Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 1330

บทที่ 1330 วันชุมนุม

เมื่อคำนวณจากฝีเท้าของเจ้าหอยยักษ์แล้ว ตอนนั้นมันมุดได้กว่าพันเมตร!

ครั้งนี้หากว่ามันแบกตี้ฝูอีมุดดินลงไปดังว่า บางทีอาจจะดำลงไปลึกยิ่งนัก ต่อให้เธอใช้รถแมคโครขุดก็เกรงว่าจะขุดไม่พบกระทั่งชายชุดสักครึ่งผืนของเขา

เวลาเก้าวันไม่ยาวนาน โดยเฉพาะกับทุกคนที่ยุ่งง่วนกันอยู่ทุกวัน กะพริบตาแปบๆ ก็แทบจะผ่านไปแล้ว แต่สำหรับกู้ซีจิ่วกลับค่อนข้างนาน ในเก้าวันนี้ตี้ฝูอีไม่มีข่าวคราวเลยสักนิด เธอค้นหาตามสถานที่มากมายหลายแห่งแล้ว ก็ล้วนไม่มีเงาร่างของเขา เจ้าหอยยักษ์ก็ติดต่อไม่ได้เช่นกัน ราวกับ เขาจากไปแล้วจริงๆ

ปกติแล้วลู่อู๋น้อยมีวิธีพิเศษอย่างหนึ่งในการติดต่อสื่อสารกับเจ้าหอยยักษ์ ขอเพียงยังอยู่ในระยะสิบลี้พวกมันก็สามารถใช้วิธีของตนติดต่อกันได้ แต่ครั้งนี้ลู่อู๋น้อยก็สัมผัสถึงการคงอยู่ของเจ้าหอยยักษ์ไม่ได้เช่นกัน

กู้ซีจิ่วทำได้เพียงรอให้เขาปรากฏตัวขึ้นในอีกเก้าวันให้หลัง แล้วค่อยว่ากัน

….

วันชุมนุมเวียนมาถึงอีกครั้ง

กองไฟลุกโชติช่วง เนื้อสัตว์ถูกย่าง กลิ่นเนื้อหอมหวนเตะจมูก กองไฟในครั้งนี้ค่อนข้างพิเศษ เนื่องจากฟืนที่ก่อไฟเป็นไม้หอมพิเศษชนิดหนึ่งจากภูเขาด้านหลัง กลิ่นของเนื้อสัตว์ที่ถูกย่างด้วยไม้หอมชนิดนี้จะมีกลิ่นหอมพิเศษอย่างหนึ่ง เลิศรสยิ่งนัก ส่วนเนื้อในครั้งนี้ก็พิเศษมากเช่นกัน เป็นเนื้อมังกรปีศาจที่ถูกสังหารเมื่อหลายวันก่อน เนื้อมังกรปีศาจนี้ไม่เพียงแต่โอชารสเท่านั้น ยังคงสภาพได้นานอีกด้วย ผ่านไปกว่าสิบวันแล้ว หากว่า

เป็นเนื้อสัตว์ชนิดอื่นคงเหม็นเน่าไปนานแล้ว เนื้อของมันกลับยิ่งปล่อยไว้ยิ่งหอม ทำให้ผู้คนของที่นี่ตื่นตาตื่นใจกัน

เหล่าสตรีที่มีหน้าที่ทำอาหารนำเนื้อเหล่านี้มาปรุงด้วยหลากหลายวิธี มีตุ๋น มีย่าง มีต้ม มีทอด งานเลี้ยงรอบกองไฟวันนี้แทบจะนับได้ว่าเป็นงานเลี้ยงเนื้อมังกรปีศาจไปแล้ว

เนื้อสารพัด กับข้าวหลากหลายวางเรียงรายเต็มโต๊ะตัวยาว ใครชอบอะไรก็ไปหยิบเอาเอง ค่อนข้างคล้ายบุฟเฟ่ต์ยิ่งนัก ทุกคนนั่งล้อมวงกันกินเนื้อ ดื่มสุรา ร้องรำทำเพลง มีกลิ่นอายแบบโบร่ำโบราณมาก

กู้ซีจิ่วก็นั่งอยู่ในกลุ่มคน ดื่มสุราพลางถือเนื้อป้อนให้ลู่อู๋กับเพรียกวายุที่อยู่ข้างกายอย่างใจลอย

ถึงแม้สภาพแวดล้อมของที่นี่จะดึกดำบรรพ์ยิ่งนัก แต่พลังวิญญาณกลับน่าตะลึงโดยแท้

กู้ซีจิ่วอาศัยอยู่ที่นี่กว่าครึ่งเดือนแล้ว รู้สึกว่าพลังวิญญาณยกระดับขึ้นอีกไม่น้อย

เพรียกวายุเดิมทีเป็นสัตว์ขั้นห้า แต่หลังจากติดตามกู้ซีจิ่วมา พลังวิญญาณของมันก็ยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง ในระยะเวลาสองปี มันฝึกฝนจนถึง ขั้นหกแล้ว ตอนที่เข้ามาพลังวิญญาณของมันอยู่ขั้นหกตอนกลาง ระยะเวลาสั้นๆ ที่อยู่ที่นี่มาครึ่งเดือน บนร่างของมันเริ่มมีประกายแสงจางๆ ส่องวาบออกมาเป็นครั้งคราวแล้ว นี่เป็นสัญญาณว่ากำลังจะทะลวงสู่ขั้นเจ็ด

ส่วนลู่อู๋น้อย มันเปลี่ยนไปมากที่สุด ไม่เพียงแต่เติบใหญ่ขึ้น ระดับพลังวิญญาณก็สำแดงได้น่าพรั่นพรึงยิ่งขึ้น หากว่าฝูงชนพามันไปล่าสัตว์ แทบจะไม่ต้องลงมือเลย มันวิ่งออกไปปรากฏกายแวบหนึ่ง สัตว์ร้ายขั้นหกขั้นเจ็ดมากมายก็หมอบราบให้แล้ว

เมื่อก่อนตอนยังเป็นลูกสัตว์ทุกคนมองไม่ออกว่ามันคือตัวอะไร ยามนี้บนร่างมันมีรังสีกดดันอันน่าประหลาดเพิ่มขึ้นมา ผู้ที่มีระดับพลังวิญญาณค่อนข้างตํ่าเมื่อเห็นมัน ในใจจะประหวั่นพรั่นพรึงตามสัญชาตญาณ เพียงแต่เจ้าตัวนี้ค่อนข้างบ้องแบ๊ว เมื่ออยู่ข้างกายกู้ซีจิ่วจะชอบทำตัวราวกับ แมวตัวหนึ่ง ชอบหมอบอยู่บนไหล่เธอ พวงหางทั้งเก้าแกว่งไปแกว่งมา ราวกับมีผ้าคลุมขนสัตว์ที่งดงามผืนหนึ่งโอบคลุมไหล่ของกู้ซีจิ่วไว้

“ซีจิ่ว ข้าขอคารวะเจ้า! หากมิใช่เพราะเจ้า แขนนี้ของข้าคงใช้การไม่ได้แล้ว!” ไป๋หลี่เช่อเข้ามาคารวะสุราเธอ เป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากโอสถล้ำค่าของกู้ซีจิ่ว บาดแผลของจึงดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ยามนี้แขนที่ขาดไปเริ่มเคลื่อนไหวได้แล้ว ถึงแม้จะยังออกแรงไม่ได้เท่าไหร่ แต่การหยิบจับข้าวของทั่วไปยังคงไม่มีปัญหา เขาใช้แขนข้างนี้หยิบจอกสุรามาขอคารวะสุรา

ประจวบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายกู้ซีจิ่วลุกออกไปร่ายรำพอดี ไป่หลี่เช่อจึงเข้ายึดที่ของนางอย่างไม่เกรงใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!