บทที่ 52 กบฏลั่วเฉิน
เวลาเดียวกันนั้น ใต้ดินลานที่พักของตระกูลลั่วเฉินปรากฏวังใต้ดินขนาดมโหฬารตั้งตระหง่าน สถานที่แห่งนี้มีทะเลสาบเลือดอยู่แห่งหนึ่ง ซากกระดูกเกินจะนับแช่อยู่เต็มทะเลสาบเลือดแห่งนี้
รอบด้านมีค่ายกลเปล่งแสงวิบวับ คนในตระกูลลั่วเฉินจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ละคนล้วนกำลังคุกเข่าอยู่เต็มบริเวณ ชายหญิงเด็กแก่เบียดเสียดกันแน่นขนัด ทุกจุดที่คนในตระกูลคุกเข่าอยู่ล้วนคือช่วงรอยต่อของค่ายกล
พวกเขาทุกคนพากันเงียบงัน มือขวาโดนกรีด เลือดสดไหลริน หลอมรวมเข้ากับจุดเชื่อมต่อข้างกายตนเอง เลือดสดๆ ที่มาจากคนทั้งหมดของตระกูลตรงไปรวมตัวกันกลางทะเลสาบเลือด
ตรงกลางทะเลสาบมีผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ผู้เฒ่าคนนี้ผมขาวโพลน แต่กลับแผ่บารมีไพศาล การสูดลมหายใจเข้าออกแต่ละครั้งล้วนทำให้ทะเลสาบเลือดเดือดพล่าน
และในเวลานี้เอง ดวงตาทั้งคู่ของผู้เฒ่าพลันเปิดพรึ่บขึ้นมา นัยน์ตาฉายประกายสีเลือด
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!” น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาดังสะท้อนอยู่ในวังใต้ดินแห่งนี้
ในกลุ่มคนที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด ชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยปากเสียงเบา
“ผู้อาวุโส มีศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักธาราเทพมากันสามคน พวกเขามาเยือนกะทันหันเกินไป ข้าน้อยรับมือไม่ทัน กังวลว่าจะกระทบกับงานใหญ่ของตระกูลเรา ด้วยร่างหุ่นเชิดของข้าที่อยู่ด้านนอก เดิมทีคิดจะใช้ค่ายกลบวกกับหุ่นเชิดตัวอื่นๆ ฆ่าสามคนนั้นทิ้งซะ แต่น่าเสียดาย…ข้าน้อยไร้ความสามารถ ฆ่าไปได้แค่คนเดียว ปล่อยให้สองคนที่เหลือหนีรอดไปได้ ส่วนลูกศิษย์คนที่ถูกจับมาก่อนหน้านั้นก็ถูก…ช่วยไปด้วย” ชายหนุ่มคนนี้ก็คือคนที่พวกป๋ายเสี่ยวฉุนสามคนเห็นว่าไล่ฆ่าพวกเขา
ในใจของเขาเองก็กลัดกลุ้มนัก ลูกศิษย์สำนักธาราเทพขาดการติดต่อ โดยทั่วไปแล้วอย่างน้อยต้องรอถึงครึ่งปีจึงจะสามารถยืนยันได้ว่าหายตัวไปจริง และก็มีเพียงถึงตอนนั้นเท่านั้น ถึงจะส่งลูกศิษย์คนอื่นออกมาตรวจสอบ เมื่อเป็นเช่นนี้ กว่าจะมาถึงเทือกเขาลั่วซิงก็ต้องใช้เวลาประมาณเก้าเดือน
แต่ตอนนี้เพิ่งผ่านไปเพียงสี่เดือนเท่านั้น กลับมีลูกศิษย์ธาราเทพมาเยือน อย่าว่าแต่เขาเลย คนทั้งตระกูลลั่วเฉินล้วนนึกไม่ถึงทั้งสิ้น เพราะยังไงซะนั่นก็คือลูกศิษย์ฝ่ายนอกคนเดียวเท่านั้น อีกอย่างก่อนหน้านี้ตระกูลของพวกเขาก็ไม่ได้เผยพิรุธใดให้เห็น ตามหลักแล้วพวกเขาไม่ควรจะมากันเร็วขนาดนี้
ส่วนโหวอวิ๋นเฟยผู้นั้น หากไม่เป็นเพราะมาตรวจสอบเจอความลับของตระกูลลั่วเฉิน พวกเขาเองก็ไม่อยากจับตัวเอาไว้ ตามแผนเดิมของพวกเขา ใช้เวลาแค่ครึ่งปีก็สามารถทำสำเร็จได้ และเมื่อทำสำเร็จ นับแต่นี้ไปตระกูลก็จะยิ่งใหญ่ดุจทะเลกว้างนภาสูง หลุดพ้นจากการควบคุมของสำนักธาราเทพ!
แต่ตอนนี้ยังขาดอีกหนึ่งเดือน…
“ลูกศิษย์ฝ่ายนอกสองคน… หึ ข้าร่ายค่ายกลปิดผนึกทั้งสี่ทิศเอาไว้แล้ว พวกเจ้ารีบส่งคนไปตามฆ่าพวกมันให้เร็วที่สุด ขอแค่ผ่านไปได้อีกหนึ่งเดือน…ทั้งหมดก็จะสำเร็จ!” ผู้เฒ่าเอ่ยปากราบเรียบ ดูไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่นัก แล้วจึงหลับตาลงอีกครั้ง
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ก้มหน้ารับคำว่าขอรับ
ไม่นานนัก เงาร่างเจ็ดร่างก็เดินพรวดออกจากลานที่พักตระกูลลั่วเฉิน ผู้นำก็คือชายหนุ่มคนนั้น ในเวลานี้พลังตบะที่แท้จริงของเขาเผยชัดว่าไปถึงขั้นการรวมลมปราณขั้นที่แปด
คนที่เหลืออีกหกคน พลังอ่อนที่สุดก็ยังถึงขั้นการรวมลมปราณที่หก และยังมีอีกสองคนที่ได้ถึงการรวมลมปราณขั้นที่เจ็ด
“พวกมันยังหนีไปได้ไม่ไกลหรอก ตาม!” ร่างทั้งเจ็ดสะบัดหนึ่งที นัยน์ตาแต่ละคนฉายไอสังหาร ดิ่งทะยานเข้าไปในผืนป่า
ในป่า ป๋ายเสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟยกำลังประคองโหวอวิ๋นเฟยที่สลบไสลไม่ได้สติห้อทะยานไปข้างหน้า พวกเขาลองใช้เรือบินแล้ว เพียงแต่สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงตัดขาดการส่งสัญญาณ แม้แต่เรือก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้
ภาพนี้ทำให้สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟยยิ่งไม่น่าดู
พวกเขาเงียบกันมาตลอดทาง ทั้งสองคนกัดฟันประคองโหวอวิ๋นเฟยห้อทะยานไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดเผือด ความรู้สึกถึงอันตรายของเขาในเวลานี้พุ่งสูงถึงขีดสุด ไม่ต้องพูดถึงว่าเลือดเนื้อทุกส่วนในร่างกายกำลังกรีดร้อง นี่ยังถึงขั้นส่งคำอ้อนวอนอันดุเดือดให้กับเขา บอกเขาว่าต้องหนีให้รอด!
หากช้าเพียงนิดเดียว ต้องตายอยู่ที่นี่แน่!
วิกฤตถึงตายครั้งนี้ มีมากกว่าอันตรายที่เฝิงเหยียนนำมาสู่เขาหลายต่อหลายเท่านัก เพราะต่อให้เฝิงเหยียนคิดจะลงมือกับเขา แต่ก็ยังต้องระมัดระวัง ต้องลอบฆ่าในที่ลับ
และขอแค่เขาระวังตัวมากหน่อย ต่อให้ไม่สามารถสลัดหลุดพ้น แต่กลับหลบเลี่ยงได้เกินครึ่ง ทั้งยังสามารถหาโอกาสโจมตีกลับไปได้ด้วย
แต่ตอนนี้…พอป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงข้อมูลที่พวกตนมีอยู่ในมือ ใจก็สะท้านไหว หน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดซึมออกมาไม่หยุด ข่าวที่เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรแบบนี้ อย่าว่าแต่ตระกูลลั่วเฉินเลย ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ย่อมตามติดไล่ฆ่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ต่อให้อีกฝ่ายต้องสูญเสียมากเพียงใด ก็ต้องฆ่าปิดปากพวกตนอย่างแน่นอน
ไม่มีทางลงมืออย่างลับๆ แต่เป็นตรงเข้าเข่นฆ่ารวดเร็วดุจฟ้าผ่า
ถึงขั้นไม่มีทางให้เวลาพวกเขาหนีไปไกลนัก ไม่แน่ว่าตอนนี้คนตระกูลลั่วเฉินอาจกำลังไล่หลังมาแล้วก็ได้
‘ไอ้ศาลาพิพากษ์เวร ภารกิจนี้…ภารกิจนี้ไม่ใช่ภารกิจที่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกรับทำได้ด้วยซ้ำ!!’ พอนึกขึ้นมาได้ว่าตระกูลลั่วเฉินยังมีผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานรากอยู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งตัวสั่น
‘ขั้นสร้างฐานรากเชียวนะ…ขั้นรวมลมปราณกับขั้นสร้างฐานราก เมื่อเทียบกันแล้วต่างกันราวมนุษย์ธรรมดากับผู้ฝึกขั้นรวมลมปราณ…’ ป๋ายเสี่ยวฉุนหายใจถี่กระชั้น ดวงตาแดงก่ำไปหมด
‘ข้าบำเพ็ญตบะ…ก็เพื่อเป็นอมตะนะ…’ ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากร้องแต่ร้องไม่ออก มองโหวอวิ๋นเฟยหนึ่งที อย่างไรเขาก็ไม่สามารถโยนโหวอวิ๋นเฟยทิ้งเพื่อเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นอีกหน่อยได้ เรื่องแบบนี้ เขาทำไม่ลงจริงๆ
ตู้หลิงเฟยสีหน้าซีดขาว ตบะของนางอ่อนแอที่สุด พลังวิญญาณในร่างฟื้นกลับมาไม่ค่อยได้นัก ยามนี้ความขมปร่าก็พุ่งขึ้นมาเป็นระลอก นางรู้ดีว่าคราวนี้เก้าส่วนนั้นคือตาย ถึงขนาดเป็นไปได้มากว่าไม่มีทางรอดทั้งสิบส่วน ตายแน่นอน หากเฝิงเหยียนยังมีชีวิตอยู่ ยังไงซะเขาก็มีตบะถึงขั้นรวมลมปราณที่เจ็ด หากผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานรากของอีกฝ่ายปรากฏตัว บางทีสู้ตายก็อาจจะยังพอมีหวังได้รอดบ้าง
แต่ตอนนี้เฝิงเหยียนตายแล้ว ตัวนางเองก็มีแค่การรวมลมปราณขั้นห้าที่ไม่ว่ายังไงก็ยังทะลุขั้นไม่ได้ ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุน…สำหรับเขาที่กลัวตาย ตู้หลิงเฟยไม่หวังแล้วว่าจะพึ่งพาได้
“คิดไม่ถึงว่าออกมาทำภารกิจนอกสนามครั้งแรก ก็ต้องมาตายอยู่ตรงนี้ซะแล้ว” ตู้หลิงเฟยหัวเราะเย้ยหยัน แต่ฟันขาวสะอาดกลับขบแน่น ไม่ถึงท้ายที่สุด นางไม่ยอมแพ้ที่จะมีชีวิตต่อเด็ดขาด ยามนี้จึงตบถุงเก็บของหนึ่งที กลืนยาเม็ดหนึ่งลงไป มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่หน้าซีดตัวสั่น ตู้หลิงเฟยถอนหายใจเบา เวลาอย่างนี้ นางไม่เหลือความดูหมิ่นอะไรต่อป๋ายเสี่ยวฉุนอีกแล้ว จึงหยิบเอายาหนึ่งขวดโยนให้ป๋ายเสี่ยวฉุน
“ศิษย์น้องป๋าย พลังวิญญาณในร่างจำต้องเสริมให้ทันเวลา”
ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน รับขวดยามาเปิดฝาออกเงียบๆ กลืนลงไปหนึ่งเม็ด ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ จึงหยิบยาสองขวดออกมาจากถุงเก็บของของเฝิงเหยียน
“ถุงของศิษย์พี่เฝิงก็มียาอยู่เหมือนกัน” เขาพูดไปพลางแบ่งให้ตู้หลิงเฟยครึ่งหนึ่ง
ตู้หลิงเฟยรับเอามาเงียบๆ ความเร็วของคนทั้งสองไม่เปลี่ยน ห้อทะยานไปข้างหน้าอีกครั้ง ไม่นานก็มาถึงจุดที่พบแผ่นหยกของโหวอวิ๋นเฟย มองเห็นไม้ใหญ่ต้นนั้น ตู้หลิงเฟยถอนหายใจยาวๆ อยู่ในใจ
แต่จะมาเสียใจเอาตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ ทั้งสองคนประคองโหวอวิ๋นเฟยทะยานออกไปอีกครั้ง ความเร็วของตู้หลิงเฟยเริ่มช้าลงเรื่อยๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจ คว้าจับแขนของตู้หลิงเฟย พานางและโหวอวิ๋นเฟยพุ่งทะยานอย่างบ้าคลั่ง
ตู้หลิงเฟยค้นพบตั้งนานแล้วว่าความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ลดลงแม้แต่นิด ในเวลานี้ถูกเขาจับแขนเอาไว้ จิตสำนึกสั่งให้นางดิ้นรน แต่พอมองเห็นใบหน้าซีดเผือดรวมทั้งความหวาดกลัวที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว นางก็ถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจหนึ่งที ปล่อยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจับแขนตัวเอง พุ่งถลาไปข้างหน้าพร้อมกัน
และในเวลานี้เอง ร่างของโหวอวิ๋นเฟยขยับน้อยๆ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาฉายความเหนื่อยล้า
“ศิษย์น้องป๋าย นึกไม่ถึงว่าจากกันไปหลายปี เจ้าและข้าจะมาพบกันอีกครั้งที่นี่” โหวอวิ๋นเฟยยิ้มขื่น มองป๋ายเสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟยที่ประคองตนเอง
ตู้หลิงเฟยพอมองเห็นว่าโหวอวิ๋นเฟยฟื้นคืนสติ จึงรีบหยิบยาส่งไปให้ทันที
“ศิษย์พี่โหว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองโหวอวิ๋นเฟยก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน
“พวกเรายังคงมีความหวัง ตระกูลลั่วเฉินกำเริบเสิบสาน เข่นฆ่ามนุษย์เพื่อประโยชน์ส่วนตน เอากระดูกแลกเลือด ส่วนผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานรากนั่นต้องควบคุมมหาเวทโลหิตผัน ไม่มีทางมาด้วยตัวเองแน่ อีกอย่างตอนนี้คนทั้งตระกูลลั่วเฉินล้วนอยู่ในค่ายกล ดังนั้น…คนที่ตามมามีไม่เยอะหรอก!”
“แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะไม่สามารถส่งข้อความให้กับสำนักได้ แต่ขอแค่หนีออกไปจากขอบเขตที่ถูกจำกัดไว้ ย่อมทำได้แน่นอน!”
“อีกทั้งเรื่องใหญ่แบบนี้ ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหนึ่งก่อกบฏ แค่ทางสำนักทราบข่าว ต้องตามมาช่วยอย่างเร็วที่สุดแน่!” โหวอวิ๋นเฟยยิ้ม หลังจากกลืนยาที่รับมาจากตู้หลิงเฟยลงไป นัยน์ตาก็เปล่งประกายวาบ ไม่ต้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนประคองอีกต่อไป แต่กัดฟันเหินทะยานไปพร้อมกับคนทั้งสอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเร็วของทั้งสามคนจึงเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย เริ่มค่อยๆ มองเห็นชายแดนของเทือกเขาลั่วซิง ไม่นานนักคนทั้งสามก็พุ่งออกไปได้ ตู้หลิงเฟยรีบหยิบแผ่นหยกออกมาพยามยามติดต่อกับสำนักทันที แต่สีหน้าก็ยิ่งซีดเผือดกว่าเดิม ส่ายหัวอย่างเจ็บปวดใจ
“ยังไม่ได้เหมือนเดิม…”
ใจป๋ายเสี่ยวฉุนหล่นดังตึง โหวอวิ๋นเฟยเงียบงัน
ทั้งสามคนไม่พูดอะไร พากันออกเดินทางต่อด้วยความกลัดกลุ้ม แต่เวลานี้เอง ทันใดนั้นเบื้องหลังของพวกเขาก็พลันมีเสียงคำรามดังลอยมา สีหน้าคนทั้งสามเปลี่ยนสีในพริบตาเดียว เงาร่างเจ็ดเงาพุ่งพรวดออกมาจากอีกมุมหนึ่งของป่า ก่อให้เกิดเสียงดังสวบสาบ
หัวหน้าของพวกมันก็คือชายหนุ่มที่มีการรวมลมปราณขั้นแปดผู้นั้น เขามองปราดเดียวก็เห็นพวกป๋ายเสี่ยวฉุนสามคน ไอสังหารในดวงตาเปล่งวาบ
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกไปแล้ว พวกเจ้า…หนีไม่รอดหรอก! จำเอาไว้ คนที่ฆ่าพวกเจ้า ชื่อเฉินเยว่!”
“ฆ่าพวกมัน!” ทุกคนของตระกูลลั่วเฉิน ควักเอาอาวุธออกมา นัยน์ตาแต่ละคนเผยแววเย็นเยียบ พุ่งพรวดเข้าหาทันใด
พวกป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสียิ่งกว่าเดิม แต่ละคนกัดฟันเพิ่มความเร็วมากขึ้น
เฉินเยว่หัวเราะเสียงเย็น สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที กะโหลกศีรษะสีม่วงหัวหนึ่งปรากฏออกมา มันขยายใหญ่ขึ้นตามลมจนมีขนาดประมาณครึ่งจั้ง เปล่งเสียงหัวเราะดังก้อง ทะยานดิ่งเข้าหาพวกป๋ายเสี่ยวฉุนสามคนด้วยความรวดเร็ว พริบตาเดียวก็เข้าประชิดหลัง ภายใต้การโบกสะบัดนิ้วของเฉินเยว่ มันถึงกับระเบิดออกด้วยตัวเอง
เสียงตู้มดังหนึ่งครั้ง กลายมาเป็นแรงโจมตีหนึ่งระลอกใหญ่ แยกกันพุ่งตรงเข้าหาคนทั้งสาม ทำให้ร่างกายของตู้หลิงเฟยและโหวอวิ๋นเฟยถูกสกัดขวางอย่างรุนแรงจนหยุดชะงักลง จึงถูกคนของตระกูลลั่วเฉินไล่ตามเข้ามาโอบล้อมทันที
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนที่เดิมทีก็ทะยานได้เร็วปรื๋ออยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ต้องช่วยประคองตู้หลิงเฟยและโหวอวิ๋นเฟยสองคน เวลานี้พอแยกจากกัน เขาไม่คิดให้มากความ ความเร็วเร่งเพิ่มขึ้นมาอย่างเต็มกำลัง เสียงลมคำราม แผล็บเดียวความเร็วก็เพิ่มพรวดขึ้นมาอีกมาก ยังไม่ทันที่คนของตระกูลลั่วเฉินจะได้โอบล้อมเอาไว้ เขาก็พุ่งถลาออกไปได้แล้ว เวลานี้วิ่งออกไปไกลหลายสิบจั้ง อีกทั้งเมื่อมองแล้ว ดูเหมือนความเร็วจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ
เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเฉินเยว่ที่มีลมปราณขั้นแปดหรือคนอื่นๆ ของตระกูลลั่วเฉินก็อึ้งตะลึงกันไปหมด
“วิ่งเร็วดีแท้ ฆ่าสองคนนี้ก่อน แล้วค่อยตามเจ้านั่นไป!” เฉินเยว่เอ่ยปากเนิบนาบ เมื่อโบกมือ ไอสังหารโหมกระหน่ำบ้าคลั่ง ตรงดิ่งเข้าหาตู้หลิงเฟยและโหวอวิ๋นเฟยสองคน
เสียงกัมปนาทดังก้อง ตู้หลิงเฟยกระอักเลือดสดออกมา นางฝืนยืนหยัด รอยเลือดเปรอะเปื้อนเป็นด่างดวงทั้งร่าง ถูกคนมากมายโอบล้อมขนาดนี้ ก็ให้แน่ใจแล้วว่าตนต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เวลานี้มองไปยังแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ห่างไปไกล นางก็หัวเราะออกมาอย่างร้าวราน
ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวตาย เรื่องนี้นางรู้มานานแล้ว แม้ว่าในใจจะเกิดความสับสนอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ที่มากไปกว่านั้นคือความขมปร่าและสิ้นหวัง
“ศิษย์น้องป๋าย หวังว่าเจ้าจะสามารถหนีรอดไปได้…” ตู้หลิงเฟยทำมุทรา กระบี่บินคำรามพุ่งออกไป อาศัยความเร็วของวิชายกหนักเสมือนเบา ต่อกรกับทุกคนที่อยู่รอบกายอีกครั้ง เลือดสดๆ พุ่งทะลักออกมาอีกที ร่างกายก็โอนเอนพร้อมล้มลงได้ทุกเมื่อ
โหวอวิ๋นเฟยเองก็ยิ้มเศร้า นัยน์ตาเปล่งประกาย เขาคำรามเบาๆ หนึ่งที ต่อให้ยามนี้พลังวิญญาณใกล้จะแห้งเหือด แต่ก็ยังคงไม่ยอมแพ้ เขากัดฟัน เตรียมใจว่าต่อให้ตาย ก็ต้องดึงเอาคนของอีกฝ่ายดับสูญไปพร้อมกันด้วย เพื่อซื้อเวลาให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหนีไปได้ไกลมากที่สุด
———