Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 1187

บทที่ 1187 ที่แท้วางหมากไว้อย่างดีแต่แรกแล้ว

จากนั้นเขาก็มุดเข้าไปในกับดักของสองคนนี้!

โม่เจ้าประมวลความคิดอย่างรวดเร็ว เขาพลันนึกผู้คุ้มกันไม่กี่คนที่หลงซือเย่พาออกไปยามไปเก็บสมุนไพร จึงกวาดสายตามองทันที พบว่าไม่กี่คนนั้นยังปะปนอยู่ในฝูงชน เขาอ้าปากตะโกน “ระวังจางชิง…”

เขาเพิ่งจะเอ่ยนามหนึ่งออกมา ไม่กี่คนนั้นก็ลงมือในทันใด…

ไม่เพียงแต่ไม่กี่คนนั้นที่ลงมือ ในฝูงชนยังมีอีกกว่าสิบคนที่จู่ๆ ก็ระเบิดพลังออกมา

ลำแสงสีหลากสีสันนับไม่ถ้วนพุ่งวาบสลับกันไปมา ผู้คุ้มกันของตำหนักใต้ดินที่อยู่รอบตัวพวกเขากรีดร้องออกมาสั้นๆ จากนั้นก็ล้มลงไปหลายสิบ คน เห็นได้ชัดว่าฝูงชนคาดไม่ถึงว่าจะมีในกลุ่มจะมีมือสังหาร จึงตอบสนองไม่ทันชั่วขณะ เกิดความโกลาหลขึ้นทันที กระจายตัวออกไปรอบด้านเสียงดังครืน…

“นายท่าน”

“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย”

“ฝูอี!”

“ซีจิ่ว…”

มีเจ็ดแปดคนเหินทะยานมาอยู่รอบกายพวกตี้ฝูอีทั้งสอง พากันทำความเคารพพวกเขา แน่นอนว่าถึงแม้ยามนี้รูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาจะยังเป็นสาวกของตำหนักใต้ดินอยู่ ทว่าเสียงกลับเปลี่ยนเป็นเสียงเดิมของตนแล้ว

กู้ซีจิ่วกุมหน้าผาก ความจำของเธอดีมาก ความสามารถด้านการจดจำผู้คนก็แข็งแกร่ง สำหรับเธอแล้วคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนคุ้นเคยทั้งนั้น

มู่เฟิง มู่เหล่ย มู่อวิ๋น มู่เตี่ยน เทียนจี้เยวี่ย เชียนเยวี่ยหราน…

สานุศิษย์สวรรค์ทั้งห้านอกจากฮวาอู๋เหยียนแล้วที่เหลือล้วนอยู่ที่นี่กันพร้อมหน้า!

และคนที่เหลือเหล่านั้นน่าจะเป็นลูกน้องของตี้ฝูอี เนื่องจากตอนที่พากันทำความเคารพพวกเขาเรียกว่า ‘นายท่าน’

จะอย่างไรกู้ซีจิ่วก็นึกไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะปะปนเข้ามาหมดเลย อดไม่ได้ที่จะหันไปมองตี้ฝูอี มิน่าล่ะเจ้าคนผู้นี้ถึงทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ตลอด ที่แท้เขาก็วางหมากไว้อย่างดีแต่แรกแล้ว!

สถานการณ์นี้เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไป ผู้คุ้มกันของวังใต้ดินเหล่านั้นส่วนใหญ่ถูกทิ้งให้ตกตะลึงจนตาค้างอ้าปากหวอแล้ว…

ถึงแม้ว่าสีหน้าของโม่เจ้าจะซีดเผือดแต่ยังคงคิดจะสู้อย่างหลังชนฝาอยู่ รีบตะโกนเสียงดัง “พวกเขาก็แค่สิบแปดคนเท่านั้น ทว่าพวกเรามีกว่าสามร้อยคน ทุกคนไม่ต้องกลัว สู้ตายกับพวกเขากันเถอะ!”

การตะโกนนี้ของเขาส่งผลให้คนสงบใจลงได้ ผู้คุ้มกันของวังใต้ดินที่กำลังโกลาหลอยู่เหล่านั้นในที่สุดก็ดูเหมือนจะแกนนำเจอแล้วจึงสงบสติลงอีกครั้ง พากันโอบล้อมอยู่รอบๆ โม่เจ้า

‘ติ้ง!’ เกิดเสียงคล้ายพิณสายขาดดังขึ้น สะเทือนจิตใจของฝูงคนให้สั่นสะท้าน

ฝูงชนมองไปตามเสียงพิณ พบว่าสตรีบรรเลงพิณที่ขี้ขลาดยิ่งนักเสมอมาคนนั้นนั่งอย่างผึ่งผายอยู่บนโต๊ะ พิณตัวนั้นพาดอยู่บนตัก ยิ้มเจ้าเล่ห์ปานจิ้งจอก “พวกเจ้ายังนึกว่าจะมีแรงสู้อยู่อีกหรือ? ไยทุกท่านไม่สัมผัสจุดที่อยู่ถัดลงไปจากสะดือหนึ่งชุ่นหน่อยเล่า ดูเสียหน่อยว่ามีความรู้สึกผิดปกติอันใดหรือไม่”

ฝูงชนนิ่งงัน วันนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายเกินไป เหล่าผู้คุ้มกันของตำหนักใต้ดิน จึงตื่นตระหนกปานวิหคผวาธนูแล้ว จึงพากันสัมผัสตามที่ได้ยิน จากนั้นก็หดมือกลับดั่งถูกผึ้งต่อย

เจ็บ! เจ็บ! คัน! คัน!

ที่สำคัญกว่านั้นคือพลังวิญญาณของพวกเขาคล้ายจะถูกผนึกไว้ ใช้ไม่ได้เลยสักส่วนเดียว!

ชัดเจนยิ่งนัก พวกเขาถูกพิษโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เหล่าผู้คุ้มกันของตำหนักใต้ดินแต่ละคนหน้าถอดสี ทราบว่าหมดหวังอย่างแท้จริงแล้ว สบตากันแวบหนึ่ง พลันวิ่งหนีออกไปนอกประตูเสียงดังตึงตัง…

เพียงแต่พวกเขายังวิ่งไปไม่ทันถึงปากประตู ฝาครอบโปร่งใสอันหนึ่งก็ร่วงลงมาตรงประตูเสียงดังสวบ ปิดกั้นประตูใหญ่ไว้ทันที แม้แต่ช่องว่างสักน้อยก็ไม่มี ด้านบนฝาครอบมีสตรีนางหนึ่งยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ สวมอาภรณ์สีเหลืองพลิ้วไสว “คิดจะหนีรี? ปองร้ายนายท่านของพวกเราแล้วยังคิดว่าจะหนีรอดอีกหรือ? ไหนเลยจะง่ายดายถึงเพียงนั้น?!”

ดวงตาของสตรีนางนั้นกลมโตขาวดำตัดกันชัดเจนดูมีชีวิตชีวายิ่งนักแฝงกลิ่นอายดุดันห้าวหาญ มองเหล่าผู้คุ้มกันของวังใต้ดินที่อยู่ด้านล่าง เสมือนนักล่ากำลังมองกระต่ายขาวตัวน้อยที่วิ่งพล่านไปทั่ว ฝาครอบอันนี้ของนางเห็นได้ชัดว่าเป็นอาวุธวิเศษ ขวางอยู่ตรงนั้นเหมือนขุนเขาที่ไม่อาจเคลื่อนย้ายได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!