสัญชาตญาณตามธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อมองเห็นคนงานไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนอดไม่ได้ที่จะมองซํ้าอีกหลายครา ดังนั้นยามที่อวิ๋นชิงหลัวเหินลงมาจากฟ้าวันนั้นไม่ทราบว่าทำให้สายตาคนตกตะลึงไปมากน้อยเพียงใด
ตามปกติแล้ว อวิ๋นชิงหลัวมัก ะทะนงในรูปโฉมตน เกรงว่าแต้มชาดแล้วจะฉูดฉาดเลอะเทอะ ส่วนใหญ่จะวาดคิ้วบางๆ แต่งแต้ม ให้เป็นธรรมชาติ
แต่วันนั้นนางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน บนหน้าผัดสีชมพูอ่อนๆ ริมฝีปากแต้มชาดแดงระเรื่อ ขับให้ผิวนางดูขาวผุดผ่องยิ่งขึ้น ดวงตาใสกระจ่างดุจวารี
หลังจากนางร่อนถึงพื้น ก็ค้อมกายคำนับไปยังทิศทางของเรือ “ขอบคุณท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ่งนัก”
เรือมิได้ร่อนสู่พื้น และไม่มีผู้ใดลงมาอีก มีเพียงเสียงใสเสนาะเสียงหนึ่งแว่วมากับสายลม “ไม่ต้องเกรงใจ”
แล้วเรือลำนั้นก็แล่นจากไป เพียงพริบตาเดียวก็หายลับไปในทะเลเมฆาอันกว้างใหญ่
เดิมทีฝูงชนยังนึกว่าจะได้เห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ผู้น่าอัศจรรย์คนนั้น นึกไม่ถึงว่าผู้อื่นกลับไม่ลงมาเลย
เรือลำนั้นหยุดอยู่สูงเกินไป แถมบนเรือยังมีประทุนเรือผ้าลูกไม้คลุมไว้อีก นอกเหนือจากผู้คุ้มกันทั้งสี่ที่ควบคุมเรือแล้ว ฝูงชนก็มองไม่เห็นแม้กระทั่ง เสี้ยวมุมชุดของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
อวิ๋นชิงหลัวยิ้มบางๆ อยู่ตลอด มิได้กล่าวอันใด เก็บงำเรื่องราวหนึ่งเดือนนี้ไว้ไม่เอื้อนเอ่ย เพียงถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมาประโยคเดียว “หนึ่งเดือนมานี้..เหนื่อยเหลือเกิน…”
ดูเหมือนประโยคเดียวนี้จะสามารถขยายความหมายไปได้มากมาย และทำให้ผู้คนขบคิดสารพัดได้ง่ายดายยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือหลังจากอวิ๋นชิงหลัวร่อนถึงพื้นก็ดูเหมือนแข้งขาจะไม่ค่อยคล่องแคล่วนักยิ่ง ดึงดูดให้ผู้คนคาดเดากันไปเรื่อย
ดังนั้นทุกคนจึงสบตากันอย่างรู้อยู่แก่ใจ ผู้ที่ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นอย่างหนักก็คิดจะขุดคุ้ยเรื่องซุบซิบให้มากกว่านี้หน่อย จึงเลียบๆ เคียงๆ ถาม แต่อวิ๋นชิงหลัวกลับไม่ยอมพูดอะไรเลย เพียงแต่แย้มยิ้มเท่านั้น สายตาของนางเฉียบคมยิ่ง มองลอดฝูงชนที่รายล้อมอยู่ไป เห็นกู้ซีจิ่วที่กำลังเตรียมจะจากไปอยู่ไม่ไกล…
ด้วยเหตุนี้นางจึงออกมาจากฝูงชนแล้วก้าวเข้าไปหา ทักทายกู้ซีจิ่วยิ้มๆ “ซีจิ่ว ไม่ได้พบกันเสียนาน”
ถึงแม้น้ำเสียงจะแอบแหบแห้งอยู่เล็กน้อย แต่ก็แฝงความเบิกบานไว้
กู้ซีจิ่วรู้สึก เหมือนนางต้องการจะข่มตน หรือไม่ก็ต้องการจะโอ้อวดเธอ