Skip to content

A Will Eternal 20

บทที่ 20 ขนไก่กระจายทั่วพื้น

ไก่หางวิเศษมีขนาดใหญ่โตกว่าไก่บ้านที่เลี้ยงกันทั่วไปอยู่มาก ขนแข็ง นิสัยดุร้าย เมื่อโตเต็มวัยแล้วมีพลังเทียบได้กับขั้นที่สองของการรวมลมปราณ

เนื่องจากเนื้อเอามากินได้ ไข่สามารถบำรุงร่างกาย เลือดและกระดูกสามารถทำเป็นยา โดยเฉพาะหาง ยิ่งสามารถเอามาทำเป็นเชื้อเพลิงของไฟสามสีที่หาได้ยากยิ่ง ดังนั้นจึงทำให้ไก่หางวิเศษนี้ถูกนำมาเลี้ยงเป็นจำนวนมากในภูเขาทั้งสามของชายฝั่งทิศใต้ของสำนักธาราเทพ

เพียงแต่ว่าไม่ได้อยู่ในครอบครองของสำนัก แต่เป็นสัตว์เลี้ยงส่วนตัวของหลี่ชิงโหวรวมไปถึงท่านผู้นำของอีกสองภูเขา ซึ่งมอบหมายให้ลูกศิษย์เลี้ยงโดยเฉพาะ ดังนั้นบนเขาเซียงอวิ๋นจึงมีอยู่สามเขตที่ถูกล้อมเอาไว้ เพื่อใช้เป็นสถานที่ให้ไก่หางวิเศษแพร่พันธุ์

ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งยองๆ อยู่ในพุ่มหญ้าพลางมองไปที่ไก่หางวิเศษเหล่านั้น ไก่ประเภทนี้เมื่อก่อนตอนอยู่ฝ่ายครัวไฟเขาไม่เคยเห็นแบบตัวเป็นๆ แต่เคยกินเนื้อ รู้ว่าเนื้อของมันรสชาติเลิศล้ำ และก็ฟังที่จางต้าพั่งเล่าไว้จึงรู้ว่าไก่พวกนี้ชอบกินแมลงวิเศษ

หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ร่างของเขาขยับไหว ไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่าม แต่เลือกจะลงเขาไป ใช้หินวิเศษที่เหลืออยู่ไม่มากแลกเอาแมลงวิเศษมาได้ถุงหนึ่งถึงได้กลับมาที่บ้านพัก

เพิ่งจะกลับมาท้องของเขาก็หิวอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนข่มกลั้นความเวียนหัว เดินไปเดินมาเหมือนกำลังหาของอะไรบางอย่าง

ไม่นานนัก หลังจากที่เขามองเห็นไผ่เหมันต์วิเศษพวกนั้นแล้วดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที ขณะนี้ต้นไผ่พวกนี้โตจนสูงได้หนึ่งจั้งกว่าแล้ว ลำต้นก็หนาเท่ากำปั้น มีไอวิเศษแผ่กระจายออกมา มองดูแล้วไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเดินรุดหน้าไป เดินวนรอบต้นไผ่มองดูอยู่หลายรอบแล้วหัวเราะฮ่าๆ ตัดต้นไผ่ที่แข็งที่สุดในบรรดาไม้ไผ่เหมันต์วิเศษออกมาสองท่อน โดยทำตามความรู้ด้านพืชหญ้าที่ตนเองได้ศึกษามา

ส่วนเรื่องที่ว่าจะขโมยไก่อย่างไรนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนมีวิธีที่พิเศษ จุดสำคัญของการขโมยไก่อยู่ที่คำว่าขโมย ทำอย่างไรถึงจะไม่มีคนจับได้ คือวิชาความรู้อย่างหนึ่ง

ไม่นานเขาก็นำไม้ไผ่สองท่อนนี้ทำออกมาเป็นกับดักไม้ไผ่อันหนึ่ง

ของสิ่งนี้เขาเรียนรู้มาจากพ่อตอนที่ยังเด็ก ว่ากันว่ามันคืออาวุธที่เจอไก่ฆ่าไก่ เจอหงส์ฆ่าหงส์ เขาใช้เส้นใยไผ่มาถักเป็นเชือกอีกหนึ่งเส้น หลังจากทดสอบความแน่นตึงแล้วก็นำกับดักและเชือกมาต่อกัน ถือโอกาสตอนฟ้ามืดพุ่งทะยานออกไป

“ข้าจะกินไก่ !!” เสียงท้องร้องดังโครกครากไปตลอดทาง แต่ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเต็มไปด้วยประกายแสงสีเขียว ในสภาพที่หิวจนร้อนรนไปหมดเช่นนี้ ทำให้ความเร็วของเขายิ่งเร่งเร็ว พุ่งดิ่งไปยังที่เลี้ยงไก่หางวิเศษที่ใกล้ที่สุด

ขณะที่เข้าไปใกล้ความเร็วของเขาก็ช้าลง ค่อยๆ เดินย่องเข้าไปใกล้ราวกั้น เมื่อนำแมลงวิเศษแขวนไว้ในกับดักไม้ไผ่แล้วจึงออกแรงโยนเข้าไปข้างใน นั่งยองๆ อยู่ข้างๆ ถือเชือกที่โยงกับกับดักไม้ไผ่เอาไว้ ข่มกลั้นความหิวรอคอย

บ้านไม้บางส่วนที่อยู่ในราวกั้น ไกลออกไปยังมีที่พักของศิษย์ฝ่ายนอกที่ใช้บำเพ็ญเพียรอยู่ ส่วนในลานเลี้ยงที่ใหญ่มากแห่งนี้มีไก่หางวิเศษนับร้อยตัว ส่วนใหญ่นอนอยู่ตรงนั้น มีไม่มากที่เดินกลับไปกลับมา เชิดหน้าด้วยความหยิ่งยโส ลักษณะไม่ธรรมดา ไม่นานนักไก่หางวิเศษตัวหนึ่งดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง หันหน้ามองไปยังจุดที่ห่างออกไปไม่ไกล หลังจากเดินไปพลันก็มองเห็นแมลงวิเศษ จึงอ้าปากออกกว้างจิกลงไป

แต่ทันทีที่ไก่หางวิเศษตัวนี้จิกแมลงวิเศษ เหมือนว่ามันได้ไปขยับกลไกบางอย่าง ไม้ไผ่ที่ถูกดัดให้งอดีดออกอย่างรุนแรง ง้างปากของไก่หางวิเศษตัวนี้ได้อย่างพอดิบดี ถูกค้ำยันทั้งบนล่าง ทำให้ปากของไก่ถูกบีบให้อ้าออก

ไก่หางวิเศษอยากจะเปล่งเสียง แต่ปากถูกค้ำยันเอาไว้ เสียงสักแอะก็มิอาจลอดออกมาได้ มันคิดจะออกแรงเพื่อบดไม้ไผ่ที่ค้ำเอาไว้ในปากให้แตกละเอียด แต่ไม้ไผ่นี้แข็งเกินกว่าสิ่งใดจะเปรียบ ออกแรงไปก็ไร้ประโยชน์ ขณะเดียวกันพละกำลังมหาศาลก็ส่งมาจากบนไม้ไผ่

ไม่ว่าไก่หางวิเศษตัวนี้จะดิ้นรนอย่างไรก็ทำได้เพียงถูกดึงลากไปอย่างรวดเร็วโดยไร้ซึ่งเสียงใด หลังจากพุ่งดิ่งไปยังราวกั้น เชือกกระตุกหนึ่งครั้ง ไก่หางวิเศษถูกดึงให้ลอยขึ้นทันที ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนคว้าจับเอาไว้ พลังขั้นที่สี่ของเขามารวมกันอยู่บนมือ และยิ่งมีผิวหนังที่แข็งแกร่งทรหด จึงใช้พละกำลังที่มากอย่างที่สุดบิดคอไก่โดยตรง โยนเข้าไปในถุงเก็บของ การกระทำนี้คล่องแคล่วเป็นอย่างยิ่ง แค่มองก็รู้ได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ

ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงสามสิบลมหายใจ นี่เป็นเพราะว่าเสียเวลาไปกับการรอคอย มิเช่นนั้นจะยิ่งไวมากกว่านี้

ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น ตรงดิ่งกลับไปยังบ้านพักของตน ไม่นานกลิ่นหอมก็กระจายออกมา เมื่อฟ้าสาง ไก่ตัวนั้นก็ถูกยัดลงท้องป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว

เหลือแค่เพียงขนไก่และกระดูกไก่ที่กระจายเต็มพื้น…

เมื่อกินไก่หางวิเศษนี้เข้าไป ความรู้สึกหิวโหยของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หายไปครึ่งใหญ่ทันที เห็นได้ชัดว่าร่างกายได้รับการบำรุงกลับมาบ้าง ทั้งร่างอุ่นซ่าน ทำให้เขารู้สึกสบายเป็นอย่างมาก

ถึงกระทั่งที่ว่าพลังวิญญาณในร่างกายก็เพิ่มขึ้นมาด้วยอีกสาย แต่ที่เห็นได้ชัดที่สุดยังคงเป็นวิชาอมตะมิวางวาย ที่ทำให้วงจรหายใจเข้าหายใจออกของป๋ายเสี่ยวฉุนโคจรได้ถึงเจ็ดแปดครั้งในทีเดียว

ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก ในร่างกายของเขาจะมีความอบอุ่นลอยมารวมอยู่บนผิวหนัง ทำให้มองดูแล้วยิ่งแข็งแกร่งทรหด แม้ว่าจะมีแสงสีดำวาบผ่าน แต่เมื่อมองอย่างละเอียดก็ยังคงเห็นเป็นผิวขาวสะอาดสะอ้าน

“วิชาอมตะมิวางวายนี้ เจ็บก่อนแล้วก็หิว ระดับความยากในการฝึกไม่น้อยเลยจริงๆ แต่ผลลัพธ์กลับเยี่ยมมาก” ป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้นหยิบกระบี่ไม้ออกมา แตะลงไปบนหลังมือเบาๆ อย่างระมัดระวัง

กระบี่ไม้ที่ผ่านการหลอมพลังจิตสองครั้ง เมื่อมาสัมผัสโดนผิวหนังของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกได้ถึงแรงต้านทานบางส่วนอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้ทำต่อ แต่ยิ่งมุ่งมั่นในการฝึกฝนวิชาอมตะมิวางวายมากยิ่งขึ้น

“ตามคำพูดที่บอกไว้ในวิชาอมตะมิวางวาย หนังคงกระพันนี้แบ่งออกเป็นทอง เงิน ทองแดง เหล็ก สี่ขั้น ตอนนี้ข้าน่าจะเพิ่งอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น หากสามารถหายใจเข้าออกได้ถึงเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดวัน…ก็จะสามารถบรรลุความสำเร็จขั้นต้นของหนังเหล็กคงกระพันได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองกระดูกไก่ที่อยู่ข้างๆ หนึ่งที สำหรับวิธีที่ทำให้สามารถฝึกหนังเหล็กคงกระพันได้นั้น ในใจเขามีแผนอยู่แล้ว

“ยังดีที่ไก่หางวิเศษบนภูเขาแห่งนี้มีมากพอ” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ ความสนใจที่มีต่อไก่หางวิเศษก็ยิ่งมากขึ้น

เขาไม่รู้ว่าวิชาอมตะมิวางวายนี้ หลายหมื่นปีที่ผ่านมาก็มีคนจำนวนไม่น้อยในสำนักธาราเทพเคยฝึกฝนมาก่อน ในนั้นมากกว่าครึ่งล้วนยอมแพ้เนื่องจากมิอาจทนรับความทรมานที่น่ากลัวของเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดวันแรกได้ แต่ก็มีบางคนที่ยืนหยัดต่อไป แต่จุดสำคัญหลังจากฝึกฝนวิชานี้คือสิ้นเปลืองทรัพยากร

หากคิดจะฝึกให้ถึงขั้นหนังทองคงกระพัน ราคาที่ต้องจ่ายนั้นน่ากลัวอย่างถึงขีดสุด ต่อให้เป็นทั้งสำนักก็ล้วนไม่ยอมจ่ายโดยง่าย เพราะถึงยังไงทรัพยากรเดียวกันนี้หากนำไปใช้กับการฝึกฝนร่างกายวิชาอื่น แม้ว่าจะไม่มหัศจรรย์เท่าวิชาอมตะมิวางวาย แต่กลับคุ้มค่ามากกว่า

และก็ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้วิชาอมตะมิวางวายถูกวางไว้ในหอคัมภีร์โดยไม่มีใครสนใจ

ฝึกฝนได้ครู่หนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนจัดการกับกระดูกไก่เหล่านั้นโดยเอาไปฝังไว้ในดินวิเศษ ส่วนขนไก่ที่เหลือ เขาก็โยนลงไปใต้ดินด้วยวิธีเดียวกัน

จากนั้นถึงได้เดินออกจากบ้านพัก ตั้งใจไปที่ที่มีลูกศิษย์ฝ่ายนอกอยู่เยอะเพื่อสืบข่าว จากประสบการณ์ตอนที่เขาอยู่ในหมู่บ้านปีนั้น เข้าใจได้ดีว่าเวลาในการขโมยไก่จำเป็นต้องห่างกันสามถึงห้าวันจึงจะดี

เมื่อสืบข่าวได้พักหนึ่งก็ยังไม่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับไก่หางวิเศษหายไป แต่กลับได้ยินโดยบังเอิญว่าหางสามสีของไก่หางวิเศษคือเชื้อเพลิงของไฟสามสี

หลังจากรู้เรื่องนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนวิ่งกลับไปที่บ้านทันที รีบขุดเอาหางสามสีที่ถูกฝังอยู่ในดินวิเศษออกมา ถืออยู่ในมือมองอยู่พักใหญ่ ดวงตาเผยแววครุ่นคิด

“มิน่าละไก่หางวิเศษนี้ถึงได้ถูกเลี้ยงไว้เป็นจำนวนมาก” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบนำขนไก่สามสีใส่ไว้ในถุงเก็บของ ของสิ่งนี้สำหรับคนอื่นแล้วเป็นเพียงแค่เชื้อเพลิงไฟสามสีธรรมดาเท่านั้น แต่สำหรับเขาแล้ว มันกลับหมายถึงการหลอมพลังจิตสามครั้ง

เขาไม่ได้นำไปใช้ในทันที แต่วางแผนว่ารอให้มียาวิเศษก่อนถึงจะนำไปหลอมพลังจิต เพื่อให้ยาวิเศษนั้นมีผลลัพธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

หลังจากผ่านไปหลายวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่หยุดไปหลายวันก็เริ่มหิวขึ้นมาอีกครั้ง กลางดึกของวันนี้ เขาวางแผ่นหยกพืชหญ้าเล่มที่สองลง ออกจากบ้านท่ามกลางความมืดอีกครั้ง ตอนที่กลับมาในถุงเก็บของก็มีไก่หางวิเศษเพิ่มเข้ามาแล้วสองตัว

และก็เป็นเช่นนี้ เวลาค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน หนึ่งเดือนมานี้ ตลอดทั้งเขาเซียงอวิ๋นเริ่มมีข่าวไก่หางวิเศษหายไปแพร่ออกมา

แม้แต่หลี่ชิงโหวเองก็ยังรู้เรื่องนี้ เพราะหนึ่งเดือนมานี้ในสถานที่เลี้ยงไก่หางวิเศษสามแห่งมีไก่หางวิเศษหายไปถึงสิบกว่าตัว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก และเพราะมีธุระต้องออกไปข้างนอก จึงไม่ได้ให้ความสนใจ

แต่ที่กลัดกลุ้มมากที่สุดกลับเป็นเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกที่รับผิดชอบเลี้ยงไก่หางวิเศษ คนเจ็ดแปดคนนี้ไม่ได้สงสารไก่เพราะยังไงก็ไม่ใช่ของตัวเอง อีกอย่างท่านผู้นำก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่พวกเขารู้สึกเสียหน้า เพราะถึงขนาดมีคนกล้ามาขโมยไก่ต่อหน้าตนเอง จึงยิ่งแค้นหัวขโมยไก่คนนั้นจนกัดปากเค้นฟัน

แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะไปนั่งเฝ้ายังไง ไก่ก็ยังคงหายไปอย่างต่อเนื่อง และที่ยิ่งทำให้พวกเขาไม่เข้าใจคือ ทุกครั้งที่หายล้วนหายไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีแม้แต่เสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา ราวกับว่าไก่เหล่านี้หายไปในอากาศอย่างไรอย่างนั้น

ด้านป๋ายเสี่ยวฉุน หนึ่งเดือนมานี้ร่างกายของเขากลับมาเป็นปกติอย่างสมบูรณ์ แถมยังอ้วนขึ้นมาอีกเล็กน้อยด้วย ไม่ว่าวิธีการหายใจเข้าออกของวิชาอมตะมิวางวายจะดูดพลังเขาไปมากแค่ไหน เขาก็มีเนื้อไก่ให้บำรุงมากพอ ใบหน้าแดงปลั่ง กลับไปมีชีวิตที่มีความสุขทุกวันเหมือนเดิม

เมื่ออารมณ์ดีแล้ว ท้องไม่หิวแล้ว ความเร็วในการศึกษาพืชหญ้าเล่มที่สองก็สูงขึ้นมาไม่น้อย ในที่สุดวันนี้ก็ศึกษาพืชหญ้าเล่มที่สองจนทะลุปรุโปร่งหมดทั้งเล่ม โดยเฉพาะหลังจากที่มีประสบการณ์คราวก่อน ครั้งนี้เขาก็ยิ่งเตรียมพร้อมในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นใบ ราก ขนล้วนจำได้ขึ้นใจ และก็ยิ่งมั่นใจว่าต่อให้ชิ้นส่วนถูกแบ่งแยกออกเป็นสิบกว่าส่วน เพียงแค่มองปราดเดียวก็จำได้

เมื่อพร้อมแล้วถึงได้เดินหน้าเชิดอกตั้ง ก้าวยาวๆ ออกไปจากลานบ้าน

“ครั้งนี้ข้าจะทำให้ทุกคนรู้ว่า ข้าก็คือท่านเต่าผู้ที่ขี่อยู่บนโจวซินฉี!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งทะยานไปยังหอหมื่นโอสถด้วยความคาดหวัง

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!