บทที่ 933 แต่ยามนี้แม้แต่ข้อนี้เขาก็ทำไม่ได้…
คนชุดขาวผู้นั้นมองคราบเลือดที่ริมสระ คล้ายจะขมวดคิ้ว วาดแขนเสื้อคราหนึ่ง ริมสระพลันสะอาดเอี่ยมดั่งล้างด้วยนํ้า มองไม่เห็นคราบเลือดอีก เลย เขาแหงนหน้ามองฟากฟ้า ทิศทางนี้ที่เขามองไป สายตาจะมองทะลุผิวกระจกตรงใจกลางห้องโถงได้พอดี มองเห็นนภาดาษดาวที่ด้านนอก
สายตาเขาจับจ้องดาวดวงใหญ่ที่อยู่กึ่งกลางดวงนั้น โบกไม้โบกมือเบาๆ อยู่ครู่ใหญ่ ทำท่าดึงบางอย่างลงมา “เจ้าอยู่ข้างบนนานพอแล้ว! สมควรลงมาเปลี่ยนให้ผู้อื่นขึ้นไปบ้าง!”
สายตาเขาซอกแซกไปตามท้องฟ้าส่วนอื่นรอบหนึ่ง คิ้วขมวดนิดๆ
บนฟ้ามีดาวมากมายเกินไป เขาไม่อาจแยกแยะอย่างชัดเจนได้ว่าดวงไหนเป็นเป็นตัวแทนของผู้ใด ดังนั้นจนแล้วจนรอดเขาก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว ดวงไหนคือตัวแทนของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…
ที่แท้คนผู้นั้นไปซ่อนอยู่ที่ไหนกัน?
….
วันต่อมากู้ซีจิ่วตื่นขึ้นมาในเรือนตน เมื่อเธอลุกขึ้นนั่งศีรษะก็โยกไปมา เธอเคยดื่นจนเมาแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ทราบว่าถ้าเมาแล้ววันต่อมาจะปวดหัว ได้ง่ายๆ เพราะอาการแฮงค์ แต่หนนี้เธอเมาหนักถึงขนาดนั้น ทว่าหลังจากตื่นขึ้นมากลับพบว่าสมองแจ่มใสยิ่ง ไม่รู้สึกปวดหัวเลยสักนิด
เธอนั่งทบทวนบนเตียงครู่หนึ่ง เหตุการณ์เมื่อคืนแวบขึ้นมาเบื้องหน้าเธอทีละฉากๆ
เธอดื่มสุรา จากนั้นอิงเหยียนนั่วก็มารํ่าสุรากับเธอ…
แล้วต่อจากนั้นล่ะ?
เธอใช้มือกดจุดไท่หยางตรงขมับตน ขบคิดพลางออกแรงไปด้วย ก็พบว่านึกอะไรไม่ออกอยู่ดี…
เธอไม่ใช่คนที่เมาง่ายๆ แต่ถ้าเมาแล้วจะมีอาการอย่างไรนั้นตัวเธอก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกัน ดังนั้นพอยามนี้นึกเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ออกก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง เธอจึงไม่เก็บมาใส่ใจ
เธอมองกำไลบนข้อมือ อดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้ นำกำไลวงนั้นมาแนบบนหน้าตน สัมผัสอุณหภูมิของกำไล
ตี้ฝูอีบอกว่าหากเขาประสบเหตุเหนือความคาดหมาย กำไลวงนี้จะแตกหัก ความจริงแล้วเธอก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ต่อมาจึงถามหยกนภาอีกรอบ หยกนภาเป็นผู้รอบรู้ มันบอกประโยชน์ใช้สอยกำไลวงนี้ของกู้ซีจิ่วเหมือนที่ตี้ฝูอีบอกทุกประการ ด้วยเหตุนี้เธอจึงเชื่ออย่างสนิทใจ
ยามนี้กำไลวงนี้ยังอยู่ดี นั่นยืนยันได้ว่าเขาก็ยังอยู่ดีเช่นกัน เพียงแต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุผลใดจึงไม่ปรากฏตัวออกมา
คนผู้นี้ติดนิสัยทำอะไรตามใจตนมาโดยตลอด จัดการเรื่องราวก็แค่แยกแยะถูกผิด น้อยมากที่จะคำนึงถึงความรู้สึกผู้อื่น…
อันที่จริงเธอก็เข้าใจเขาเหมือนกัน แต่นานขนาดนี้แล้วเขายังไม่ยอมปรากฏตัว ในใจเธอจึงไม่สบายใจยิ่งนัก เธอไม่ขอให้เขาบอกเธอทุกเรื่อง เธอไม่ขอให้เขาเปิดเผยความลับทั้งหมดกับเธออย่างซื่อตรง แต่ดีร้ายอย่างไรก็ส่งคนมาแจ้งเธอบ้างว่าปลอดภัยดี แต่ยามนี้แม้แต่ข้อนี้เขาก็ทำไม่ได้…
กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้วเล็กน้อย ไม่ยินดีใคร่ครวญเรื่องพวกนี้
ช่างเถอะ เธอยังมีเรื่องอีกมากต้องจัดการ ไม่มีเวลามาชอกชํ้าระกำใจอยู่ที่นี่ ไม่มีเวลามาคิดเรื่องพวกนี้ พลันลุกขึ้นมาจากเตียง พรุ่งนี้ต้องออกไปทำภารกิจภารกิจ ครั้งนี้เป็นงานใหญ่ เธอต้องตระเตรียมข้าวของบางส่วนไว้ล่วงหน้า…
….
ณ วังหลวงของอาณาจักรเฟยซิง
จักรพรรดิซวนเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักอย่างหงุดหงิดฉุนเฉียว มีองครักษ์นายหนึ่งเข้ามาถวายสาสน์กราบทูล “ฝ่าบาท นี่คือข่าวการทัพที่องค์รัชทายาทให้นำมาถวายฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิซวนฉวยไปทันที คลี่จดหมายออกอ่าน แล้วฉีกออกเป็นชิ้นๆ เอ่ยอย่างโกรธกริ้ว “เหตุใดยังไม่ได้ชัยอีก?! กองทัพของเรามิใช่ว่ามีทัพลับที่แข็งแกร่งมากหรอกหรือ? โง่เง่า สวะไร้ประโยชน์!”
องครักษ์นายนั้นก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยวาจา ระยะนี้จักรพรรดิซวนอารมณ์ฉุนเฉียวยิ่งนัก ขยับเขยื้อนนิดหน่อยก็สำแดงโทสะแล้ว เขาไม่กล้าไปแตะต้องพายุหรอก
“ไสหัวไป! ไสหัวไปให้พ้นหน้าเรา!” จักรพรรดิซวนโบกมือไล่
องครักษ์นายนั้นออกไป
ภายในห้องทรงงานกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง
จักรพรรดิซวนเดินวนไปวนมาอย่างร้อนใจ ทันใดนั้นก็สัมผัสถึงบางสิ่งได้ หันหลังขวับทันที มองเห็นสตรีนางหนึ่งปรากฏตัวอยู่ด้านหลังเขา…