Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 937

บทที่ 937 คิดถึงผู้อื่นจนบ้าไปแล้ว

กู้ซีจิ่วสะกิดใจทันที “ความหมายของเจ้าคืออะไร? สังหารจักรพรรดิซวนทิ้งหรือ? แต่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ สังหารเขาจะทำให้เกิดความโกลาหลในอาณาจักรเฟยซิง ขณะนี้ผู้ที่ประจำการอยู่ในเมืองหลวงคือหรงฉู่ หรงฉู่ผู้นี้นิสัยกำเริบเสิบสาน หุนหันพลันแล่น ไม่เหมาะจะเป็นจักรพรรดิ หากเขาขึ้นครองราชย์ จะต้องก่อสงครามนองเลือดที่หนักกว่าเดิมขึ้นโดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อล้างแค้นจักรพรรดิซวนเป็นแน่ และเรื่องนี้คล้ายจะมีคนที่ลอบบงการอยู่เบื้องหลัง หากไม่กำจัดคนที่บงการอยู่เบื้องหลังผู้นั้น เปลี่ยนจักรพรรดิสักกี่คนก็ไม่มีประโยชน์…”

อิงเหยียนนั่วแย้มยิ้ม ดวงตาทอประกายนิดๆ “ลูกพี่กู้ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเข้าใจเรื่องความรุ่งเรืองเสื่อมโทรมของอาณาจักรนี้อย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ถ้างั้นเจ้าว่าผู้บงการอยู่เบื้องหลังคนนั้นเป็นใคร?”

กู้ซีจิ่วเหล่มองเขาแวบหนึ่ง ตบไหล่เขาเบาๆ “เจ้าเด็กน้อยอย่าแสร้งทำเป็นลับลมคมในเช่นนี้เลย คนที่บงการอยู่เบื้องหลังผู้นั้นข้าพูดไปก็ยังไม่แน่ว่าเจ้าจะรู้จัก เอาล่ะ เจ้าออกไปก่อน ข้าจะเก็บข้าว เก็บของเสียหน่อย พวกเราจะมุ่งสู่แนวหน้า ข้าสงสัยว่าทัพลับอันแข็งแกร่งอันใดที่จักรพรรดิซวนพูดออกมาก็มีปัญหาเช่นกัน!”

เธอเริ่มเก็บขวดและกระปุกเหล่านั้น อิงเหยียนก็เชื่อฟังคำพูดของเธอ หันหลังเดินออกไป

กู้ซีจิ่วมองเงาหลังของเขาแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววใคร่ครวญลึกซึ้ง เธอรู้สึกอยู่เสมอว่าอิงเหยียนนั่วผู้นี้ค่อนข้างประหลาด อายุยังน้อยแต่เรื่องราวที่รู้กลับมากมายยิ่ง!

สิ่งที่เรียนรู้ก็ซับซ้อนนัก เขาเป็นวิชาเนตรสะกดจิต หลังจากไต่สวนคนเสร็จสิ้นสามารถใช้วิชาเนตรลบความทรงจำส่วนนี้ของผู้ถูกไต่สวนได้ ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น…

แถมยังฉลาดลํ้าเลิศ มีอยู่หลายครั้งนักที่เธอไม่จำเป็นต้องพูด เพียงส่งสัญญาณมือเล็กน้อย เขาก็เข้าใจแล้วว่าควรทำอะไร จัดการเรื่องราวได้เรียบร้อยหมดจดจนน่ากลัว

เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงความเมามายครั้งนั้น เธอดื่มไปไม่น้อย อิงเหยียนนั่วก็ดื่มไม่น้อยเช่นกัน แต่เธอเมาจนร่วงลงมาจากต้นไม้ร่วงสู่อ้อมแขนของคนผู้หนึ่ง หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย คงเป็นอิงเหยียนนั่วที่รับเธอไว้ ระหว่างที่สะลึมสะลืออยู่เธอคล้ายจะได้กลิ่นของตี้ฝูอี ไม่รู้ว่าได้กลิ่น

จริงๆ หรือเมาจนจมูกเพี้ยนไป…

กู้ซีจิ่วรู้ว่าตี้ฝูอีเชี่ยวชาญการปลอมตัว หนึ่งคนพันโฉมหน้า หลอกให้ผู้อื่นหัวหมุนได้ ดังนั้นหลังจากสร่างเมาในใจเธอจึงเกิดความหวังขึ้นเล็กน้อย หวังว่าเขาจะเป็นตี้ฝูอี หวังว่าเขากลับมาพบเธอจริงๆ…

ดังนั้นหลังจากสร่างเมาเธอจึงไปหาเขา พูดจำเป็นนัยๆ อยู่นานสองนาน ก็หลอกถามอะไรมาไม่ได้เลย

เธอแน่ใจว่ากลิ่นที่รับรู้ได้คือกลิ่นดวงวิญญาณของตี้ฝูอี แต่ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เข้าใกล้ในระยะประชิดยิ่ง ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วที่ร้อนรนใจ จึงจงใจสะดุดล้มแล้วโผใส่อ้อมอกเขา ล้มทับเขาอยู่ตรงนั้น ผลคือกลิ่นที่ได้จากตัวเขาแตกต่างกับตี้ฝูอีอย่างสิ้นเชิง

ฝ่ายอิงเหยียนนั่วตอนที่ถูกเธอทับไว้ข้างล่างก็แข็งทื่อไปทั้งตัว ผลักเธอออกทันทีราวกับเธอเป็นภัยพิบัติร้ายแรง ทั้งกลิ้งทั้งคลานหลบออกด้านข้าง ซํ้ายังกล่าวอะไรทำนองว่าชายหญิงมิพึงชิดเชื้อด้วย ขอให้ภายหน้ากู้ซีจิ่วอย่าเข้าใกล้เขาถึงเพียงนั้นอีก…

วาจาประโยคเดียวทำให้กู้ซีจิ่วเหน็บหนาวไปทั้งใจ ก่นด่าความประสาทของตน คิดถึงผู้อื่นจนบ้าไปแล้ว เห็นเด็กน้อยยังไม่สิ้นกลิ่นนํ้านมผู้หนึ่งเป็นตี้ฝูอีไปได้…

วันนั้นอิงเหยียนนั่วหลีกลี้หนีหน้าเธอทั้งวัน ยามที่พบเห็นเธอดวงตาจะเต็มไปด้วยความระแวดระวัง หวาดหวั่นว่าเธอจะโผเข้าใส่แล้วข่มเหงเขา ทำให้กู้ซีจิ่วอับจนวาจายิ่งนัก

เดิมทีเธอยังนึกว่าตนคงทำให้เจ้าเด็กน้อยคนนี้ขุ่นเคืองเสียแล้ว ต่อไปเจ้าเด็กน้อยผู้นี้คงไม่เข้าใกล้เธออีก กลับนึกไม่ถึงว่าวันถัดมายามที่กู่ฉานโม่แบ่งกลุ่มย่อย เจ้าคนผู้นี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะไปกับเธอให้ได้…

ตลอดการเดินทางครั้งเจ้าเด็กน้อยปฏิบัติต่อเธออย่างประเดี๋ยวอบอุ่น ประเดี๋ยวเย็นชา ทำให้คนค่อนข้างเดาทางไม่ออก

สุดท้ายกู้ซีจิ่วก็สรุปความว่าเป็นช่วงวัยต่อต้านของเด็กหนุ่มในช่วงวัยรุ่นไม่ใส่ใจเขามากนัก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!