Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 722

บทที่ 722 ศาลาใกล้สายชลมักได้ชมจันทร์ก่อน

เขาพูดๆ ไปก็รู้สึกว่าตนกล่าวได้สมเหตุสมผลยิ่งนัก “นายท่านคงจำกู้เซี่ยเทียนกับหลัวซิงหลานได้กระมัง? เมื่อก่อนก็รักกันดื่มด่ำลํ้าลึกมากมิใช่หรือ? เพื่อกู้เซี่ยเทียน หลัวซิงหลานสละแทบทุกสิ่ง และยามนั้นกู้เซี่ยเทียนก็พยามยามเพื่อนางสุดชีวิตเช่นกัน เกือบจะเพลี่ยงพลํ้าในสนามรบแล้ว แต่เนื่องจากในใจยังห่วงหาอาวรณ์หลัวซิงหลานอยู่ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้นก็ยังคลานออกมาจากกองผู้สิ้นชีพได้ ทุกย่างที่คลานโชกด้วยโลหิต เขาคลานอยู่สามวันสามคืนท่ามกลางพายุหิมะก็เพราะใกล้ถึงวันกำหนดคลอดของภรรยาแล้ว เขาทราบว่านางไม่อาจอยู่ได้โดยไม่มีเขา…ยามนั้นความรักของพวกเขาทำให้คนซาบซึ้งมากมิใช่หรือขอรับ? แต่หลังจากนั้นก็ไม่แคล้ว…เป็นเช่นนั้นไป อันที่จริงความรักก็สามารถ

คงอยู่ได้สามปี ห้าปี เมื่อเวลาผ่าน ไปบ้างก็เลิกรากัน บ้างก็แปรเปลี่ยนเป็นความผูกพัน ชีวิตไร้รสชาติ”

“ข้าน้อยจำได้ว่ากวีบางบทในโลกก็กล่าวไว้เช่นนี้ ยกตัวอย่างเช่นบังเอิญพบหยกกระจ่างเพียงครั้ง ดั่งมีชัยทุกทิวาวัน[1]…ข้าน้อยรู้สึกว่า ความรัก สำคัญที่กระบวนการมิใช่ผลลัพธ์ ขอเพียงเคยได้ครอง เคยงดงาม ต่อให้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ไม่นึกเสียใจแล้ว…”

ตี้ฝูอีเงียบงัน คล้ายว่าถูกข้อโต้แย้งที่หาได้ยากของเขาสะเทือนเข้า

ชีวิตนี้ของเขาเคยพบเห็นเรื่องราวความรักมานับไม่ถ้วน เป็นอย่างที่มู่เฟิงกล่าวจริงๆ ต่อให้แต่ก่อนเคยรักกันจะเป็นจะตาย ก็มีช่วงเวลาที่เหือดหาย จืดจาง เมื่อความเร่าร้อนสูญสิ้นไป กลายเป็นคู่ชีวิตที่ขาดกันไม่ได้ก็นับว่าดีมากแล้ว บางคนถึงขั้นกลายเป็นศัตรูคู่แค้น ปรารถนาจะให้อีกฝ่ายสิ้นชีพไปเสีย…

หาได้ยากนักที่ตี้ฝูอีสนทนาหัวข้อพื้น ๆ เช่นนี้กับลูกน้อง ดังนั้นมู่เฟิงจึงรู้สึกตื้นตัน รู้สึกหลอนไปว่าตนเป็นคนรู้ใจของนายท่านแล้ว

“นายท่านชอบนางก็รั้งนางไว้เถิดขอรับ สร้างตำนานรักที่สะท้านสะเทือน!” มู่เฟิงปลุกใจตี้ฝูอี เขารู้สึกมาเสมอว่าหากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่มีความรัก ต่อให้มีชีวิตยืนยาวก็ไม่สมบูรณ์พร้อม…

ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร เพียงแต่นวดหว่างคิ้วอยู่ตรงนั้น

“นายท่านขอรับ ข้าน้อยรู้สึกว่าท่าทีที่ท่านปฏิบัติต่อแม่นางกู้ในวันนี้อยู่ในสายตาผู้ที่ใส่ใจแล้ว นางอยู่ด้านนอกเพียงลำพัง เกรงว่าจะมีอันตราย มิสู้ให้นางอยู่ข้างกายท่าน หากท่านต้องการให้นางแข็งแกร่งขึ้น มิสู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาบางอย่างให้นางด้วยตนเอง เนื้อหาที่ท่านสอนย่อมเหนือกว่าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มาก!”

ศาลาใกล้สายชลมักได้ชมจันทร์ก่อน มู่เฟิงเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี

ตี้ฝูอีหลุบตาลง อันที่จริง การที่คนผู้หนึ่งจะแข็งแกร่งได้ไม่ใช่เพียงกำลังรบเพียงอย่างเดียว มิเช่นนั้นในยุคสามก๊ก ลิโป้คงได้ครองใต้หล้านานไปแล้ว! และมิใช่ว่าตกตายในกำมือของโจโฉที่มีกำลังรบไม่สูงหรอกหรือ บางสิ่งมิใช่อาศัยเพียงการถ่ายทอดไม่กี่ประโยคก็สามารถเรียนรู้ได้…

….

ณ ลำธารสายหนึ่ง ในดงต้นเฟิง ใบเฟิงกึ่งเขียวกึ่งแดง เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างหนึ่ง

มีเสียงขลุ่ยแว่วขึ้นมาอย่างเอ้อระเหย เคล้าคลอกับเสียงนํ้าไหล

กู้ซีจิ่วตามเสียงขลุ่ยมา มองจากที่ไกลๆ เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นเฟิง อาภรณ์ขาวดุจหิมะ ตัวคนดั่งหยกงาม เป็นหลงซือเย่นั่นเอง

กู้ซีจิ่วยิ้มเล็กน้อย รับฟังเงียบๆ อยู่ไม่ไกล

เสียงขลุ่ยหยุดลง เสียงลมพัดผ่านริมหู หลงซือเย่ยืนอยู่ข้างกายเธอ “ลุกออกมาทำไม? ยังปวดแผลอยู่หรือเปล่า?”

กู้ซีจิ่วส่ายศีรษะ เธอสุขภาพแข็งแรง ฟื้นฟูได้รวดเร็ว ถึงแม้ยังไม่อาจโคจรพลังยุทธ์ได้ แต่สามารถลุกมาเดินเหินได้เล็กน้อยแล้ว เธอนอนอยู่ในห้องมากว่าหนึ่งวันจนรู้สึกเบื่อหน่ายแล้ว

หลงซือเย่พยุงเธอไปนั่งบนโขดหินก้อนหนึ่ง เขาก็นั่งลงข้างกายเธอเช่นกัน แตะนิ้วบนข้อมือเธอ จับชีพจรให้เธอ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ปล่อยมือออก คลี่ยิ้มอย่างยินดี “ฟื้นฟูได้ไม่เลวเลย กินอะไรหรือยัง?”

กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่อยากกินอะไรเลย”

หลงซือเย่ส่ายหัวเล็กน้อย หยิบห่อกระดาษห่อหนึ่งออกมาจากร่าง เมื่อเปิดห่อกระดาษออกด้านในก็คือของว่างร้อนกรุ่นๆ “เอ้า นี่คือขนมถั่วกวนที่เธอชอบกินที่สุด”

กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วขึ้น “คุณทำเองเหรอ?”

หลงซือเย่กระแอมคราหนึ่ง “ใช่ ใช่แล้ว ลองชิมสิว่ารสชาติเป็นยังไงบ้าง?”

——————————————————————

[1] เป็นบทกลอนที่ประพันธ์ โดยฉินกวน นักกวีในยุคราชวงศ์ซ่ง อ้างอิงจากตำนานความรักหนุ่มเลี้ยงวัวและสาวทอผ้า ที่ได้พบกันเพียงช่วงสั้นๆ ทว่ามีความรักลํ้าลึกไม่เสื่อมคลาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!