Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 1254

บทที่ 1254 ปล่อยมือจากไปอย่างไร้เยื่อใย…

บนจดหมายมีเพียงข้อความสั้นๆ ไม่กี่ประโยค

‘ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เห็นแก่มิตรภาพของพวกเรา ร่างนั้นข้ายินดียกให้ท่าน ข้าไม่ต้องการความรู้สึกและการชดเชยจากท่าน พิธีแต่งงานนั้นล้มเลิกไปเสียเถิด นับแต่นี้ไปท่านกับข้า บุรุษแต่งงาน สตรีออกเรือน มิมีอันใดเกี่ยวกันอีก’

เขาขยุ้มจดหมายฉบับนั้นไว้ ขยุ้มจนข้อนิ้วขาวซีด ไม่จำเป็นต้องถามเลย เมื่อคืนนางได้ยินบทสนทนาของเขากับหลานเหยากวงหมดแล้ว จากนั้นนางก็ปล่อยมือจากไปอย่างไร้เยื่อใย…

….

ในป่าทมิฬยังคงมืดทึบเช่นเดียวกับที่ผ่านมา แต่ในสายตาของกู้ซีจิว เจ็ดยอดเขาของป่าผืนนี้ล้วนปลอดภัยอย่างยิ่ง ถึงแม้บนยอดเขาจะมีสัตว์ร้ายมากมาย แต่เมื่อพวกมันได้กลิ่นของลู่อู๋น้อยก็จะเผ่นหนีไปทันที ไม่เพียงแต่ไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีสัตว์ร้ายปรากฏตัวรายล้อมป็นชั้นๆ อีกแล้วเท่านั้น ถึงขั้นที่กู้ซีจิ่วคิดจะล่าสัตว์มากินสักหน่อยก็ไม่อาจทำได้ เนื่องจากแม้แต่กระต่ายสักตัวเธอก็หาไม่เจอเลย…

เจ้าหอยยักษ์ เพรียกวายุ ลู่อู๋หลังจากมาถึงป่าผืนนี้ก็ราวกับมัจฉาได้วารี กระโดดโลดเต้นไปทั่วอย่างลิงโลด ไม่ว่าจะไปทางใดล้วนเกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นเป็นพักๆ

กู้ซีจิ่วขี่อยู่บนหลังของเพรียกวายุ ข้ามเขาข้ามห้วยปานย่างอยู่บนพื้นราบ

รอจนเจ้าสามตัวนี้หนำใจกันแล้ว เธอก็เริ่มมุ่งหน้าสู่ยอดเขาที่เจ็ด สมุนไพรที่เธอต้องการอยู่บนยอดเขาที่เจ็ด ความสำเร็จคอยอยู่เบื้องหน้าแล้ว

ป่าทมิฬเป็นระบบนิเวศแบบปิดตัว ที่นี่จะไม่เห็นแสงสว่างจากภายนอกเลยทั้งปี และไม่อาจสื่อสารกับโลกภายนอกได้ ตามที่ฝูงชนกล่าวกันไว้ ที่นี่เป็นสถานที่แห่งความตาย เป็นสถานที่ที่ถูกเทพเซียนทอดทิ้ง เมื่อมาถึงด้านในนี้แล้วทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น อาศัยความสามารถของตัวเองรอดออกไป

กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความเคยชิน สิ่งที่มองเห็นย่อมเป็นสีทึมทึบไปหมด…

เธอยกมือนวดหว่างคิ้ว เธอรู้สึกฉงนใจอยู่บ้าง ยามที่มาหนก่อนพลังวิญญาณของเธอต่ำต้อย แต่ตอนที่อยู่บนเรือของตี้ฝูอีแล้วมองลงมา สามารถมองเห็นสีสันต่างๆ ของแต่ละยอดเขาได้ ยอดเขาที่แปดที่ลึกลับที่สุดเป็นสีรุ้ง และบางครั้งที่อยู่ในป่าก็ยังมองเห็นท้องฟ้าด้านนอกได้เป็นครั้งคราวด้วย

แต่ครั้งนี้ตอนที่เธอมองยอดเขาเหล่านี้จากด้านนอกเห็นเพียงสีเทาทึบทึมไปหมด มองไม่เห็นอะไรเลยสักนิด มองไม่เห็นสีสันที่งดงามพวกนั้นอีกแล้ว และเมื่อเข้ามาในป่าทมิฬ ท้องฟ้าที่มองเห็นก็เป็นสีดำทะมึนอยู่ตลอด แสงสว่างสักสายก็มองไม่เห็นเลย เพียงแต่เธอคำนวณเวลาดูแล้ว ตอนนี้ข้างนอกน่าจะเป็นช่วงเที่ยงของวันที่สองแล้ว เธอทิ้งจดหมายไว้ให้ตี้ฝูอี เขาคงจะได้อ่านแล้ว…

อันที่จริง ตอนเขียนจดหมาย เธออยากเขียนถ้อยคำใจกว้างจำพวก ‘ขอให้นางในดวงใจของท่านฟื้นขึ้นมาในเร็ววัน ให้ท่านกับนางได้อยู่ร่วมกันโดยเร็ว ครองคู่โบยบิน’ ยิ่งนัก แต่ยามที่จรดพู่กัน เธอกลับรู้สึกว่าถ้อยคำใจกว้างเช่นนั้นเธอเขียนไม่ออก หลังจากฝืนใจเขียนออกมา เธอมองอักษรเหล่านั้นแล้ว รู้สึกขัดเคืองนัยน์ตา อึดอัดใจยิ่งนัก เธอไม่อยากอวยพรเขาเช่นนี้…

ด้วยเหตุนี้คืนนั้นเธอเขียนออกมาหลายแผ่น กองกระดาษที่เขียนสามารถยัดได้เต็มตะกร้าทิ้งกระดาษแล้ว สุดท้ายเธอจึงเขียนไม่กี่ประโยคนั้นออกมา จากนั้นก็ทำลายก้อนกระดาษทั้งหมดในตะกร้าทิ้งกระดาษเสีย

เธอไม่อาจมอบคำอวยพรของเธอให้ได้ มากสุดก็คือยินยอมมอบร่างนั้นให้ เธอไม่อยากพบเขาอีกแล้ว กล่าวให้ถูกคือเธอไม่อยากได้ยินข่าว

คราวใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเขาและอดีตประมุขเผ่าเงือกคนนั้นอีกแล้ว เช่นนี้ไม่ว่าประมุขสาวเผ่าเงือกผู้นั้นจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาตอนไหน เธอก็ไม่ต้องรับรู้ทั้งนั้น…

เขาดีต่อเธอ เธอรู้ดี ดังนั้นถึงได้ยอมประคองร่างเดิมของตนส่งให้อย่างสันติเยือกเย็นเช่นนี้ นับว่าเป็นของกำนัลแก่น้ำใจของเขาที่คอยช่วยเหลือเธอมามากมายหลายครั้ง เธอก็หวังว่าเขาจะมีชีวิตที่ดี เธอชอบเขา แต่ไม่คิดจะปล่อยให้ตนต้องอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในภายภาคหน้า ไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นภรรยาขี้อิจฉาที่คอยแย่งชิงความโปรดปรานกับคนอื่นน่าเกลียดจนเกินไปแบบนั้น หากเป็นเช่นนั้นเธอคงจะรังเกียจตัวเองเช่นกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!