Skip to content

A Will Eternal 21

บทที่ 21 พี่เสี่ยวฉุน…

หอหมื่นโอสถคือสถานที่ที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งบนเขาเซียงอวิ๋น ลูกศิษย์ฝ่ายนอกเข้าๆ ออกๆ กันแทบจะทุกวัน สาเหตุหนึ่งก็คือป้ายศิลาสิบแผ่นนั้น ส่วนอีกสาเหตุคือหอโอสถที่อยู่ตรงกลางระหว่างป้ายศิลาทั้งสิบ ซึ่งเป็นสถานที่ที่สามารถใช้คะแนนคุณความดีแลกเอาสมุนไพรและตำราปรุงยามาได้

สถานที่แห่งนี้ยังมีการจัดทดสอบเพื่อเลื่อนขั้นลูกศิษย์โอสถและรับยาที่ลูกศิษย์กลั่นหลอมออกมาเป็นประจำ ด้วยเหตุผลหลากหลายประการจึงทำให้สถานที่แห่งนี้มีเสียงผู้คนดังโกลาหลไปทั่วบริเวณทุกวัน

นานวันเข้าด้วยความคึกคักของสถานที่แห่งนี้จึงทำให้มันกลายเป็นจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลของสำนักไปโดยปริยาย แรกเริ่มทุกคนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านพืชหญ้า จากนั้นก็ค่อยๆ เป็นเรื่องเล็กใหญ่ต่างๆ ในสำนัก หรือไม่บางทีก็เป็นเรื่องซุบซิบซึ่งล้วนแพร่ออกไปจากที่นี่

ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึง บริเวณโดยรอบหอหมื่นโอสถมีลูกศิษย์ฝ่ายนอกอยู่มากมาย ถ้าไม่เดินเข้าเดินออกก็จับกลุ่มกันสี่ห้าคนพูดคุยเสียงเบา ด้านใต้ป้ายศิลาโดยรอบยังมีลูกศิษย์อีกมากที่กำลังเข้าแถวรอการทดสอบเพื่อติดอันดับรายชื่อบนป้ายศิลา

เบียดเสียดกับกลุ่มคนอยู่นาน ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงเพิ่งได้เข้ามาใกล้ป้ายศิลาแผ่นที่สอง ขณะที่กำลังคิดจะเดินเข้าไป ด้านหน้าเขาก็มีลูกศิษย์ฝ่ายนอกสามคนกำลังพูดคุยกันเสียงเบา คล้ายว่ากำลังพูดถึงตนเองอยู่

“พวกเจ้าได้ยินหรือยัง ช่วงนี้สำนักของเราเกิดเรื่องประหลาดอย่างหนึ่งขึ้น มีคนตั้งใจขโมยไก่หางวิเศษของท่านผู้นำหลี่โดยเฉพาะ ว่ากันว่าหายไปเกือบร้อยตัวแล้ว”

“แค่ร้อยตัวที่ไหน ข้าได้ยินว่าไก่ของท่านผู้นำหลี่โดนขโมยจนแทบจะเกลี้ยงแล้ว เจ้าโจรขโมยไก่คนนั้นถูกพวกลูกศิษย์ที่เลี้ยงไก่วิเศษร่วมมือกันตามจับ แถมยังทิ้งคำอาฆาตไว้ว่าจะเอาคนๆ นี้มาสับเป็นชิ้นโยนให้ไก่กิน!”

“น่าแปลกชะมัด เขาเซียงอวิ๋นของเราช่วงนี้ทำไมมีแต่เรื่องประหลาดเกิดขึ้นอยู่เรื่อย ก่อนหน้านั้นมีเต่าลึกลับปรากฏตัวขึ้นมา แล้วก็มามีเจ้าโจรขโมยไก่นี่อีก!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวหดโดยไม่รู้ตัวเหมือนวัวสันหลังหวะ รู้สึกว่าก็แค่ขโมยไก่ไม่กี่ตัวเอง กลับเป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ ดูจากสภาพการณ์คงรู้กันไปทั้งสำนักแล้ว

อีกทั้งในเวลานี้มาได้ยินว่าไก่หางวิเศษพวกนั้นดันเป็นของหลี่ชิงโหว เขาก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่

“ข้าไม่ได้ขโมยมากขนาดนั้นเสียหน่อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองถูกใส่ร้าย ขณะกำลังคิดว่าจะเปลี่ยนความคิดที่ทุกคนมีต่อเจ้าโจรขโมยไก่คนนี้ยังไงดี ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเอะอะดังลอยมาจากด้านหลัง

“นังหนู เบียดอะไรนักหนา จะรีบไปเกิดรึไง!”

“ข้าเบียดแล้วจะทำไม เจ้าแน่นักหรือไง กลัวโดนเบียดก็อย่ามาที่นี่เซ่ คนอย่างข้าเบียดไปโดนเจ้า ถือเป็นบุญของเจ้าแล้ว”

“เจ้า…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าเสียงด้านหลังคุ้นหูอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงหันหลังกลับไปมอง เห็นสาวน้อยผิวขาวนวลเนียนยืดอกเล็กๆ ขึ้น มือเท้าสะเอว ใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความอวดดีกำลังยืนคุมเชิงอยู่กับชายร่างใหญ่

“โหวเสี่ยวเม่ย?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตา

หญิงสาวคนนี้ก็คือโหวเสี่ยวเม่ย นางได้ยินเสียงและมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนทันที ความอวดดีบนใบหน้าเล็กๆ แปรเปลี่ยนเป็นความตกตะลึงระคนดีใจ

“พี่เสี่ยวฉุน ท่านเองเหรอ!” โหวเสี่ยวเม่ยบิดเอวเล็กรีบวิ่งเข้ามาหา ตัวยังไม่ทันได้เข้าใกล้ กลิ่นอายความบริสุทธิ์อันร้อนแรงก็โจนทะยานเข้ามา

“อืม น้องเสี่ยวฉุน[1]” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองสาวน้อยที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตวาและน่ารักอย่างถึงขีดสุด

“พี่เสี่ยวฉุนท่านนี่ร้ายจริง หยอกข้าซะได้ ข้าชื่อโหวเสี่ยวเม่ยต่างหาก!” โหวเสี่ยวเม่ยได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน ใบหน้าขึ้นสีแดงเล็กน้อย พูดด้วยท่าทางน่ารักไร้เดียงสา

พอเป็นเช่นนี้สาวน้อยที่เดิมความมีชีวิตชีวาก็ส่งรัศมีไปทั่วตัวอยู่แล้ว พลันยิ่งสดใสน่าประทับใจขึ้นอีก ลูกศิษย์ฝ่ายนอกโดยรอบจำนวนไม่น้อยพอเห็นเข้าดวงตาก็เปล่งประกาย ส่วนชายร่างใหญ่คนนั้นกลับขนลุกขนพองไปทั่วตัว รู้สึกว่าสาวน้อยคนนี้เปลี่ยนอารมณ์เร็วเกินไป เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายผิดปกติ

“พี่เสี่ยวฉุน พี่ชายข้าลงเขาไปยังไม่กลับมา ข้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก อยากไปแลกเอาตำราพืชหญ้าเล่มที่สองมา ควรไปแลกที่ไหนเหรอ?” โหวเสี่ยวเม่ยรีบถาม นางมาเป็นครั้งแรกจริง ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นพี่ชายนางที่คอยทำธุระให้ เวลานี้ขณะที่ไม่รู้จะจัดการเช่นไรก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนพอดี

ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มและอธิบายขั้นตอนให้โหวเสี่ยวเม่ยฟัง พูดละเอียดอย่างมาก โหวเสี่ยวเม่ยพยักหน้าอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายก็เข้าใจหมดทุกอย่าง เมื่อมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าศิษย์พี่เสี่ยวฉุนที่อยู่ตรงหน้าไม่เพียงแต่เป็นคนดี แถมยังเข้าใจอะไรตั้งมากมายด้วย

หลังจากอธิบายจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองโหวเสี่ยวเม่ยหนึ่งทีก็อดไม่ไหว ยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังป้ายศิลาพืชหญ้าเล่มที่หนึ่ง แสร้งเอ่ยปากด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ

“เห็นป้ายศิลาแผ่นนั้นแล้วใช่ไหม สามารถทิ้งตราสัญลักษณ์ไว้บนนั้นได้ ล้วนเป็นความภาคภูมิใจของทั้งสำนัก ไม่ว่าใครเป็นผู้ใด ความสำเร็จในวันข้างหน้าก็ล้วนทำให้โลกของการบำเพ็ญเพียรสั่นสะเทือนได้”

“คนอื่นข้าไม่พูดละกัน ข้าจะแนะนำอันดับที่สองให้เจ้าฟัง เจ้าดูสัญลักษณ์รูปคนโทนั่นนะ นั่นก็คือหญิงสาวที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับเขาเซียงอวิ๋นของเรา โจวซินฉี!”

“โจวซินฉี ที่แท้คนโทนี้ก็เป็นตัวแทนของสายเลือดวิเศษผู้มีพรสวรรค์ด้านพืชหญ้าที่ถูกท่านผู้นำรับเป็นศิษย์ คือศิษย์พี่หญิงโจวซึ่งถูกกำหนดว่าจะได้เป็นศิษย์ฝ่ายใน!” ดวงตาของโหวเสี่ยวเม่ยเป็นประกายวาบ เงยหน้าขึ้นมองสัญลักษณ์รูปคนโทที่อยู่ด้านบนป้ายศิลาแผ่นที่หนึ่ง นัยน์ตาเผยความชื่นชมบูชา นางเคยได้ยินโหวอวิ๋นเฟยพูดถึงโจวซินฉี จึงรู้สึกนับถือมากมานานแล้ว ในเวลานี้พอได้ยินป๋ายเสี่ยวฉุนแนะนำก็ยิ่งฮึกเหิมขึ้นมาทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนแสร้งทำท่าสบายอารมณ์ต่อไป รออยู่ตรงนั้นนานมาก แต่เมื่อพบว่าโหวเสี่ยวเม่ยยังคงมองไปยังคนโท ไม่สนใจใยดีเต่าที่ขี่อยู่บนคนโทแม้แต่นิดก็ให้รู้สึกขัดใจขึ้นมาโดยพลัน เขาแนะนำมากมายขนาดนี้ก็เพื่อดึงหัวข้อสนทนามาคุยเรื่องเต่าที่ดูดีตัวนั้นต่างหาก

“ฮะแฮ่ม โจวซินฉีคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ดังนั้นถึงได้กลายเป็นอันดับสองบนป้ายศิลาพืชหญ้าเล่มหนึ่ง!” เขาเน้นน้ำเสียงลงไปบนคำว่าอันดับสองเพื่อเรียกสติโหวเสี่ยวเม่ย

โหวเสี่ยวเม่ยตะลึง เมื่อมองอย่างตั้งใจ คิ้วงามก็พลันขมวดเข้าหากัน

“อันดับสอง? เต่าตัวนั้นที่อยู่ด้านบนศิษย์พี่หญิงโจวคือใครกัน วาดรูปได้น่าเกลียดจริงๆ”

ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ เขารู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องสั่งสอนโหวเสี่ยวเม่ยคนนี้เสียหน่อยจริงๆ ดังนั้นจึงวางท่าเคร่งขรึม เอ่ยปากด้วยคำพูดที่อัดแน่นไปด้วยความจริงจังและแฝงความหมายลึกซึ้ง

“งั้นเจ้าก็ผิดแล้ว เสี่ยวเม่ยเจ้ารู้หรือไม่ เต่าที่สวยงามตัวนี้คือลูกศิษย์คนหนึ่งที่ลึกลับที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด อยู่เหนือใครมากที่สุดของสำนักเราตอนนี้”

“มีข่าวลือเกี่ยวกับคนผู้นี้มากมายเหลือเกิน ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวล้วนสร้างความฮือฮาให้กับสำนัก ชักจูงทุกสายตาของเหล่าลูกศิษย์ ทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนให้ความสนใจ ทำให้คนมากมายอิจฉา ทำให้คนไม่รู้ตั้งเท่าไรไชโยโห่ร้อง”

“หา?” โหวเสี่ยวเม่ยนิสัยไม่สลับซับซ้อน พอดียินคำพูดเหล่านี้จึงอึ้งไปในทันที เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“เจ้ารู้หรือไม่ คนๆ นี้อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อสองเดือนก่อน ทำลายความปรารถนาที่จะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งป้ายศิลาทั้งเก้าของโจวซินฉีให้ดับลง!”

“เจ้ารู้หรือไม่ พอคนๆ นี้ปรากฏตัวก็สามารถคว้าเอาอันดับหนึ่งของตำราพืชหญ้าเล่มที่หนึ่งไปได้อย่างง่ายดาย”

“เจ้ารู้หรือไม่ หลังจากที่โจวซินฉีเห็นเรื่องนี้กับตาตนเองก็มาท้าแข่งใหม่ที่นี่ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ได้พักผ่อนติดต่อกันเป็นเวลาเจ็ดวันเต็ม จนกระทั่งทุ่มเทความสามารถทั้งหมดที่มีแล้วก็ยังคงเป็นได้แค่อันดับสอง ต้องยอมแพ้ศิโรราบให้”

“เจ้ารู้หรือไม่ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุน…อะแฮ่ม” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น สุดท้ายเกือบจะหลุดพูดออกมาว่าตนเองก็คือท่านเต่าผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น จึงรีบข่มกลั้นเอาไว้ อุดมการณ์ของเขาคือจะต้องเปิดเผยตัวตนภายใต้สายตาของผู้คนมากมาย ไม่ใช่ต่อหน้าหญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แบบนี้จะสิ้นเปลืองอารมณ์ฮึกเหิมเสียเปล่า

“จริงเหรอ?” ดวงตาทั้งคู่ของโหวเสี่ยวเม่ยเปล่งประกายสุกใสดั่งดาวดวงเล็กๆ ในยามค่ำคืน มองไปยังเต่าน้อยตัวนั้นอย่างเลื่อมใสศรัทธา ใบหน้าเล็กๆ แดงปลั่ง

“จริงแน่นอนอยู่แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจอยู่ภายใน เขารู้สึกว่าตัวเองได้ทำเรื่องดี ซึ่งก็คือการชักนำเด็กน้อยที่เดินทางผิดให้กลับเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้สำเร็จ จึงมีความรู้สึกประสบความสำเร็จอย่างมาก ในเวลานี้จึงสะบัดแขนเสื้อ ไม่สนใจโหวเสี่ยวเม่ยที่ตกอยู่ในภวังค์ศรัทธาอีกต่อไป เดินไปทางป้ายศิลาแผ่นที่สอง

เบียดเสียดผ่านผู้คน รออยู่สักพักห้องไม้ห้องหนึ่งถึงได้ว่าง ป๋ายเสี่ยวฉุนก้าวยาวๆ เหยียบย่างเข้าไปและหายลับไป

ห้องไม้สภาพเหมือนเก่าก่อน ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งอยู่หน้าป้ายหิน หลังจากวาดรูปเต่าตัวนั้นลงไปอีกครั้ง ด้านหน้าก็พร่าเลือน เมื่อหูได้ยินเสียงดังลั่นก็มาปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่มายาคุ้นตา คราวนี้ไม่มีน้ำเสียงเย็นเยียบลอยดังมา มีแต่เศษพืชหญ้าที่แทบจะเรียกได้ว่าเหลือคณานับปรากฏพรวดออกมาโดยตรง

ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความมั่นใจ นัยน์ตาเผยประกายเฉียบคม มือทั้งสองตวัดรวดเร็ว พริบตาเดียวหญ้าวิเศษแต่ละต้นก็ประกอบเข้ากันอย่างสมบูรณ์

เวลาเคลื่อนผ่านจนครบหนึ่งก้านธูป เศษชิ้นส่วนที่อยู่ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเหลือเพียงไม่ถึงห้าพันชิ้น ผลลัพธ์นี้ดีกว่าตอนที่ทดสอบพืชหญ้าเล่มแรกอยู่ไม่น้อย

น่าเสียดายที่เวลาหมดลงแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนดวงตาพร่าเลือน เมื่อมองเห็นชัดอีกครั้งก็กลับเข้ามาอยู่ในห้องไม้แล้ว ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นแต่เขาก็มั่นใจเต็มที่ หยิบตำราพืชหญ้าเล่มสามที่แลกเอามาได้ขึ้นมา ในใจตื่นเต้นรุนแรงด้วยความคาดหวัง หมุนตัวผลักประตูใหญ่ของบ้านไม้ออกไป

มองลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านนอก ในเวลานี้ยังไม่มีคนสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอันดับรายชื่อมากเท่าไหร่นัก ความอาจหาญในใจป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่มพูนขึ้นมา

“ครั้งนี้ข้าจะทำให้ทั้งสำนักสั่นสะเทือน ให้ทุกคนได้รู้ว่า ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือท่านเต่าผู้ยิ่งใหญ่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงขั้นมีภาพตนเองถูกคนนับหมื่นให้ความเคารพนับถือหรือแม้แต่โหวเสี่ยวเม่ยก็ยังตกตะลึงลอยขึ้นมาในสมอง

พอคิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ เขายกมือขวาขึ้นมาอย่างลำพอง กำลังคิดจะตะโกนเสียงดัง เป็นฝ่ายปลุกระดมให้ทุกคนรู้ว่าตนเองก็คือท่านเต่าผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น…

แต่ในเวลานี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงลอยออกมาจากลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่กำลังเข้าแถวเพื่อทำการทดสอบอยู่ข้างเขา

“พวกเจ้าว่าเจ้าเต่าน้อยที่แย่งตำแหน่งอันดับหนึ่งของศิษย์พี่หญิงโจวจะยังกล้าปรากฏตัวอีกไหม?”

“คงไม่กล้าแล้วล่ะมั้ง พวกคนที่ชื่นชมศิษย์พี่หญิงโจวพวกนั้น แต่ละคนแทบบ้ากันไปเลย ว่ากันว่ากำลังตามหาเจ้าเต่าน้อยตัวนั้นไปทั่วชายฝั่งทิศใต้ แถมยังทิ้งคำพูดไว้ว่าหากเจอตัวเมื่อไหร่จะแล่เนื้อออกจากกระดูกทีละชิ้นให้ตายทั้งเป็นเชียว…”

“ข้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกัน แถมยังมีลูกศิษย์ฝ่ายในเข้าร่วมด้วยนะ”

มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะยกขึ้น หลังจากได้ยินคำสนทนาเหล่านี้เขาก็อกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาทันที โดยเฉพาะได้ยินว่าลูกศิษย์ฝ่ายในก็ล้วนเข้าร่วมเพื่อตามหาตนแล้วด้วย เหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นมาบนหน้าผาก รีบเอามือขวามาเกาศีรษะ แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเอามือลงอย่างรวดเร็ว

ในใจโกรธเคือง หน้านิ่วคิ้วขมวด ทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้มพลางมุดเข้าไปในกลุ่มคน

“เกินไปแล้ว รังแกกันเกินไปแล้ว ข้าก็แค่ได้อันดับหนึ่งไม่ใช่เหรอ ลูกศิษย์ฝ่ายในถึงขั้นพากันเคลื่อนพล มันสมควรแล้วหรือไง” คราวนี้เป็นความรู้สึกที่แท้จริงของเขา ไม่ได้แสร้งทำเลยแม้แต่นิด

เพิ่งจะเดินเข้าไปในกลุ่มคน ก็มีคนค้นพบการเปลี่ยนแปลงของป้ายศิลาแผ่นที่สอง ไม่นานเสียงฮือฮาอย่างไม่อยากเชื่อก็ดังสนั่นขึ้นมา

———-

[1] 小纯 (เสี่ยวฉุน) เสี่ยวแปลว่าเล็ก ฉุนแปลว่าบริสุทธิ์ ในที่นี้ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องการหยอกโหวเสี่ยวเม่ยว่านางเป็นสาวน้อยตัวเล็กใสบริสุทธิ์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!