บทที่ 1264 ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หานางให้พบก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ทั้งป่าคล้ายจะเดือดพล่านขึ้นมา สัตว์ร้ายมากมายในป่ากระโดดโลดเต้น อ้าปากกว้างรับหยาดฝนสีโลหิตอย่างตะกละตะกลาม
ส่วนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กลับลอยพลิ้วขึ้น มือทำมุทรา มีนํ้าเสียงเสมือนระฆังรุ่งสางกลองพลบคํ่าแว่วออกไป “รับโลหิตข้า ฟังคำสั่งข้า ตามหาคนที่โลหิตชี้นำ…”
แหวนวงนี้เคยเป็นสิ่งที่นางชอบที่สุด และนางสวมติดกายเป็นเวลานาน บนแหวนจึงมีกลิ่นอายของนางอยู่มากพอ ทั้งยังมีโลหิตเทพของเขาเป็นสื่อชักนำ สัตว์ร้ายทั้งหมดในป่าทมิฬที่ดื่มพิรุณโลหิตของเขาเข้าไป ล้วนต้องช่วยเขาตามหาคน…
ขอเพียงกู้ซีจิ่วยังอยู่ในป่าทมิฬแห่งนี้ จะต้องถูกสัตว์ร้ายเหล่านี้หาตัวพบ และส่งข่าวมาให้เขา
หลังจากทำสิ่งเหล่านี้เสร็จสิ้น เขาก็ค่อยๆ ร่อนลงมา ร่างส่ายโงนเงนเล็กน้อย ทรุดลงนั่งบนโขดศิลาเขียวก้อนหนึ่ง หยิบลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมาแล้วกินเข้าไป
มู่เฟิงมองผิวเขาที่ขาวราวกับจะโปร่งแสง เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าตัวคนแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงทำให้เขารู้สึกคล้ายกระเบื้องเคลือบชนิดหนึ่ง เสมือนลมพัดคราหนึ่งก็ปลิวแล้ว เขาถูกความคิดที่ผุดขึ้นมากะทันหันนี้ทำให้ตกใจ ส่ายหน้าเล็กน้อย ทำไมเขาถึงมีความคิดที่ไม่เข้าท่าแบบนี้กันนะ?
แต่ไหนแต่ไรมาท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนแข็งแกร่งที่สุด ไม่เคยมีผู้ใดเอาชนะเขาได้ เมื่อเขาโกรธเกรี้ยว สามารถสั่นสะเทือนฟ้าดินได้ แล้วจะเปราะบางเฉกเช่นกระเบื้องเคลือบไปได้อย่างไร?
สองวันมานี้ตนคงจะตามหาคนจนเลอะเลือนไปแล้ว ถึงได้มีความคิดที่ไม่เข้าท่าเช่นนี้
หลังจากตี้ฝูอีกินยาลูกกลอนเข้าไปก็เริ่มนั่งสมาธิเงียบๆ มู่เฟิงก็คุ้มกันอยู่ข้างกายเขา
เป็นเช่นนี้จนผ่านพ้นไปหนึ่งชั่วยาม ตี้ฝูอีจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืน เขาไม่ได้รับข่าวใดๆ จากเหล่าสัตว์เลย กล่าวอีกอย่างก็คือนางไม่ได้อยู่บนยอดเขาใดๆ ในบรรดายอดเขาทั้งเจ็ดเลย!
เช่นนั้นนางไปที่ใดกัน?
หรือว่าออกจากป่าทมิฬไปแล้ว?
เขาสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง สั่งการมู่เฟิงที่อยู่ข้างกาย “เจ้าออกไปสั่งการองครักษ์ลับทั่วทวีป ให้ตามหาที่อยู่ของนาง”
นอกเสียจากนางจะหาสถานที่เหมือนตำหนักลับใต้ลาวาของโม่เจ้าพบ มิเช่นนั้นขอเพียงนางออกจากป่าทมิฬแห่งนี้ไปก็จะถูกองครักษ์เงาเหล่านั้นของเขาหาตัวพบ…
มู่เฟิงตอบรับคราหนึ่งแล้วจากไป
ตี้ฝูอีหลับตาลงนิดๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หานางให้พบก่อนแล้วค่อยว่ากัน
….
เมื่อเทียบกับความเป็นเดือดเป็นร้อนของตี้ฝูอีแล้ว วันเวลาของกู้ซีจิ่วในสองวันมานี้กลับผ่านไปอย่างราบรื่น เธออยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้นชั่วคราว
อย่างไรเสียก็เข้าแล้วออกไม่ได้ ผู้คนของที่นี่ก็ค่อนข้างมีอัธยาศัยไมตรี
แน่นอน เนื่องจากคนเหล่านี้ล้วนเคยเป็นผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นสานุศิษย์มาก่อน จึงมีความสามารถหลายด้านนัก ในกระดูกยังคงมีความทระนงยิ่งนักอยู่ แต่ละคนล้วนจองหองยิ่ง มักจะประชันขันแข่งกันเองอยู่บ่อยครั้ง สู้กันจนเกิดความโกลาหลขึ้น แน่นอนว่ามีขอบเขตในการประลอง ไม่ได้สู้กันจนถึงชีวิตจริงๆ เมื่อประลองเสร็จก็กอดไหล่เป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน
กู้ซีจิ่วอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้วันเดียวก็ทราบจำนวนประชากรของที่นี่อย่างชัดเจนแล้ว มีสตรีแปดคน บุรุษสามสิบสองคน ระยะเวลาที่พวกเขาอยู่ที่นี่ไม่เท่ากัน บางคนก็เป็นผู้เฒ่าที่อยู่มาแปดสิบเก้าสิบปีแล้ว และบางคนก็เป็นคนหนุ่มสาวที่เพิ่งมาได้สองสามปี
ที่นี่เป็นเมืองลับแลที่ปิดกั้นจากโลกภายนอก ตอนแรกที่คนเหล่านี้มาถึงที่นี่ ยังคงคิดหาจะออกไปอยู่ตลอด แต่หลังจากชนกำแพงหลายครั้งเข้าก็หมดหวังไปแล้ว ที่นี่เปรียบเสมือนหม้อเหล็กใบหนึ่ง พวกเขาเหล่านี้ล้วนถูกขังไว้ในหม้อ แม้แต่รูให้หนูลอดก็หาไม่พบเลย ในเมื่อออกไปไม่ได้เช่น นั้นย่อมต้องใช้ชีวิตต่อไป โชคดีที่สภาพแวดล้อมของที่นี่ยังนับว่าผาสุก ใบไม้บนต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นมีสรรพคุณที่พิเศษยิ่งนักอย่างหนึ่ง หลังจากเด็ดใบลงมาขยำหลายๆ ครั้งแล้วทุบ ก็จะได้เป็นผ้าสีเงินบางๆ ใช้ผ้าชนิดนี้มาตัดเย็บเสื้อผ้า ไม่เพียงแต่ดูดีเท่านั้นยังไม่สกปรกง่ายๆ ด้วย และใส่สบายยิ่งนัก