บทที่ 62 ใช้มีดฆ่าวัวเชือดไก่!
ส่วนลึกของผืนป่าในเทือกเขาไร้นาม ฝนฟ้าที่ไม่รู้ว่าค่อยๆ อ่อนกำลังลงเมื่อไหร่ได้หยุดลงในช่วงสายัณห์ ห่างไกลออกไปแม้ว่าจะมีเพียงแสงอาทิตย์มืดสลัว แต่ยังคงมองเห็นสายรุ้งที่ไม่สวยงามสมบูรณ์แบบอยู่บ้าง
ราวกับว่าสายรุ้งเส้นนี้ค่อยๆ แตกกระจัดกระจายเป็นชิ้นๆ ตามดวงอาทิตย์ที่ตกลับลงไปช้าๆ
ในผืนป่าเงียบสงัด แม้แต่กลิ่นคาวเลือดก็ยังจางหายไป มีเพียงศพที่นอนกองอยู่ตามทางซึ่งเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าสถานที่แห่งนี้เคยมีการเข่นฆ่าอันดุเดือดเกิดขึ้น
เฉินเหิงนอนอยู่บนพื้น แม้จะตายไปแล้วแต่ดวงตาของเขาก็เหมือนยังมีปณิธานฝังอยู่ มีความไม่ยินยอม ไม่อยากเชื่อ
ข้างศพของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนนอนนิ่งไม่ขยับ หากชีวิตของเขาคือไฟกองหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นยามนี้ไฟกองนี้ก็ได้ดับมอดลงไปแล้วถึงเก้าส่วนกว่า เหลือเพียงแต่เปลวไฟเส้นหนึ่งเท่านั้นที่ยังคงดิ้นรนปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ต่อ
ผ่านไปเนิ่นนาน มีเสียงฝีเท้าดังลอยมาจากที่ห่างไกล เหยียบย่ำลงบนใบไม้ที่แช่อยู่ในน้ำ เข้ามาใกล้ทีละก้าวจนกระทั่งหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าร่างเฉินเหิง เสียงฝีเท้าถึงได้หายไป
นั่นคือผู้เฒ่าคนหนึ่งที่สวมชุดเสื้อคลุมตัวยาวสีดำ ผมขาวโพลนทั่วศีรษะสะบัดปลิว บนใบหน้ามีริ้วรอยมากมาย บ่งบอกให้รู้ว่าได้ผ่านประสบการณ์มาโชกโชนอย่างที่ไม่สามารถปกปิดได้ ราวกับว่าเขาดำรงอยู่ในฟ้าดินแห่งนี้มาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว ถึงขั้นที่ว่าประสบการณ์นี้ของเขาได้กลายร่างเป็นไอแห่งความตายปกคลุมไปทั่วทิศ
“ความดึงดันรวมวิญญาณ…ตัวตายแต่วิญญาณกลับไม่สลาย พอจะใช้ได้” น้ำเสียงแหบแห้งแฝงไว้ด้วยความเลื่อนลอยดังสะท้อนไปมารอบด้าน หว่างคิ้วของศพเฉินเหิงพลันเกิดรอยปริแยก ไอสีเขียวเป็นเส้นๆ ลอยละล่องออกมา จนกระทั่งไปรวมตัวกันกลางอากาศ กลายเป็นเงาวิญญาณเลือนรางขนาดประมาณฝ่ามือ
และนั่นก็คือเฉินเหิง เพียงแต่ว่านัยน์ตาของเขาเผยความฉงนสนเท่ห์ ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปสิ้น สั่นสะท้านหงึกหงัก
ผู้เฒ่ายกมือขวาขึ้นชี้ วิญญาณของเฉินเหิงพลันบินออกไปหลอมรวมเข้ากับปลายนิ้วของเขาแล้วหายไป
ผู้เฒ่าลึกลับคนนี้หลังจากเก็บวิญญาณของเฉินเหิงไปแล้ว ก็หันหน้าไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบๆ สีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย นัยน์ตาค่อยๆ เผยแววหวนรำลึก
“นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็น…วิชาอมตะมิวางวายอีกครั้ง…” ผู้เฒ่าหลับตาลง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ถอนหายใจเสียงเบาหนึ่งครั้ง ลมหายใจนี้แทบจะเปลี่ยนแปลงความว่างเปล่ารอบด้าน ทำให้พื้นที่บริเวณนี้เสมือนเวลาได้ไหลผ่านต่างไปจากปกติ คล้ายตัดขาดจากโลก
พืชหญ้าจำนวนไม่ถ้วนส่ายไหว พริบตาเดียวก็สูญสลายกลายเป็นฝุ่นผง
ศพของเฉินเหิงเหี่ยวแห้ง และในเวลาไม่กี่ชั่วลมหายใจ ตลอดทั้งร่างของเขาก็กลายเป็นโครงกระดูก สลายเป็นฝุ่นผงปะปนอยู่ในน้ำโคลน
มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่เพียงแต่เนื้อหนังไม่เน่าเละ กลับกันยังมีพลังชีวิตที่มองไม่เห็นจำนวนมากมาเยือน หลอมรวมเข้าไปในกายของเขา ซ่อมแซมร่างที่บาดเจ็บหนักของเขาอย่างรวดเร็ว
ผู้เฒ่าหลับตาลง ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ตรงนั้นราวกับรูปสลัก ร่างกายของเขาหากมองอย่างละเอียดดูเหมือน…ไม่ได้หายใจ ไม่มีชีวิต ตลอดทั้งร่างราวกับไม่ได้ดำรงอยู่บนโลกใบนี้ ประหนึ่งเศษส่วนวิญญาณที่ไม่ต้องการมีชีวิตใหม่
เวลาเดียวกันนี้ ชั่ววินาทีที่เฉินเหิงสิ้นชีพ ในตระกูลลั่วเฉินของเทือกเขาลั่วซิง ผู้อาวุโสท่านนั้นพลันลืมตาขึ้นพรึ่บ ความกระวนกระวายในใจพุ่งสูง สายตาของเขากวาดมองไปยังคนในตระกูลรอบด้าน แม้จะมองเห็นว่าคนในตระกูลสิบเอ็ดคนที่ส่งไปตายกันไปแล้วไม่น้อย แต่ผนึกวิญญาณในส่วนของเฉินเหิงยังอยู่ ในใจจึงสงบลงมาได้บ้าง
“ก็แค่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกสามคนเท่านั้น ทำไมถึงได้นานขนาดนี้…แถมคนในตระกูลยังตายไปอีกไม่น้อย แต่ด้วยตบะของเหิงเอ๋อร์ก็ไม่น่าจะมีอุปสรรคอะไร บางทีตอนนี้เหิงเอ๋อร์อาจฆ่าเจ้าเด็กสามคนนั้นตายแล้ว และกำลังเดินทางกลับมาก็เป็นได้” ขณะที่ผู้อาวุโสของตระกูลลั่วเฉินพึมพำ ความรู้สึกไม่สบายใจนั้นก็ยังคงอยู่ ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปล่งวาบ ส่งคนในตระกูลที่มีพลังรวมลมปราณขั้นเจ็ดออกไปสำรวจด้านนอกอีกสองสามคน
หลังจากสั่งความเสร็จ นัยน์ตาของเขาก็เผยความแข็งกร้าว สูดลมหายใจเข้าลึก
“ไม่ว่าอย่างไรก็เหลืออีกแค่หนึ่งวัน มหาเวทโลหิตผันก็จะสำเร็จแล้ว!” ผู้อาวุโสลั่วเฉินกัดฟัน กดความคิดไม่เป็นสุขทั้งหมดนี้ลงไป เขารู้ดีว่าตนเองไม่มีทางให้ถอยกลับอีกแล้ว และก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกด้วย ขอแค่ผ่านพ้นไปได้อีกหนึ่งวัน…ทุกอย่างก็เพียงพอ!
และเวลาเดียวกันนี้ ในหุบเขาแห่งหนึ่งที่ห่างจากชายขอบค่ายกลตระกูลลั่วเฉินไม่ถึงสิบลี้ โหวอวิ๋นเฟยสีหน้าซีดขาว ไม่อาจเดินทางต่อไปได้อีก เขากระอักเลือด ร่างล้มลงท่ามกลางเสียงหัวเราะสังเวชใจ
“ศิษย์น้องป๋าย…ข้าขอโทษที่ช่วยเจ้าไม่ได้…” ก่อนหมดสติไปเขากำหมัดแน่น ในใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและอับจนหนทาง
อีกทิศทางหนึ่ง เส้นผมของตู้หลิงเฟยปลิวสะบัด ทั้งเนื้อทั้งตัวทรุดโทรมอย่างถึงขีดสุด ลมปราณตลอดร่างของนางขาดหายไปเจ็ดแปดส่วน ท่าทางมองดูแล้วแตกต่างไปจากความงามสดใสในอดีตอย่างสิ้นเชิง
ดวงตาทั้งคู่ของนางไร้ชีวิตชีวา ราวกับซากศพที่เดินได้ ประคับประคองตัวโดยอาศัยปณิธานที่น่าตกตะลึงอย่างเดียวเท่านั้น ยามนี้กำลังห้อตะบึงอย่างโซซัดโซเซ ในมือถือแผ่นหยกหนึ่งแผ่น ในสมองมีเพียงความคิดดุเดือดข้อเดียว
ฝ่าออกไป ส่งข้อความให้สำนัก ช่วย…ป๋ายเสี่ยวฉุน
นางเดินไปทีละก้าว เมื่อใดที่ล้มก็ลุกขึ้นมาใหม่ ต่อให้เสื้อผ้าตลอดร่างฉีกขาดไปไม่น้อย ต่อให้เลือดใกล้จะแห้งเหือด ต่อให้เบื้องหน้าพร่าเลือน แต่นางก็ยังคง…ยืนหยัดทะยานไปเบื้องหน้า
เวลาค่อยๆ ผันผ่าน ตู้หลิงเฟยลืมเลือนอาการบาดเจ็บ ลืมเลือนชีวิตของตัวเองไปนานแล้ว นางไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหน จนกระทั่งก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างทั้งร่างพลันสั่นไหว ความรู้สึกเหมือนผุดออกมาจากน้ำ ในดวงตาที่ไร้แววของนาง ยามนี้มีประกายชีวิตปรากฏขึ้นมาอย่างรุนแรงโดยพลัน
“ออกมาแล้วเหรอ…” ริมฝีปากทั้งคู่ของตู้หลิงเฟยแห้งแตก แผ่นหยกในมือที่จับไว้แน่นยามนี้สั่นไหว แผ่นหยกที่ตลอดครึ่งเดือนมานี้ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว เวลานี้พลันสั่นไหวอย่างรุนแรง ราวกับมีช่องทางที่มองไม่เห็นลอดข้ามผ่านพื้นที่ทั้งหมด เชื่อมโยงนางและสำนักธาราเทพ…เข้าด้วยกัน
“ตระกูลลั่วเฉินก่อกบฏ ศิษย์พี่เฝิงต่อสู้จนตัวตาย ศิษย์พี่โหวเป็นตายไม่รู้ชัด ศิษย์น้องป๋าย…หลอกล่อศัตรูเพื่อช่วยพวกเรา กำลังถูกไล่ฆ่า ศิษย์ตู้หลิงเฟย ขอสำนัก…รีบมาช่วยเหลือโดยด่วน” หลังจากตู้หลิงเฟยส่งเสียงออกไป ร่างทั้งร่างก็อ่อนเปลี้ยลงไปนั่งอยู่กับพื้น หันกลับไปมองยังฟ้าดินเบื้องหลัง หยาดน้ำตาไหลริน
นางลืมภาพป๋ายเสี่ยวฉุนที่กลับมาช่วยพร้อมความห้าวหาญไม่ลง ลืมความเศร้าอาดูรคลุกเคล้าไปด้วยความฮึกเหิมของป๋ายเสี่ยวฉุนขณะที่ล่อคนตระกูลลั่วเฉินออกไปไม่ได้ และก็ลืมทุกๆ เรื่องราวตลอดทางที่ผ่านมาไม่ได้
“ศิษย์น้องป๋าย ศิษย์พี่โหว…จงมีชีวิตอยู่ต่อไป…” ตู้หลิงเฟยร้องไห้ น้ำตาร่วงไหลลงมาไม่หยุด ประคับคองตนไม่ไหว หมดสติลงไป
แทบจะวินาทีที่ตู้หลิงเฟยส่งข้อความไปยังสำนัก ในสำนักธาราเทพ หอภารกิจของเขาเซียงอวิ๋นทางชายฝั่งทิศใต้เวลานี้กำลังคึกคักผิดปกติ ลูกศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อยเดินทางไปมา ในจุดลึกของหอเรือนแห่งนี้ ชายวัยกลางคนในชุดนักพรตผู้หนึ่งกำลังจัดระเบียบภารกิจในสำนัก เบื้องหน้าเขามีแผ่นหยกหลายพันแผ่นวางเอาไว้ ลูกศิษย์คนใดก็ตามที่รับภารกิจไปทำ แผ่นหยกของที่นี่จะทำการบันทึกเอาไว้ตลอดเวลา
ทันใดนั้น แผ่นหยกหนึ่งในนั้นเปล่งแสงวาบ ชายวัยกลางคนกวักมือด้วยสีหน้าเป็นปกติ แผ่นหยกลอยมา แต่หลังจากที่เขากวาดพลังจิตผ่านก็พลันเบิกตากว้าง ลุกขึ้นยืนพรวด
“ตระกูลลั่วเฉินก่อกบฏ!!” เขาหายใจถี่กระชั้น นี่เป็นเรื่องใหญ่เกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ เขาก็จำต้องรายงานต่อเบื้องบนทันที เรื่องแบบนี้หากมีคนกล้าปิดบังเอาไว้ย่อมมีโทษมหันต์ถึงชีวิต ชายวัยกลางคนไม่กล้าชักช้า รีบหยิบแผ่นหยกสีม่วงแผ่นหนึ่งออกมาจากร่าง ส่งข้อความออกไปทันที
รายงานฉบับนี้ส่งตรงมาถึงศาลาพิพากษ์ แม้เฉียนต้าจินจะเป็นคนของศาลาพิพากษ์ แต่ตำแหน่งเขาต่ำต้อย เรื่องเช่นนี้จึงไกลเกินกว่าที่เขาจะมีสิทธิ์แตะต้อง หลังจากที่ศาลาพิพากษ์ได้รับรายงานฉบับนี้ก็ลงมือค้นหาข้อมูลทันที ศาลาพิพากษ์ที่เป็นส่วนพิทักษ์สำนักธาราเทพ ในเวลานี้ได้ระเบิดฝีมือที่น่าตกตะลึงออกมา
เวลาเพียงแค่หนึ่งก้านธูปก็ยืนยันได้ว่ารายงานนี้เป็นเรื่องจริง
ไม่นาน ตลอดทั้งชายฝั่งทิศใต้มีเสียงลั่นกลองรบดังออกมาให้ได้ยิน สะท้อนก้องไปทั่วทิศ ลูกศิษย์ทุกคนของชายฝั่งทิศใต้อึ้งกันไปครู่หนึ่ง ลูกศิษย์ฝ่ายนอกพวกนั้นไม่รู้ว่ากลองรบนี้หมายความว่าอะไร แต่ลูกศิษย์ฝ่ายในของภูเขาทั้งสามลูกทางชายฝั่งทิศใต้ ไม่ว่าใครก็ตาม วินาทีที่ได้ยินเสียงกลองรบนี้พลันหน้าถอดสี เงยหน้าขึ้นทันควัน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“กลองรบดัง ไม่เห็นเลือด ไม่ดับตระกูล ธาราเทพไม่กลับ!! สวรรค์…”
ขณะที่ทุกคนล้วนพากันหวาดผวาอยู่นั้น พลันน้ำเสียงแก่ชราแต่กลับน่าครั่นคร้ามก็ดังลอยไปทั่วชายฝั่งทิศใต้ของสำนักธาราเทพ
“ข้าคือโอวหยางเจี๋ยแห่งศาลาพิพากษ์ ลูกศิษย์ฝ่ายในของสามเขาแห่งชายฝั่งทิศใต้ทุกคนจงยกเลิกภารกิจ ยกเลิกกิจกรรม ยกเลิกการปิดด่านทั้งหมด ออกไปรวมตัวกันหน้าประตูใหญ่ภายในยี่สิบลมหายใจ!
ห้ามล่าช้า!”
หลังจากเสียงลอยออกไป ลูกศิษย์ฝ่ายในทุกคนของเขาชิงเฟิง เขาเซียงอวิ๋น เขาจื่อติ่ง ไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทั้งหมดล้วนร่างกายสั่นไหว แต่ละคนพุ่งพรวดออกไปอย่างรวดเร็วไร้ซึ่งความลังเล
แม้ว่าจะมีเรื่องใหญ่อีกแค่ไหน เวลานี้ก็ไม่กล้าล่าช้าแม้แต่นิด เพราะชื่อโอวหยางเจี๋ยนี้คือตัวแทนของผู้อาวุโสแห่งศาลาพิพากษ์ ขณะเดียวกันก็เป็นตัวแทนของ…ความใจไม้ไส้ระกำ!
เขายังมีอีกสมญานามหนึ่งว่านักพรตหมาใน ยามใดที่เขาปรากฏตัว ย่อมแสดงว่าเกิดเรื่องที่ทำให้สำนักโกรธมาก จำเป็นต้อง…ฆ่าคน จำเป็นต้อง…ดับตระกูล!
ตูมๆๆ เงาร่างจำนวนนับไม่ถ้วนคำรามออกไป ตรงดิ่งไปยังประตูใหญ่ เมื่อมองไปยังภูเขาทั้งสามแห่งของชายฝั่งทิศใต้ จำนวนของลูกศิษย์ฝ่ายในมีมากพอหนึ่งถึงสองพันคน คนเหล่านี้วันธรรมดาจะเห็นเพียงไม่กี่คน แต่วันนี้หลังจากปรากฏตัวทั้งหมด ทำให้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกต่างพากันตกตะลึง
ยิ่งกว่านั้นยังมีลูกศิษย์ของศาลาพิพากษ์ที่สวมชุดคลุมยาวสีดำอีกกลุ่มหนึ่ง นับคร่าวๆ มีหลายร้อยคนที่พุ่งออกมาเป็นกลุ่มแรก ผู้นำคือผู้เฒ่าคนหนึ่ง ผู้เฒ่าคนนี้ผมแดงปลิวไสว ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยไอสังหาร เขาก็คือโอวหยางเจี๋ย
ยามนี้รอบๆ ประตูใหญ่มีคนมากถึงสองพันกว่าคน แต่ละคนล้วนสีหน้าเคร่งขรึม
“ตระกูลลั่วเฉินก่อกบฏ ท่านเจ้าสำนักมีคำสั่งลงมาว่า คนตระกูลนี้…ห้ามเหลือแม้แต่หมาหรือไก่ สังหารให้สิ้น ขอจ่งเต้าโปรดนำส่ง!” โอวหยางเจี๋ยสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง บนเทือกเขาจ่งเต้าที่อยู่ตรงกลางของสำนักธาราเทพพลันสั่นไหว ระเบิดเป็นลำแสงหนึ่งออกมา
ลำแสงนี้กลายร่างเป็นขบวนลำเลียงขนาดมหึมาที่เยื้องกรายมาถึงทันที ปกคลุมไปทั่วลูกศิษย์สองพันกว่าคนที่อยู่หน้าประตู เสียงครืนครันดังลั่น เริ่มการนำส่งโดยพลัน
ลูกศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนของชายฝั่งทิศใต้ยามนี้ล้วนสูดหายใจ มองเห็นภาพเหล่านี้ ในใจของพวกเขามีความภาคภูมิใจรวมไปถึงความเห็นพ้องต้องกันกับสำนักเพิ่มขึ้นสูงอย่างรุนแรง
ตระกูลลั่วเฉินเมื่อเทียบกับสำนักธาราเทพแล้วก็เป็นเพียงแค่ตระกูลเล็กๆ ตระกูลหนึ่งเท่านั้น มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานรากแค่คนเดียว แต่ตอนนี้สำนักธาราเทพกลับเคลื่อนพลสองพันกว่าคนเพื่อศิษย์ฝ่ายนอกไม่กี่คนเท่านั้น อีกทั้งโอวหยางเจี๋ยผู้ห้าวหาญยังปรากฏตัว นี่เห็นได้ชัดว่า…เป็นการเข้าสยบด้วยพลานุภาพ!
สยบตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ใต้ขอบเขตของสำนักธาราเทพทั้งหมด นี่ไม่ได้เรียกว่าใช้มีดฆ่าวัวเชือดไก่[1] แต่เรียกว่าเชือดไก่จำเป็นต้องใช้มีดฆ่าวัว!
และสำนักที่เคลื่อนกำลังพลอย่างไม่เสียดายการสูญเสียเพื่อลูกศิษย์ฝ่ายนอกเช่นนี้ สำหรับลูกศิษย์ทุกคนแล้ว ความรู้สึกเห็นพ้องต้องกันเช่นนั้นจึงรุนแรงเพิ่มถึงจุดสูงสุด
สำนักธาราเทพมั่นคงมานับหมื่นปี จากสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่งค่อยๆ ขยับขยายมาจนถึงทุกวันนี้ ย่อมมีจุดที่น่าตกตะลึงอย่างแน่นอน!
และเวลานั้นเอง ทันใดนั้นในตำหนักใหญ่บนยอดเขาเซียงอวิ๋น หลี่ชิงโหวสีหน้าเขียวคล้ำ ร่างพุ่งออกไปเสียงดังสนั่น ความดุร้ายมหาศาลพลันระเบิดออกมาจากร่างเขาในพริบตานั้น กลายเป็นลมพัดกระหน่ำบ้าคลั่งดังลั่นไปทั่วสี่ทิศ พุ่งตรงไปยังค่ายกลทันที
———
[1] ใช้มีดฆ่าวัวเชือดไก่ หมายถึง ลงทุนลงแรงไปมากเพื่อทำเรื่องเล็กๆ