Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 925

บทที่ 925 มันไม่ใช่กำไลที่เจ้านายรักที่สุดแล้ว…

กู้ซีจิ่วก็จนปัญญาเหมือนกัน เธอก็ไม่รู้ว่าจักรพรรดิซวนเป็นบ้าอะไรถึงจุดชนวนสงครามครั้งนี้ขึ้น เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าสงครามที่เกิดนี้ล้วนไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองอาณาจักร แต่จักรพรรดิซวนดั่งถูกภูตผีสิงร่าง จู่ๆ ก็ก่อสงครามแสดงแสนยานุภาพขึ้นตามอำเภอใจ!

นี่ค่อนข้างคล้ายกับเล่าปี่ในยุคสามก๊กยิ่งนัก เพื่อล้างแค้นแทนพี่น้องตน ระดมพลทั้งแคว้นไปโจมตีแคว้นตงอู๋ ผลคือบอบชํ้าทั้งสองฝ่าย เกือบทำให้โจโฉกลายเป็นชาวประมงที่ได้รับผลประโยชน์ เล่าปี่ดีร้ายอย่างไรก็ทำเพื่อล้างแค้นให้พี่น้อง แต่จักรพรรดิซวนทำเพื่ออะไรกัน?

รํ่าลือกันว่าพระธิดาของจักรพรรดิอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยผู้นั้้นรูปโฉมค่อนข้างสู้หน้าผู้อื่นไม่ได้ ไม่คู่ควรกับหรงเจียหลัวจริงๆ แต่ดีชั่วอย่างไรเจ้าก็ปฏิเสธผู้อื่นให้นิ่มนวลหน่อยไม่ได้หรือ?!

ปฏิเสธการสมรสยังพอว่า แต่เจ้าทำลายชื่อเสียงของน้องสาวจักรพรรดิดินแดนอื่น ยัดข้อหาว่าลอบมีสัมพันธ์กับองครักษ์ ลงโทษประหารจากนั้นก็ทำโลงแดงส่งกลับไป จะเหยียดหยามผู้อื่นเกินไปหน่อยหรือเปล่า?!

ต่อให้เป็นตุ๊กตาดินปั้นก็ต้องร้องคำรามด้วยความพิโรธ ถึงแม้จักรพรรดิอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยจะเป็นฝ่ายเปิดศึกก่อน แต่ชนวนที่ก่อให้เกิดสงครามครั้งนี้กลับเป็นจักรพรรดิซวน…

ความจริงกู้ซีจิ่วเข้าใจเหตุผลของเชียนหลิงอวี่ดี ดังนั้นเธอจึงไม่ว่าอะไรที่เชียนหลิงอวี่แยกตัวไป กลับเป็นหลานไว่หู สาวน้อยโกรธเคืองยิ่งนัก ประณามหยามเหยียดเชียนหลิงอวี่ที่แยกตัวไปยิ่งนัก ทุกครั้งที่พบเห็นเชียนหลิงอวี่ล้วนร้องเหอะออกมาเพื่อหยามหยัน

กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาวรยุทธ์ของกู้ซีจิ่วยกระดับขึ้นอย่างว่องไวยิ่ง ตามถ้อยคำที่กู่ฉานโม่กล่าวไว้คือ ราวกับเธอกินผลท้อของเจ้าแม่หวังหมู่เข้าไป พลังยุทธ์เพิ่มพูนดั่งดอกงาแทงยอดสูง ยามนี้บรรลุขั้นเจ็ดตอนกลางแล้ว!

ชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่งไม่จำต้องจับกลุ่มประลองยุทธ์ ตัวเธอเองก็เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ถึงแม้พลังยุทธ์จะด้วยกว่าเชียนหลิงอวี่เล็กน้อย แต่ด้านประสบการณ์ต่อสู้ และทักษะการต่อสู้ในสถานการณ์จริง เชียนหลิงอวี่ห้าคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ…

เธอกลายเป็นตัวเด่นของชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่ง กู่ฉานโม่เริ่มใคร่ครวญเรื่องที่จะละเว้นกฎให้กู้ซีจิ่วข้ามระดับแล้ว ถึงแม้นิสัยของกู้ซีจิ่วจะเย็นชาไปบ้าง แต่เธอก็มีสัจจะคุณธรรมต่อผู้อื่น กระทำการเฉียบขาดว่องไว อุปนิสัยซื่อตรง ในช่วงหนึ่งปีครึ่งมานี้ เธอได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเหล่าศิษย์ของที่นี่แล้ว มีสหายอยู่ทุกหนทุกแห่ง เธอในตอนนี้เป็นหัวหน้าของชั้นเมฆาม่วงระดับต้นไปรางๆ แล้ว ร้องหนึ่งคำ ตอบกลับนับร้อย  สถานการณ์ไม่ทุลักทุเลปานหนูเฒ่าข้ามถนนเหมือนตอนที่เธอเพิ่งเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แล้ว

ส่วนตี้ฝูอี หลังจากเขามาส่งเธอกลับสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ในวันนั้นก็จากไปเลย

เหตุผลที่เขามอบให้กู้ซีจิ่วคือเขาจำเป็นต้องกักตน ระยะเวลาที่กำหนดไว้คือหนึ่งปี และเขาก็ไม่เคยโผล่หน้าไปที่ไหนเลยตลอดหนึ่งปีจริงๆ

กู้ซีจิ่วก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของเขาเลยเช่นกัน แม้แต่สงครามที่โลหิตหลั่งรินเป็นสายธารระหว่างอาณาจักรเฟยซิงและอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยก็

ไม่อาจกระตุ้นเขาได้

กู้ซีจิ่วทราบว่าการกักตนของผู้ยิ่งใหญ่เช่นเขาเป็นการกักตนอย่างจริงจัง ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ ในโลก

แต่การที่ไม่ได้พบเห็นเขา ไม่ได้ยินข่าวคราวของเขาเลยตลอดหนึ่งปีครึ่ง ทำให้เธอต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะฝันร้าย บางครั้งก็มองกำไลบนข้อมือ ตนหลับไม่ลง…

หากมิใช่เพราะกำไลวงนี้ไม่เคยมีปฏิกิริยาด้านลบอันใด เธอแทบจะนึกว่าตี้ฝูอีประสบอุบัติเหตุอะไรเข้าแล้ว …

ตี้ฝูอีเคยบอกเธอไว้ มีเพียงเจ้าของกำไลวงนี้ต้องบรรลุขั้นแปดขึ้นไปถึงจะสามารถรับรู้ตำแหน่งเจ้าของกำไลอีกวงได้ ก่อนถึงขั้นนั้นเธอจะสัมผัสได้เพียงว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หากว่าอีกฝ่ายเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ตกตายไป กำไลบนข้อมือเธอวงนี้ก็จะแตกสลายและหลุดร่วงทันที…

ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงใส่ใจกำไลวงนี้ที่อยู่บนข้อมือตนยิ่งนัก ยามฝึกฝนวรยุทธ์ก็เกรงว่าจะกระทบมันเสียหาย ยามต่อสู้กับผู้อื่นก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ใดฟันถูกกำไลของเธอเข้า

นี่ทำให้หยกนภาที่ฟื้นคืนสติแล้วรันทดหดหู่นัก มันรู้สึกว่ามันสูญเสียความโปรดปรานยามอยู่เบื้องหน้าเจ้านายไปแล้ว มันไม่ใช่กำไลที่เจ้านายรักที่สุดแล้ว…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!