บทที่ 33 ล้มป๋ายเสี่ยวฉุนลงให้ได้!
ลูกศิษย์ฝ่ายนอกรอบทิศ และยังมีพวกผู้เข้าแข่งขันที่ถูกคัดออก แต่ละคนราวกับมีศัตรูคู่แค้นคนเดียวกันขึ้นมาทันที คำรามเสียงดังไปทางป๋ายเสี่ยวฉุน
“ไร้ยางอาย ป๋ายเสี่ยวฉุนเจ้าช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!”
“ชนะเพราะอย่างนี้ พวกข้าไม่ยอม!!”
“ล้มป๋ายเสี่ยวฉุนให้ได้!”
ได้ยินเสียงด่าทออันดุเดือดของฝูงชน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อกสั่นขวัญแขวน แอบคิดว่าต่อให้แสดงพลังยกหนักเสมือนเบาออกมาตอนนี้ก็ยังไม่สามารถระงับไฟแค้นของฝูงชนได้ แถมยังจะได้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม ทำให้คนรู้สึกว่าตนเองยิ่งไร้ยางอาย… ดังนั้นจึงรีบหันไปมองผู้เฒ่าซุน
“ท่านผู้เฒ่าซุน ข้าได้ที่หนึ่งนะ ท่านรีบประกาศเข้าสิ”
ผู้เฒ่าซุนยิ้มขื่น หลี่ชิงโหวที่อยู่ด้านข้างถอนหายใจยาวหนึ่งที เขาไม่เคยคิดเลยว่าการให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าร่วมประลองเล็กในคราวนี้ จะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ขึ้นมาได้
“เอ่อ…เอาเถอะ การประลองเล็กในครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนได้อันดับหนึ่ง!” ผู้เฒ่าซุนส่ายหัวยิ้มขื่น เมื่อกล่าวคำพูดออกมา คนรอบด้านพากันมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาโกรธแค้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าถึงแม้ตนเองจะมีฝีมือร้ายกาจมาก แต่คนมากขนาดนี้… เขาถูกมองจนขนหัวลุกแล้ว ขณะที่กำลังจะเดินลงเวทีแสดงยุทธ์เพื่อไปจากสถานที่อันตรายแห่งนี้โดยเร็ว ตู้หลิงเฟยที่อยู่ด้านข้างก็ได้รับการช่วยเหลือจนฟื้นขึ้นมา นางหายใจถี่กระชั้น จ้องเขม็งไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยเสียงแหลม
“ป๋ายเสี่ยวฉุน การประลองเล็กครั้งนี้ ข้าตู้หลิงเฟยไม่ยอม!”
“ในเมื่อเจ้าได้ที่หนึ่งไปแล้ว เช่นนั้นอันดับหนึ่งนี้ข้าตู้หลิงเฟยยกให้เจ้า แต่ข้าไม่ยอมแพ้คนอย่างเจ้า เจ้ากล้าแข่งกับข้าอีกครั้งหรือไม่!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะแหะๆ ไม่หยุดฝีเท้า ในใจคิดว่าตัวเองคงประสาทน่าดูถ้าจะไปแข่งกับผู้หญิงบ้าคนนี้อีกครั้ง หากอีกฝ่ายเป็นลมขึ้นมาอีกจะทำยังไงล่ะ
“ข้าไม่ประลองวรยุทธ์กับเจ้า พวกเราล้วนเป็นศิษย์ฝ่ายนอก และก็เป็นศิษย์โอสถของภูเขาเซียงอวิ๋น ข้าจะแข่งความรู้ด้านพืชหญ้ากับเจ้า!” ตู้หลิงเฟยจ้องป๋ายเสี่ยวฉุน พูดออกมาทีละคำ ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเฉียบขาด
“หากเจ้าชนะ กระบี่ชิงซงเล่มนั้นเจ้าสามารถเอาไปได้ แต่หากไม่ชนะ เรื่องในวันนี้ ข้าตู้หลิงเฟยจะไม่มีทางยอมจบกับเจ้าแน่!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักฝีเท้า พอได้ยินว่าแข่งความรู้เรื่องพืชหญ้าก็หันหน้ากลับมามองตู้หลิงเฟย ลังเลอยู่ชั่วครู่
“ป๋ายเสี่ยวฉุน หากเจ้าสามารถเอาชนะด้านความรู้เรื่องพืชหญ้ากับข้าได้ ธูปหอมหลิงอวิ๋นดอกนี้ เจ้าก็เอาไปได้เลย!” ตู้หลิงเฟยพอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดชะงัก มองออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนลังเล ดวงตาก็เผยแววเคียดแค้น ถึงขั้นเกิดความรู้สึกอยากสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยซ้ำ กังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่กล้าแข่ง ดังนั้นจึงหยิบธูปหอมสีเขียวเข้มดอกหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของ
ธูปดอกนี้เพิ่งจะถูกหยิบออกมา พลังวิญญาณก็แผ่ซ่านเป็นระลอกทันที ลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่อยู่โดยรอบเหล่านั้น หลังจากเห็นธูปหลิงอวิ๋นดอกนี้แล้ว สายตาแต่ละคนล้วนเผยความอิจฉา
“ยาวิเศษระดับหนึ่ง ธูปหลิงอวิ๋น…นี่ถือว่าไม่เลวแล้วในยาวิเศษระดับหนึ่ง ราคาไม่ธรรมดา ให้ผลที่มหัศจรรย์ต่อการฝึกรวมปราณต่ำกว่าขั้นที่เจ็ด!”
“นี่น่าจะเป็นราคาที่ตู้หลิงเฟยจ่ายไปไม่น้อย เพื่อเตรียมฝ่าการรวมลมปราณขั้นที่ห้า…”
“ด้วยความรู้ด้านพืชหญ้าของศิษย์พี่หญิงตู้ ทำให้บนป้ายศิลาสามแผ่นแรกของหอหมื่นโอสถนางล้วนได้อยู่ในยี่สิบอันดับแรก เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่ต้องแพ้อย่างแน่นอน!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนจำธูปหลิงอวิ๋นดอกนี้ขึ้นมาได้ทันที ในตำราพืชหญ้าเล่มที่สามเคยอธิบายสรรพคุณของหญ้าหลิงอวิ๋นชนิดนี้เอาไว้ ใจเขาก็พลันกระตุก โดยเฉพาะได้ยินคนรอบด้านพูดว่าอีกฝ่ายติดยี่สิบอันดับแรกของป้ายศิลาหอหมื่นโอสถ ดวงตาเขาก็เปล่งประกายอย่างอดไม่อยู่
“ท่าน…ท่านติดยี่สิบอันดับแรกของป้ายศิลาพืชหญ้าจริงเหรอ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากจะยืนยันให้แน่ใจเสียหน่อย จึงถอยหลังไปสามสี่ก้าวแล้วเอ่ยปากถาม
“เจ้าจะแข่งหรือไม่แข่ง!” ตู้หลิงเฟยกัดฟันพูด
“แต่ข้าศึกษาถึงแค่พืชหญ้าสามเล่มแรกเอง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอย่างลังเล
“งั้นก็แข่งสามเล่มแรก! เจ้ากล้าหรือไม่!” ตู้หลิงเฟยรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะระเบิดเต็มที คำรามด้วยความโกรธแค้น
“แข่ง…ข้าแข่งก็ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนพอได้ยินประโยคนี้ก็ตอบกลับด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย แต่ในใจกลับเบิกบานยินดี รู้สึกว่าแม่น้องสาวข้างหน้าคนนี้ช่างโง่เขลาเสียจริง
ฝูงชนได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ส่งเสียงดังขึ้นมาโดยพลัน ตู้หลิงเฟยเองก็สูดลมหายใจเข้าลึก แม้ว่าในเวลานี้พลังวิญญาณในร่างกายจะยังฟื้นฟูมาได้ไม่เท่าไหร่ แต่พลังกายกลับฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้ว หลังจากถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที นางก็เดินไปข้างหน้าสามสี่ก้าว ประสานมือคารวะให้กับผู้เฒ่าซุน
“ศิษย์ตู้หลิงเฟย ขอให้ท่านผู้เฒ่าช่วยเป็นพยานในการแข่งขันด้านพืชหญ้ากับป๋ายเสี่ยวฉุนในครั้งนี้ด้วยเจ้าค่ะ”
ผู้เฒ่าซุนยิ่งรู้สึกว่าตู้หลิงเฟยที่ยืนอยู่ข้างหน้าคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว หลังจากได้ยินก็ลูบเครา เอ่ยปากกลั้วเสียงหัวเราะ
“ก็ดี วันนี้ข้าจะเป็นพยานให้เอง ในเมื่อแข่งกันเรื่องความรู้ด้านพืชหญ้า ถ้าเช่นนั้นให้ท่านผู้นำเป็นผู้ตั้งคำถามดีไหมล่ะ?” ผู้เฒ่าซุนมองหลี่ชิงโหว
หลี่ชิงโหวได้ยินก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งที จากนั้นก็พยักหน้า
เมื่อเป็นเช่นนี้ ลูกศิษย์รอบทิศจึงตื่นเต้นกันขึ้นมาทันควัน แม้แต่ตู้หลิงเฟยเองก็ยังตื่นเต้นไปด้วย ประสานมือคารวะหลี่ชิงโหวอีกครั้ง
การแข่งขันที่ไม่ต้องตีรันฟันแทง แถมยังสามารถได้หน้าได้ตาแบบนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนชื่นชอบเป็นที่สุด เวลานี้ขณะที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาไม่ได้มีใบหน้าเศร้าสร้อยอีกต่อไป แต่เป็นเชิดหน้าขึ้นด้วยท่วงท่าของผู้ที่ภาคภูมิใจในตนเอง ฝูงชนรอบด้านเห็นเข้าก็ยิ่งระคายตา ตู้หลิงเฟยเองก็ทำเสียงหึเย็นชาใส่เขาหนึ่งที
“ในเรื่องของพืชหญ้า มิสามารถคาดเดาการเปลี่ยนแปลงได้ แม้ว่าจะเป็นเนื้อหาของสามเล่มแรก แต่ยังคงมีตัวแปรมากมายแฝงอยู่ วันนี้ข้าจะตั้งปัญหาสองข้อ ดูว่าพวกเจ้าใครจะเป็นผู้ชนะ” หลี่ชิงโหวเอ่ยปากเรียบๆ สายตากวาดมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟย มือขวายกขึ้นมาตบลงบนถุงเก็บของหนึ่งที ในมือก็มีเมล็ดพันธุ์เพิ่มขึ้นมาอีกสองเมล็ด
“ในมือของข้าคือเมล็ดพันธุ์ดอกไม้สองเมล็ด ใช้พลังวิญญาณเป็นตัวกระตุ้น บวกกับความรู้ด้านพืชหญ้าของพวกเจ้า ผู้ที่ทำให้ดอกไม้วิเศษผลิบานได้มากที่สุดถือว่าเป็นผู้ชนะในรอบแรก” มือขวาของหลี่ชิงโหวสะบัดหนึ่งที เมล็ดพันธุ์สองเมล็ดนี้ก็บินแยกกันไปหาป๋ายเสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟย
ตู้หลิงเฟยคว้าเอาไว้ได้ด้วยมือเดียว ขณะที่กำลังลังเล หลี่ชิงโหวก็ดีดยาหนึ่งเม็ดพุ่งดิ่งมายังตู้หลิงเฟย เมื่อนางคว้าเอาไว้ได้ก็อึ้งงัน
“ยาเม็ดนี้สามารถทำให้พลังของเจ้าฟื้นตัวขึ้นมาได้” น้ำเสียงราบเรียบของหลี่ชิงโหวลอยมา ตู้หลิงเฟยพลันตะลึงระคนดีใจ หลังจากกล่าวขอบคุณก็รีบกลืนลงไป และเมื่อผ่านไปไม่กี่ช่วงลมหายใจ ทั้งร่างของนางก็สั่นไหว ในดวงตาทั้งคู่เผยความมีชีวิตชีวา พลังในร่างกายก็ฟื้นตัวกลับมาทั้งหมดในพริบตาเดียว
ป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งยืนอยู่ด้านข้างเห็นภาพนี้ ในใจก็รู้สึกเคืองเล็กน้อย แต่กลับไม่กล้าพูดอะไร มองเมล็ดพันธุ์วิเศษในฝ่ามือ ไม่ได้ทำการกระตุ้นมันในทันที แต่หยิบขึ้นมาตรงหน้า วิเคราะห์อย่างละเอียด
“หากเจ้ามองไม่ออกข้าบอกเจ้าให้ก็ได้ นี่ก็คือเมล็ดพันธุ์ของดอกไม้วิเศษสีน้ำเงิน” ตู้หลิงเฟยมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความดูหมิ่นหนึ่งทีก็ไม่ให้ความสนใจอีก ปิดดวงตาทั้งคู่ลง พลังวิญญาณในร่างกายเคลื่อนไหวพรวดพราด หลอมรวมอยู่ในมือและไหลทะลักเข้าเมล็ดพันธุ์โดยตรงเป็นระลอก
เมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในมือนางเริ่มแตกหน่อสีเขียวออกมา เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็สูงถึงหนึ่งฉื่อ หลังจากผลิดอกออกมาเป็นดอกไม้วิเศษสีน้ำเงินดอกหนึ่งแล้ว พืชวิเศษนี้ก็เจริญเติบโตต่อไป
มาถึงตอนนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะดึงสายตากลับมาจากการมองเมล็ดพันธุ์นั้นราวกับกำลังมีความคิดอะไรบางอย่าง
หลี่ชิงโหวสังเกตป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ตลอดเวลา หลังจากเห็นภาพนี้แล้ว ส่วนลึกในดวงตาของเขาเผยความตื่นตะลึงอย่างที่คนนอกยากจะจับสังเกตได้ออกมา
ในระหว่างที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ลูกศิษย์ฝ่ายนอกแต่ละคนที่อยู่รอบทิศล้วนมองตู้หลิงเฟย เห็นพืชวิเศษในมือของนางสูงขึ้นมาถึงสองฉื่อ ผลิดอกที่สองออกมา
ขณะที่พืชวิเศษในมือของตู้หลิงเฟยผลิดอกที่สามออกมา พลังวิญญาณในร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มเคลื่อนไหว ตรงดิ่งเข้าไปหลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์ ทว่าไม่ได้รักษาระดับความสม่ำเสมอเอาไว้ แต่เป็นเดี๋ยวหยุดเดี๋ยวไปต่อ และเมื่อเมล็ดพันธุ์นั้นแตกหน่อออกมาแล้ว เขายังเป่าลมใส่หนึ่งที ทำให้หน่ออ่อนนั้นกระจายออกด้วย
หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป สีหน้าตู้หลิงเฟยซีดเผือดน้อยๆ แต่กลับกัดฟันแรงๆ หนึ่งที ยืนหยัดทำต่อรวดเดียว จนเมื่อพืชวิเศษผลิดอกสีน้ำเงินที่หกออกมาแล้วถึงได้ผ่อนคลายลง วางพืชวิเศษไว้ด้านข้างแล้วคำนับหลี่ชิงโหว
“ดอกไม้วิเศษหกดอก ถือเป็นระดับชั้นยอด ไม่เลว” หลี่ชิงโหวพยักหน้า
ตู้หลิงเฟยพึงพอใจ เมื่อมองไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วพบว่าพืชวิเศษในมือของอีกฝ่ายยังโตได้ไม่ถึงหนึ่งฉื่อ ความดูถูกในแววตาก็ยิ่งมากขึ้น
ลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่อยู่โดยรอบ ในเวลานี้แต่ละคนก็ล้วนฮึกเหิม
“ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์พี่หญิงตู้ ดอกไม้วิเศษสีน้ำเงินนี้ออกดอกหกดอก ไม่ธรรมดาเลย ของเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนั่นตอนนี้ยังไม่ผลิออกมาสักดอก ช่างไร้ค่าเสียจริง”
“การแข่งขันเร่งกระตุ้นการเติบโตแบบนี้ ก่อนอื่นต้องดูก่อนว่าเป็นเมล็ดพันธุ์อะไร จากนั้นก็ใช้วิธีกระตุ้นที่ต่างกันโดยอิงตามกฎเกณฑ์การเติบโตของเมล็ดพันธุ์ ในด้านนี้ศิษย์พี่หญิงตู้ชำนาญลึกซึ้งนักแล”
ขณะที่ฝูงชนกำลังพูดคุยกันนั้น พืชวิเศษในมือป๋ายเสี่ยวฉุนค่อยๆ เติบโตขึ้นสูงถึงหนึ่งฉื่อ ที่ตามมาติดๆ คือดอกไม้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่ค่อนข้างจะแห้งเหี่ยวก็ผลิออกมา เทียบกับดอกสีน้ำเงินของตู้หลิงเฟยแล้ว จึงคล้ายกับเป็นดอกที่ไม่ได้รับการบำรุงที่ดี และขณะที่ฝูงชนกำลังคิดจะหัวเราะเยาะเขา ทันใดนั้นพืชวิเศษที่เห็นๆ กันอยู่ว่าสูงเพียงหนึ่งฉื่อกลับเริ่มมีดอกสีน้ำเงินเล็กๆ ผลิออกมา และตามมาติดๆ ด้วยดอกที่สาม ดอกที่สี่ ดอกที่ห้า ดอกที่หก ดอกที่เจ็ด…
ภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ลมหายใจ พืชวิเศษในมือป๋ายเสี่ยวฉุนกลับผลิดอกออกมาได้ถึงเก้าดอกเต็ม!!
ภาพนี้ทำให้ฝูงชนรอบด้านล้วนอึ้งตะลึงงัน พากันขยี้ตามองอย่างละเอียดอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ดอกไม้วิเศษสีน้ำเงินหนึ่งฉื่อหนึ่งดอก นี่หนึ่งฉื่อมีถึงเก้าดอกได้ยังไง!” ตู้หลิงเฟยเองก็อึ้งไปเช่นกัน รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างเหนือความคาดหมายนัก
แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุด หลังจากดอกสีน้ำเงินเล็กๆ ดอกที่เก้าปรากฏขึ้น ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายวาบ สูดลมหายใจเข้าลึก พลันพ่นลมหายใจที่แฝงเร้นไว้ด้วยปราณวิญญาณออกมาหนึ่งที เมื่อตกต้องบนดอกไม้เล็กๆ เก้าดอกนี้ พริบตาเดียวดอกไม้ทั้งเก้าสั่นไหวขึ้นมาพร้อมกัน ทันใดนั้นสีสันก็เกิดการเปลี่ยนแปลง กลายเป็นสีคราม!
อันสีครามเกิดจากต้นคราม แต่ครามเข้มกว่าต้นคราม!
“นี่…นี่ไม่ใช่ดอกไม้วิเศษสีน้ำเงิน!!” ในกลุ่มฝูงชนรอบทิศ บางคนที่มองออกก็เบิกตากว้าง แฝงเร้นไปด้วยความตกใจ
“ดอกไม้วิเศษสีคราม นี่คือดอกไม้วิเศษสีครามที่ยากจะแยกแยะความต่างได้ในระหว่างที่ปลูกดอกไม้วิเศษสีน้ำเงิน อีกทั้งวิธีกระตุ้นการเติบโตของพวกมันก็ไม่เหมือนกันเลย หากกระตุ้นโดยอิงตามวิธีของดอกไม้วิเศษสีน้ำเงิน ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่ได้ก็คือดอกไม้วิเศษสีน้ำเงิน เป็นการสิ้นเปลืองเมล็ดพันธุ์!”
ทุกคนตกตะลึง เมื่อมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนยากจะทำใจให้เชื่อได้
เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาขึ้น วางดอกไม้วิเศษสีครามในมือไว้ด้านข้าง หัวเราะคิกๆ เอามือเล็กๆ ไพล่หลังมองไปยังตู้หลิงเฟย
ความรู้ในด้านพืชหญ้าของเขานั้นไปถึงระดับที่มิอาจบรรยายได้แล้ว เพียงมองอย่างละเอียด ก็จะมองออกถึงความแตกต่างได้ในทันที การแยกแยะระดับนี้ สำหรับเขาแล้วถือว่าง่ายมาก
ตู้หลิงเฟยหน้าเปลี่ยนสี มีความรู้สึกเหมือนถูกคนตบหน้า นางถอยหลังไปหลายก้าว มองดอกไม้วิเศษสีน้ำเงินของตัวเองหนึ่งที แล้วก็มองดอกไม้วิเศษสีครามของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกที รู้สึกเพียงว่าใบหน้าร้อนผ่าว เมื่อครู่ตนเองยังชี้แนะอีกฝ่ายด้วยความลำพอง แต่แค่พริบตาเดียว ทุกอย่างก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าตนเองเป็นผู้ใช้เมล็ดพันธุ์ไปอย่างสิ้นเปลือง
‘ป๋ายเสี่ยวฉุนคนนี้ต้องโชคช่วยแน่ๆ ข้ามองเห็นเป็นดอกไม้วิเศษสีน้ำเงิน แต่เขามองเห็นเป็นดอกไม้วิเศษสีคราม ต้องเป็นเพราะเหตุผลนี้แน่ ไม่ใช่เพราะว่าเขาสามารถแยกแยะได้!’ ตู้หลิงเฟยกัดฟันคิดในใจ
“รอบแรก ป๋ายเสี่ยวฉุนชนะ ดอกไม้ชนิดนี้ไม่ใช่ดอกไม้วิเศษสีน้ำเงิน แต่เป็นดอกไม้วิเศษสีคราม มองเผินๆ เหมือนกัน แต่ลายเส้นมีความแตกต่างมากมาย แต่ถ้าไม่สังเกตอย่างละเอียดก็ยากที่จะค้นพบ ง่ายที่จะนำมาปะปนกัน” หลี่ชิงโหวเอ่ยปากเนิบนาบ มองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที มือขวายกขึ้นมาโบกครั้งหนึ่ง ในมือปรากฏพืชวิเศษหนึ่งต้น
พืชวิเศษนี้พิเศษมาก มีถึงสี่สี ใบทั้งเก้าล้วนแตกต่างกัน ผลิดอกสองดอก หนึ่งดอกสีดำ หนึ่งดอกสีขาว ราวกับมีความวิญญาณแฝงอยู่ ทั้งยังโบกสะบัดปะทะกันไม่หยุดประหนึ่งว่าต้องการพิชิตอีกฝ่าย ภายนอกเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่เมื่อมองอย่างละเอียดจะพบว่ามีร่องรอยการทาบกิ่งในภายหลัง
“รอบแรกทดสอบเรื่องการกระตุ้นการเติบโต ถ้าอย่างนั้นรอบที่สองนี้จะทดสอบการแยกแยะก็แล้วกัน ต้นไม้วิเศษในมือข้าต้นนี้ ผ่านการทาบกิ่งพืชวิเศษมาหลายชนิด ระหว่างพวกเจ้าใครที่พูดจำนวนได้แม่นยำที่สุดก็คือผู้ชนะ”
หลี่ชิงโหวปล่อยพืชวิเศษต้นนี้ให้ลอยไปด้านหน้า สายตามาตกอยู่ที่ตัวของป๋ายเสี่ยวฉุน อยากจะดูว่าเด็กที่ตนเองพาเข้าสำนักมาคนนี้ จะสามารถทำให้ตนตกตะลึงได้อีกหรือไม่
ฟันขาวสะอาดของตู้หลิงเฟยขบกัน นางรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตนเองประมาทเกินไป เวลานี้จึงเกิดความตั้งใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หลังจากหยิบแผ่นหยกหนึ่งแผ่นออกมาแล้วก็เดินไปด้านข้างพืชวิเศษ
แววตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความสนอกสนใจ เดินเข้าไปเช่นเดียวกัน ทั้งสองคนมองอย่างละเอียดอยู่นานมาก บันทึกลงในแผ่นหยกอยู่ตลอดเวลา หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ตู้หลิงเฟยนวดคลึงหว่างคิ้ว ถอยหลังออกมาสองสามก้าว มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย นางดูออกแปดชนิด ส่วนที่เหลือไม่ว่านางจะพยายามแยกแยะแค่ไหนก็แยกไม่ออก
แต่ทางด้านป๋ายเสี่ยวฉุนนั้น ไม่เพียงแต่ยังสังเกตไม่เสร็จ กลับกันคือดวงตาทั้งคู่ค่อยๆ เปล่งประกาย ถึงขนาดงึมงำเสียงเบาๆ เดินวนรอบพืชวิเศษอยู่หลายรอบ แล้วยังส่งเสียงร้องตื่นตะลึงออกมาเป็นระยะราวกับค้นพบสิ่งน่าตะลึงระคนดีใจอะไร
“เป็นอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ?”
“นี่มัน…น่าสนใจ!”
ฝูงชนรอบด้านเงียบกริบ ล้วนจ้องมองไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาเองก็ไม่เชื่อว่ารอบก่อนป๋ายเสี่ยวฉุนมองออกด้วยความสามารถของตนเอง ทุกคนล้วนคิดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนโชคช่วย ถึงได้เลือกกระตุ้นตามวิธีของดอกไม้วิเศษสีคราม
‘เสแสร้ง เสแสร้งต่อไปสิ!’ ในใจตู้หลิงเฟยไม่ยอมแพ้ ยิ่งมองป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งให้รู้สึกรังเกียจ
เวลาผ่านไป เมื่อธูปหนึ่งดอกดับลง ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงสำรวจไม่เสร็จสิ้น เขาจมดิ่งอยู่กับการสังเกตอย่างแท้จริง ลืมไปแล้วว่ากำลังแข่งขันอยู่ พืชวิเศษที่เกิดจากการทาบกิ่งเช่นนี้ ราวกับได้เปิดประตูด้านความรู้เรื่องพืชหญ้าอีกบานใหญ่ให้กับสมองของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้ราวกับว่าสมุนไพรหลายหมื่นชนิดที่เขาศึกษามาไม่ได้อยู่แยกเดี่ยวเป็นต้นๆ อีกต่อไป แต่กลับผสานรวมกันอยู่ในสมอง
เนิ่นนาน ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ถอยหลังออกมาด้วยความอาลัยอาวรณ์ ขณะที่มองไปยังพืชวิเศษ สายตาก็เผยความหลงใหลและชื่นชม
หลี่ชิงโหวและผู้เฒ่าซุนมองสบตากันหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นหลี่ชิงโหวก็เอ่ยปาก
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าสองคนพูดพืชวิเศษที่มองออกออกมา ตู้หลิงเฟย เจ้าก่อน”
ตู้หลิงเฟยกัดฟัน หยิบเอาแผ่นหยกขึ้นมา เอ่ยปากเป็นคนแรก
“ศิษย์มองออกแค่แปดชนิด แบ่งออกเป็นสุ่ยเทียนเหวิน รากหันอี ผลมังกรดิน หญ้าหมอกอรุณ…สุดท้ายคือหวงถู่จิง!” พูดจบ ตู้หลิงเฟยหันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุน นางไม่เชื่อว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะตอบได้มากเกินกว่าตนเอง ต้องเข้าใจว่าทั้งแปดชนิดนี้ถึงแม้มองดูไม่มาก แต่ในความเป็นจริงแล้วการแยกแยะสมุนไพรที่ทาบกิ่งให้ได้ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบนั้นมีความยากสูงมาก สามารถมองออกได้แปดชนิดถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
‘หึ หากเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนคนนี้หน้าด้านพูดว่าแปดชนิดเหมือนกัน ถ้าเช่นนั้นก็เอาแผ่นหยกมาใช้เป็นหลักฐาน!’ ตู้ หลิงเฟยหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ
ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมหนึ่งครั้ง เห็นว่าฝูงชนล้วนมองมาที่ตนเอง ดังนั้นจึงสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที หยิบเอาแผ่นหยกที่เมื่อครู่ใช้บันทึกชื่อพืชวิเศษออกมา
“แปดชนิดที่ศิษย์พี่หญิงตู้พูดมาข้าขอไม่พูดแล้วกัน นอกจากนี้แล้ว ศิษย์มองออกว่ามีพืชวิเศษหกสิบเจ็ดชนิด เสียดายที่มีถึงสามสิบเอ็ดชนิดที่มองไม่ออก ที่มองออกมีเพียงสามสิบหกชนิดเท่านั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งพูดมาถึงตรงนี้ ยังไม่ทันได้พูดจบ ลูกศิษย์รอบทิศล้วนตกตะลึงจนร้องเสียงหลง
“หกสิบเจ็ดชนิด จะเป็นไปได้ยังไง!”
“การแยกแยะแบบนี้ มองออกเจ็ดแปดชนิดก็ถือว่าถึงขีดสุดแล้ว จะสามารถมองออกถึงสิบกว่าชนิดได้ยังไง!”
ตู้หลิงเฟยจดจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วหัวเราะเสียงเย็น นางไม่เชื่อสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาเมื่อครู่ ในเวลานี้จึงชี้ขาดได้เลยว่าเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนคนนี้เดาล้วนๆ
“ศิษย์น้องป๋ายทำไมไม่พูดว่ามีสามหมื่นชนิดไปเลยล่ะ ถ้าพูดแบบนี้ล่ะก็ เจ้าท่องจำพืชหญ้าสามเล่มแรกสักหนึ่งรอบ ก็ต้องทายถูกไม่น้อยแน่” ตู้หลิงเฟยพูดเสียดสี
———-