Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 1210

บทที่ 1210 เป็นเพราะการสลับร่างนั่นเอง!

หยกนภาบินออกมาจากโลงผลึกแก้ว เสียงดังพรึบ หมุนวนรอบตัวกู้ซีจิ่วหนึ่งรอบใหญ่ จากนั้นบินกลับไปหมุนวนรอบข้อมือร่างนั้นใหม่และยังเปล่งแสงอีกครั้ง ปรากฏเป็นลำแสงละลานตายิ่งกว่าสายรุ้ง

กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง

แค่ไม่เจอกันสิบกว่าวัน เจ้าก็ไม่เป็นมิตรขนาดนี้แล้ว หรือว่ามันกำลังหึงหวง?

กู้ซีจิ่วตัดสินใจไม่สนใจมันก่อนชั่วขณะ สายตาร่อนลงที่กำไลคู่บุพเพวงนั้น หยุดชะงักครู่หนึ่ง เดิมทีกำไลคู่บุพเพนั้นสวยงามมาก ชุ่มชื้นและโปร่ง ใสดังหยกม่วง ตอนนี้กลับกลายเป็นวงเทาหม่น หมองมัวประหนึ่งกำไลหิน

กู้ซีจิ่วหวงแหนกำไลวงนี้ยิ่งนัก สวมใส่อย่างระมัดระวังเป็นพิเศษกลัวจะไปโดนอะไรแตกเข้า เธอจะเอามันไปเก็บไว้ในสถานที่สำคัญนานแล้วหากไม่ใช่เพราะถอดไม่ได้ ตอนนี้เห็นมันเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ เธอย่อมปวดร้าวจิตใจ ดังนั้นเธอจึงเอ่ยถามหยกนภา

ตอนแรกหยกนภาดูเหมือนจะไม่อยากสนใจเธอ กู้ซีจิ่วถามมันสองครั้ง มันก็ไม่ตอบ

กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เจ้านี่หึงหวงมากเกินไปแล้วนะ…

เธอหันกายเตรียมจะไปหาและถามตี้ฝูอี เพิ่งจะหันกายไป ข้อมือพลันเย็นวาบ หยกนภาเกลียววนขึ้นมา สาดแสงระยิบระยับไม่หยุดหย่อน แต่ไม่มีการตอบโต้อันใดในหัวของกู้ซีจิ่ว

ครั้งนี้ กู้ซีจิ่วประหลาดใจจริงๆ หยกนภาสื่อสารกับเธอผ่านกระแสจิตมาโดยตลอด มันตอบโต้ได้ในหัวของเธอ แต่ครั้งนี้มันเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ตัวเองกลับไม่อาจรับรู้ได้…

หรือว่าเป็นเพราะการสลับร่าง?

“เสี่ยวชาง เจ้าติดต่อได้เพียงกับคนที่เป็นเจ้าของร่างนี้เท่านั้นใช่หรือไม่?

กู้ซีจิ่วถามข้อสงสัยของตัวเองออกมา เพราะเธอสัมผัสไม่ได้ถึงการมีตัวตนของหยกนภา ดังนั้นเธอจึงให้สองตัวเลือกแก่หยกนภา หากเธอพูดถูกให้มันเปล่งแสงหนึ่งครั้ง หากเธอทายไม่ถูกต้องให้มันเปล่งแสงสองครั้ง

สุดท้ายแล้ว หยกนภาเปล่งแสงหนึ่งครั้งอย่างที่คิด เป็นเพราะการสลับร่างนั่นเอง!

ดูเหมือนว่าหากไม่สลับร่างกลับไป ไม่เพียงแต่กำไลคู่บุพเพจะถอดออกมาไม่ได้ แม้แต่หยกนภาก็ไม่มีทางติดต่อกับเธอได้แล้ว!

เธอสูดลมหายใจเข้าเบาๆ ตัดสินใจไปหาตี้ฝูอีหารือเรื่องการสลับร่าง เขาควรจะมีวิธี!

เธอรู้ว่าเขาไม่เห็นด้วยเรื่องที่เธอจะสลับร่างกลับคืน แต่เธอรู้สึกว่าหากไม่สลับร่าง มันมีข้อเสียมากเกินไปแล้ว เธอต้องไปคุยกับเขาเรื่องเหล่านี้

สถานที่ที่ตี้ฝูอีกักตนอยู่ก็คือห้องภายในตำหนักผลึกแก้ว ใจกลางวังคํ้านภา

ทว่าเมื่อถึงที่นั้นแล้ว ก็ถูกมู่เฟิงสกัดไว้ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายบอกไว้ว่าครั้งนี้เขาต้องกักตนสามวัน ภายในสามวันนี้ให้เธอเป็นเด็กดีอยู่ในวังคํ้านภา รอเขาออกจากการกักตนเมื่อใดค่อยพาเธอออกไปเที่ยวเล่น

ลึกๆ แล้วกู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตี้ฝูอีหว่านล้อมเธอเหมือนเป็นเด็กน้อย ขอแค่ไม่ดื้อไม่ซน เป็นเด็กดีเล่นอยู่บ้าน พอผู้ใหญ่กลับมาก็จะซื้อขนมมาฝาก…

เธอมองไปที่ตำหนักผลึกแก้วนั้นแวบหนึ่ง ตำหนักนั้นถึงแม้ทำมาจากผลึกแก้ว แต่กำแพงตัวตำหนักน่าจะหนาเกินไป ไม่โปร่งใส ดังนั้นจึงมองไม่เห็นว่าด้านในมีลักษณะอย่างไร และย่อมมองไม่เห็นว่าตี้ฝูอีด้านในนั่งสมาธิอย่างไร

มู่เฟิงเห็นนางมองไปภายในตำหนักก็อดไม่ได้ที่จะอยากหัวเราะ เดิมทีแม่นางกู้ผู้นี้เป็นเหมือนดังนกอินทรีที่ไม่ยินยอมรับการผูกมัดใดๆ หากผูกมัดนางแค่เพียงเล็กน้อยก็จะมีการตอบสนองที่รุนแรง ตอนนี้กลับปรารถนาจะอยู่ข้างกายทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตลอดเวลา ที่แท้เสน่ห์ของนายท่านของเขาไม่มีผู้ใดต้านทานได้ หญิงสาวที่ดื้อรั้นอยู่กับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลอ่อนพันรอบนิ้วมือ เขามองกู้ซีจิ่วหันกายจะเดินจากไป จึงรีบบอกอีกประโยคหนึ่ง “นายท่านบอกว่าให้แม่นางฝึกฝนวิชาพลังปัญญาที่เขาสอน บอกว่ามันมีประโยชน์ต่อแม่นางมาก”

กู้ซีจิ่วพยักหน้าแล้ว หันกายเดินจากไป

———————————————————————

[1] มะเขือที่ถูกทุบด้วยนํ้าค้างแข็ง สุภาษิต เปรียบเปรย ความรู้สึกท้อแท้เหงาหงอย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!