บทที่ 1030 เขาไม่เก็บมาใส่ใจเลย
หลงซือเย่มองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่งด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม “คงไม่ใช่ว่าแม้แต่เพลงนี้เจ้าก็ไม่อยากร้องให้ข้ากระมัง?”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก วันนี้หลงซือเย่ราวกับกินดินปืน[1]เข้าไป พูดจาเสียดสีประชดประชัน เธอแย้มยิ้ม “เจ้าสำนักหลง ท่านคิดมากไปแล้ว ซีจิ่วว่านอบน้อมมิสู้ลงมือทำ”
เธอร้องขึ้นมาทันที
เนื่องจากเธอหลอมโอสถมาทั้งวัน เฝ้าเตาหลอมอยู่ตลอด ลำคอไม่เพียงแต่อ่อนล้าเท่านั้นยังแหบแห้งด้วย จึงร้องไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่
หลงซือเย่ฟังเธอร้องจนจบอยู่เงียบๆ มุมปากยกขึ้นน้อยๆ ไม่พูดอะไร
เย่หงเฟิงบ่นพึมพำประโยคหนึ่ง “ร้องสู้ข้าก็ไม่ได้ แค่พอฟังได้เท่านั้นแหละ”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน เธอตั้งใจร้องมากแล้วจริงๆ นะ!
เธอมองหลงซือเย่แวบหนึ่ง ทว่าหลงซือเย่ไม่ได้มอง และทำราวกับไม่ได้ยินวาจาเหน็บแนมประโยคนั้นของเย่หงเฟิง หันไปพูดคุยกับเย่หงเฟิงสองสามประโยค ล้วนเป็นการถามถึงสภาพการฝึกฝนของนาง
สองศิษย์อาจารย์ หนึ่งถาม หนึ่งตอบ อบอุ่นปรองดอง
กู้ซีจิ่วที่นั่งอยู่ตรงนั้นจู่ๆ ก็รู้สึกว่าความจริงแล้วตนค่อนข้างเป็นส่วนเกิน แต่งานเลี้ยงยังไม่จบ เธอไม่อาจขอตัวจากไปได้
ไม่ง่ายเลยกว่าจะสบจังหวะที่ศิษย์อาจารย์คู่นั้นหยุดสนทนากัน เธอหยิบเตาหลอมโอสถสีดำทองใบหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของ ประคองยื่นให้หลงซือเย่ “ครูฝึกหลง สุขสันต์วันเกิด สถานการณ์ฉุกละหุกไม่ได้เตรียมของดีอะไร เตาหลอมศักดิ์สิทธิ์ใบนี้สร้างจากเหล็กอุกกาบาต สามารถหลอมโอสถระดับแปดได้ ข้าบังเอิญพบในหุบเขาลูกหนึ่งเมื่อปีก่อน ข้าลองใช้ดูแล้ว ใช้ดีมาก”
อันที่จริงการเซอร์ ไพรซ์ที่หลงซือเย่เคยทำให้เธอในวันเกิดอายุสิบห้าเมื่อปีนั้น เธอยังคงซาบซึ้งมาก ยามนั้นจึงสาบานไว้ว่าจะเตรียมของขวัญที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับวันเกิดของหลงซือเย่เพื่อตอบแทนเขา
ต่อมายามที่ออกไปทำภารกิจด้านนอก เธอพบเตาหลอมศักดิ์สิทธิ์ใบนี้ในภูเขาลูกหนึ่ง เธอทุ่มเทเรี่ยวแรงไปมากมายถึงเอามันออกมาได้ แถมยัง ต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่เฝ้าพิทักษ์อย่างดุเดือดยกหนึ่งด้วย ได้รับบาดเจ็บไม่เบาเลย
เตาหลอมศักดิ์สิทธิ์ใบนี้เก่าแก่กว่าเตาหลอมหยกม่วงที่เธอเคยได้รับเสียอีก เมื่ออ่านจารึกที่สลักไว้ด้านบนจึงทราบว่าเป็นสมบัติของปรมาจารย์หลอมโอสถชั้นยอดท่านหนึ่งในสมัยโบราณ คุณสมบัติย่อมยอดเยี่ยมนัก
กู้ซีจิ่วเก็บไว้ในถุงเก็บของตลอด เตรียมไว้สำหรับหาโอกาสมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดเขา รู้สึกว่าพอเขาเห็นแล้วจะต้องรับรู้ถึงความจริงใจของเธอแน่นอน ทราบว่าเธอยังคงใส่ใจเพื่อนอย่างเขาเป็นที่สุด ยามนี้ในที่สุดเธอก็ได้มอบให้แล้ว
นึกไม่ถึงว่าหลงซือเย่จะเหลือบมองเตาหลอมโอสถใบนั้นแค่แวบเดียว เอ่ยขอบคุณคราหนึ่ง รับไปอย่างไม่อินังขังขอบ มองอีกสักแวบก็ไม่มอง โยนเข้าไปในถุงเก็บของตัวเองทันที
ชัดเจนยิ่งนักว่าของขวัญที่กู้ซีจิ่วมอบให้ชิ้นนี้ธรรมดาสามัญเกินไป เขาไม่เก็บมาใส่ใจเลย
กู้ซีจิ่วเม้มปากนิดๆ ไม่พูดอะไรอีก จดจ่อกับการกินอาหารเท่านั้น
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้กินเวลานานเหลือเกิน หลงซือเย่พุดคุยกับเย่หงเฟิงอยู่ตลอด ไม่สนใจกู้ซีจิ่วอีกเลย ส่วนเย่หงเฟิงพูดคุยไม่กี่ประโยคก็จะเหลือบมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง แววตานั้นเต็มไปด้วยความลำพองใจ…
กู้ซีจิ่วแค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ทำได้เพียงภาวนาให้อาหารมื้อนี้จบลงโดยเร็ว เธอจะได้กลับโรงเตี๊ยมไปนอนเสียที
ในสถานการณ์เช่นนี้ หลงซือเย่ไม่คุยเรื่องอาการป่วยของตี้ฝูอีกับเธอแล้วแน่นอน ดังนั้นคืนนี้เธอถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่ได้รับประโยชน์อีก เอาไว้ค่อยถามพรุ่งนี้แล้วกัน
อาหารมื้อนี้กินกันจนถึงยามกะสาม หลงซือเย่ยังไม่มีทีท่าว่าจะบอกให้แยกย้ายเลย
ทว่ากู้ซีจิ่วกินจนค่อนข้างจุกแล้ว เธอรู้สึกว่าหลงซือเย่คงคิดจะโต้รุ่งแล้ว เธอเป็นก้างขวางคออยู่ที่นี่ทั้งคืนเห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้เธอจึงหาข้ออ้างลุกขึ้น ขอตัวลา
ในที่สุดหลงซือเย่ก็หันมามองเธอ กล่าวอย่างเฉยชา “เจ้าไม่อยากฟังข้าวิเคราะห์อาการป่วยสหายคนนั้นของเจ้าแล้วหรือ?”
———————————————————————
[1] กินดินปืน หมายถึง ฉุนเฉียวใส่อารมณ์