Skip to content

A Will Eternal 64

บทที่ 64 จิตวิญญาณและพิธีศพ

“แยกกันออกไปตามหาป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มกำลัง ผู้ที่หาเจอ ข้าจะมอบคะแนนคุณความดีให้เป็นรางวัล ระหว่างทางหากพบคนตระกูลลั่วเฉินจงสังหารให้สิ้น!” โอวหยางเจี๋ยดึงสายตาที่มองแผ่นหลังหลี่ชิงโหวกลับมา เอ่ยปากสั่งความเนิบช้า ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่รอบด้านกระจายกันออกไปทำหน้าที่ทันที

ในรัศมีหมื่นลี้ คนสองพันกว่าคนพากันค้นหาติดต่อกันนานถึงหนึ่งเดือน

ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ ในรัศมีหมื่นลี้แทบจะถูกค้นหาหมดแล้วหนึ่งรอบ น่าเสียที่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังหาป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เจอ แต่ตลอดทางกลับพบศพคนตระกูลลั่วเฉินที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนฆ่า ยิ่งเจอศพมากขึ้น ในใจของลูกศิษย์ฝ่ายในยิ่งสั่นสะท้านมากขึ้นเรื่อยๆ

คนตระกูลลั่วเฉินเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วล้วนตายในการโจมตีเดียว นี่ทำให้ทุกคนยากจะนึกภาพออกว่า ลูกศิษย์ฝ่ายนอกผู้มีพลังรวมลมปราณขั้นหกคนหนึ่งทำถึงขนาดนี้ได้อย่างไร

เฉียนต้าจินเองก็สูดลมหายใจติดๆ กัน เขาพลันรู้สึกขึ้นมาว่าป๋ายเสี่ยวฉุนตายไปนั่นแหละดีแล้ว มิเช่นนั้นล่ะก็ ผู้ที่ฝีมือร้ายกาจเช่นนี้ เกรงว่าตนเองก็คงจะไม่อาจต่อกรด้วยได้ อีกอย่างพอเขาได้เห็นความโกรธแค้นของหลี่ชิงโหว ในใจก็กระวนกระวายถึงขีดสุด โอดครวญอยู่กับตัวเองในใจ

‘แม่งเอ๊ย เจ้ามีเบื้องหลังยิ่งใหญ่ขนาดนี้ก็บอกกันแต่แรกสิ หากเจ้าบอกก่อน ข้าก็ไม่หาเรื่องเจ้าหรอก!’

โดยเฉพาะในผืนป่าของเทือกเขาไร้นามนั้น พวกเขามองเห็นศพของคนตระกูลลั่วเฉินที่มีพลังรวมลมปราณขั้นแปดสามคม ได้เห็นความเหี้ยมโหดที่นั่น ในสมองก็ปรากฏภาพเหตุการณ์ลอยขึ้นมา จิตใจแต่ละคนล้วนสั่นสะท้านรุนแรง

ค้นหากันมาแล้วหนึ่งเดือน ไม่นานทุกคนก็เข้าใจว่าป๋ายเสี่ยวฉุน…น่าจะตายไปแล้ว สถานที่ตายก็คือผืนป่าของเทือกเขาไร้นามแห่งนี้ สถานที่แห่งนี้มีสัตว์ร้ายอยู่ไม่น้อย มีวิธีมากมายเหลือเกินที่จะทำให้คนอื่นๆ ไม่พบศพของคนที่ตายไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขารับรู้จากปากของคนตระกูลลั่วเฉินสองคนที่ก่อนหน้านี้เฉินเหิงส่งตัวออกไปว่า ผู้ที่ไล่ฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุน มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเป็นนายน้อยของตระกูลซึ่งมีตบะรวมลมปราณขั้นเก้า พวกเขาจึงตระหนักได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุน…ตายไปแล้วจริงๆ

หนึ่งเดือนต่อมา ทุกคนยุติการค้นหา เดินทางกลับสำนัก โหวอวิ๋นเฟยถูกหาตัวจนพบ แม้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะสาหัส แต่เมื่ออยู่ภายใต้การรักษาอย่างเต็มกำลังจากทางสำนักจึงไม่เป็นอะไรมาก

ครั้งนี้เขาและตู้หลิงเฟยได้สร้างคุณูปการให้กับทางสำนักอยู่ไม่น้อย แต่ใจของพวกเขากลับไม่มีความดีใจแม้แต่นิด มีเพียงความเศร้าอาดูร มีเพียงการหวนรำลึก

พวกเขาสองคนล้วนไม่อยากกลับไป แต่อาการบาดเจ็บหนักหนานัก จึงถูกพากลับสำนักไป หลี่ชิงโหวอยู่ต่อเพียงลำพัง เขาค้นหาอยู่ในผืนป่าของเทือกเขาไร้นามแห่งนี้อีกสองเดือนเต็ม นอกจากบางพื้นที่ที่แม้แต่เขาก็ไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้ เขาก็แทบจะเดินไปทั่วเทือกเขาแห่งนี้แล้ว แต่ที่น่าแปลกก็คือกลับยังหาป๋ายเสี่ยวฉุนที่เห็นได้ชัดว่าต้องอยู่ในผืนป่าแห่งนี้ไม่เจอ เหมือนว่ามองดูแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนกับผืนป่าแห่งนี้น่าจะอยู่ด้วยกัน แต่เอาเข้าจริงกลับเหมือนอยู่คนละโลก

เพื่อค้นหาให้ถ้วนทั่ว เขายังถึงขั้นประมือกับสัตว์ร้ายแข็งแกร่งมากมายในเทือกเขาแห่งนี้ด้วยซ้ำ ตัวเองก็บาดเจ็บเช่นกัน จนกระทั่งสองเดือนให้หลัง เขามองไปที่ต้นไม้ใหญ่ด้วยความขมขื่น บนต้นไม้นั้นมีเลือดสดแห้งกรัง มีชิ้นส่วนเสื้อผ้าอยู่หนึ่งชิ้น

“หากข้าไม่ได้พาเจ้าขึ้นเขา…” หลี่ชิงโหวหลับตา ในสมองมีภาพท่าทางกลัวตายท่ามกลางเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าของป๋ายเสี่ยวฉุนตอนอยู่บนเขาเม่าเอ๋อร์ลอยขึ้นมา หวนนึกถึงตอนที่อีกฝ่ายกรีดร้องโหยหวนยามถูกตนเองหิ้วเดินเข้าไปในหุบเขาหมื่นอสรพิษ นึกถึงการประลองเล็กของสำนัก และยังมีภาพแต่ละภาพของป้ายศิลาทั้งสิบนั่นอีก

ท่ามกลางความเงียบงัน เขาถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง ร่างทั้งร่างดูเหมือนแก่ชราลงไปอีกไม่น้อย เก็บเอาชิ้นส่วนเสื้อผ้านั้นขึ้นมา ตลอดทางมานี้เขาเจอเศษเสื้อผ้าเปื้อนเลือดเช่นนี้มาแล้วเจ็ดแปดชิ้น

สุดท้ายหลี่ชิงโหวก็เดินออกไปจากผืนป่าเงียบๆ กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวบินห่างออกไปไกล

การก่อกบฏของตระกูลลั่วเฉินในครั้งนี้จบลงเพียงเท่านี้ สำนักธาราเทพใช้วิธีอันรวดเร็วทำลายล้างกบฏโดยตรง เรื่องนี้โด่งดังไปทั่วสี่ทิศ ทำให้สำนักและตระกูลต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ซึ่งครอบครองสี่เกาะใหญ่อันเป็นพื้นที่ทางทิศตะวันออกตอนล่างของแม่น้ำทงเทียนล้วนทราบเรื่องนี้ สำหรับสำนักธาราเทพที่ครอบครองเกาะตงหลิน เป็นหนึ่งในสี่สำนักใหญ่แห่งโลกการบำเพ็ญเพียรทางทิศตะวันออกตอนล่าง ก็ยิ่งเป็นเรื่องสะท้านสะเทือน

และสาเหตุที่ทำให้ตระกูลลั่วเฉินก่อกบฏ เมื่อสำนักธาราเทพสืบสาวราวเรื่องก็เจอเบาะแสมากมาย ตราประทับในสายเลือดเป็นเพียงข้อหนึ่งเท่านั้น ยังมีสาเหตุเบื้องหลังที่ลึกล้ำยิ่งกว่า เบาะแสเหล่านี้เมื่อมารวมเข้าด้วยกันก็เกี่ยวพันกับเรื่องที่ยิ่งใหญ่นัก แม้แต่สำนักธาราเทพก็ยังตื่นตะลึง

หากสำนักธาราเทพยับยั้งเรื่องนี้ไม่ทันการณ์ เช่นนั้นก็คงส่งผลกระทบร้ายแรงต่อส่วนรวม หากตระกูลลั่วเฉินทำสำเร็จ พอตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดที่อยู่ในขอบเขตของสำนักธาราเทพได้ยินข่าวลือก็คงมีการเคลื่อนไหว พากันก่อกบฏ หากเวลานี้มีศัตรูตัวฉกาจเข้ารุกราน เช่นนั้นก็จะก่อให้เกิดผลร้ายที่ไม่อาจย้อนกลับ หรืออาจถึงขั้นสั่นคลอนไปทั้งสำนักได้

ดังนั้นผลงานของพวกตู้หลิงเฟยสามคนจึงสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเวลาเช่นนี้ โดยเฉพาะทางฝ่ายของป๋ายเสี่ยวฉุน หากไม่ได้เขาเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อรักษาคุณธรรม ก็คงยากที่จะส่งข่าวมาบอกได้ทันเวลา

โดยเฉพาะในขณะที่เกิดเรื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ทิ้งเพื่อนร่วมสำนักหนีเอาตัวรอดเพียงลำพัง แต่เลือกหลอกล่อศัตรูไปอีกทางเพื่อช่วยสหายเอาไว้ เรื่องนี้ทำให้ทุกคนซาบซึ้งใจ ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร คนเห็นแก่ตัวมีอยู่มากมาย คนอย่างป๋ายเสี่ยวฉุนมีอยู่น้อยมากแล้ว การสูญเสียลูกศิษย์เช่นนี้ไป ทำให้ผู้อาวุโสของสำนักทุกคนรวมไปถึงเจ้าสำนักเองล้วนเจ็บปวดใจและเสียดายยิ่ง

เบื้องหลังเหตุการณ์นี้เกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่เกินไป หลังจากหาเบาะแสอีกมากมายเจอ สำนักธาราเทพก็เงียบงันกันไป เนื่องจากสาเหตุบางประการทำให้พวกเขาไม่ได้สืบสาวราวเรื่องต่อ แต่นักพรตขั้นสร้างฐานรากของทั้งสำนัก แต่ละคนกลับระวังตัวกันมากขึ้น

ราวกับว่า…เหตุร้ายกำลังจะมาเยือน

ผู้นำทั้งเจ็ดคนของชายฝั่งทั้งเหนือใต้ แม้แต่เจ้าสำนัก รวมไปถึงผู้อาวุโสมากมาย หลังจากร่วมกันปรึกษาหารือมาเป็นเวลาหลายวัน พวกเขาก็ได้ข้อสรุปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ตู้หลิงเฟย โหวอวิ๋นเฟย ยังมีเฝิงเหยียนที่เสียชีวิตไปได้สร้างคุณงามความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งป๋ายเสี่ยวฉุน…ครั้งนี้เขาสร้างความดีความชอบอย่างใหญ่หลวง!

“ก่อนเหตุร้ายจะมาเยือน สิ่งที่จำเป็นอย่างมาก…คือจิตวิญญาณที่ดำรงอยู่ นั่นคือจิตวิญญาณที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนตลอดหมื่นปีของสำนักธาราเทพเรา ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ชีวิตแลกมาด้วยคุณงามความดีใหญ่หลวงเช่นนี้ พวกข้าถือเป็นบุญคุณลึกล้ำสุดประมาณ จึงคิดจัดพิธีศพให้แก่เขา ผู้ใดก็ตามที่อุทิศตนเพื่อสำนัก สำนักไม่มีวันลืม!” นี่คือประโยคสุดท้ายที่เจ้าสำนักธาราเทพอย่างเจิ้งหย่วนตงพูดออกมา

วันต่อๆ มา สำหรับสาเหตุเบื้องหลังที่ตระกูลลั่วเฉินก่อกบฏ แม้ว่าสำนักธาราเทพจะไม่ได้สืบสาวราวเรื่องต่อ แต่ในสำนักกลับถือโอกาสนี้ ป่าวประกาศถึงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยอมสละชีวิตเพื่อสหาย รักษาคุณธรรมของสำนักออกไปอย่างเต็มความสามารถ

เรื่องราวของเขาถูกสำนักเอามาเปิดเผย ทำให้ลูกศิษย์ทุกยอดเขาทั้งสองชายฝั่งเหนือใต้ล้วนรู้จักป๋ายเสี่ยวฉุน รู้เรื่องราวทั้งหมดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทำเพื่อช่วยเพื่อนร่วมสำนักเอาไว้

ขณะเดียวกัน ทางสำนักก็ไม่ได้เพิกเฉยต่อลูกศิษย์ที่มีไมตรีมีคุณธรรมเช่นนี้เช่นกัน เห็นๆ กันอยู่ว่าลำพังหลี่ชิงโหวคนเดียวก็สามารถล้างบางตระกูลได้ แต่สำนักกลับเคลื่อนพลลูกศิษย์ฝ่ายในถึงสองพันกว่าคน อานุภาพเกรียงไกร ใช้มีดฆ่าวัวมาเชือดไก่

เรื่องนี้ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนในสำนักล้วนจดจำชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนนี้เอาไว้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกซาบซึ้งเกินจะเปรียบ แม้ว่าในนี้จะมีความจงใจที่สำนักก่อขึ้นมา แต่ความจงใจประเภทนี้…ลูกศิษย์ทุกคนล้วนปรารถนาให้มีอยู่

นี่คือประเพณีที่สืบทอดกันมาของสำนักธาราเทพ ประเพณีที่ไม่เคยเปลี่ยนตลอดหมื่นปี!

ผู้ใดที่ทำร้ายลูกศิษย์ข้า ไม่สนว่าต้องสูญเสียเท่าใด แม้หนทางห่างไกลก็ต้องไปสังหาร!

ลูกศิษย์คนใดก็ตามของสำนักธาราเทพ เมื่อออกไปปฏิบัติภารกิจภายนอก เขาไม่ได้ไปเพียงลำพัง ขอแค่สำนักธาราเทพยังคงอยู่ เช่นนั้นสำนักก็จะคอยเป็นเกราะป้องกันอยู่เบื้องหลังเขาตลอดกาล

และนี่ก็กลายมาเป็นความรู้สึกเห็นพ้องต้องกันที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนยินดีจะมอบทุกอย่างเพื่อตอบแทนสำนัก รวมไปถึงชีวิตของตัวเอง เพื่อปกป้องสำนัก ปกป้องบ้านของตัวเอง

นี่ก็คือสำนักธาราเทพ…สำนักเล็กจ้อยที่เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนมีเพียงคนไม่กี่สิบคน

สำหรับความเป็นความตายของป๋ายเสี่ยวฉุน แม้แต่เจ้าสำนักเองก็ยังออกหน้าเชิญผู้อาวุโสไท่ซ่างคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญการทำนายเจตนารมณ์ฟ้าดิน ให้ไปร่ายคาถาฟ้าดินด้วยตัวเอง แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจพบร่องรอยว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ สัมผัสได้แค่เพียงไอความตายอบอวล ถึงได้แน่ใจว่าป๋ายเสี่ยวฉุน…สิ้นชีพจากการต่อสู้เพื่อสำนักไปแล้ว

หลายวันต่อมา ช่วงเช้าตรู่ท้องฟ้ามีเมฆฝนครึ้มทะมึนติดต่อกันไม่ขาดสาย เสียงระฆังที่แฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าอาดูรดังสะท้อนไปทั่วสำนักธาราเทพ ลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนสวมชุดคลุมยาวสีดำ พากันเดินออกจากที่พักของตนเองเงียบๆ สีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว ไม่นานก็ค่อยๆ มารวมตัวกันที่ช่วงกลางของภูเขาเซียงอวิ๋น

ที่นั่นมีป้ายหลุมศพอยู่ป้ายหนึ่ง ด้านบนมีรูปภาพของป๋ายเสี่ยวฉุน ในรูปเขาแย้มยิ้มเบิกบานยิ่งนัก

จางต้าพั่งยืนเหม่ออยู่ในกลุ่มคน มองดูคนมากมายที่มารวมตัวกัน และมองไปบนป้ายหลุมศพที่เขียนชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้อีกครั้ง น้ำฝนตกกระทบลงบนร่างของเขาจนเสื้อผ้าเปียกปอน เขาร้องไห้ เขาคิดถึงภาพแต่ละภาพระหว่างเขาและป๋ายเสี่ยวฉุน คิดถึงตอนที่ขโมยกินของวิเศษด้วยกัน หัวเราะร่าเสียงดังด้วยกัน ไปขายรายชื่อของศิษย์ฝ่ายนอกด้วยกัน ไปขโมยไก่ด้วยกัน…

“จิ่วพั่ง…” สีหน้าจางต้าพั่งเต็มไปด้วยความคิดอันเศร้าโศก ในใจโหวงเหวง ความรู้สึกเสียใจเช่นนั้น ราวกับโลกทั้งโลกดับมืดลงไป

ศิษย์พี่อ้วนคนอื่นๆ ของฝ่ายครัวไฟ รวมไปถึงเฮยซานพั่งที่อยู่ในกลุ่มคน แต่ละคนล้วนเศร้าโศกเสียใจ น้ำตาไหลไม่หยุด

ยังมีสวีเป่าไฉ เฉินจื่ออ๋าง จ้าวอี้ตัว และผู้เฒ่าสวี ผู้เฒ่าโจว ทุกคนที่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนหลังจากที่เขาขึ้นเขามา ล้วนอยู่ในกลุ่มคนพร้อมด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

โจวซินฉีก็มาด้วยเช่นกัน นางมองไปยังป้ายหลุมศพเงียบๆ หลังจากที่นางได้ยินเรื่องราวของป๋ายเสี่ยวฉุน สิ่งแรกที่คิดถึงก็คือความกระตือรือร้นของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ช่วยป้องกันไก่หางวิเศษในปีนั้น

โหวอวิ๋นเฟยยืนอยู่ในกลุ่มคนด้วยการประคองจากโหวเสี่ยวเม่ย หมัดของเขากำเข้าหากันแน่น ร่างกายของเขาสั่นไหว สีหน้อาดูรด้วยความเจ็บปวด

“ศิษย์น้องป๋าย…” โหวอวิ๋นเฟยยิ้มขมขื่น หลังจากที่เขากลับมายังสำนัก ผ่านพ้นแต่ละวันไปได้ด้วยการร่ำสุรา มิอาจลืมเลือนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนตอนที่ล่อศัตรูตัวฉกาจออกไป

รอบด้านมีคนมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานช่วงกลางของภูเขาเซียงอวิ๋นแห่งนี้ก็แน่นขนัดไปด้วยลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วน แต่ละคนล้วนมองไปยังป้ายหลุมศพด้วยความเงียบงัน

ตู้หลิงเฟยอยู่ด้านหน้า สีหน้าซีดขาว น้ำฝนตกกระทบลงบนใบหน้าของนาง แยกไม่ออกว่าเป็นน้ำฝนหรือน้ำตา สีหน้าของนางถึงขั้นเลื่อนลอยด้วยซ้ำ ใบหน้าที่เดิมทีงดงามอยู่แล้ว ยามนี้ก็ยิ่งเป็นความงามที่แฝงไปด้วยความเศร้าอาดูร

“ทั้งๆ ที่เจ้าสามารถมีชีวิตรอดไปได้… ข้ามีชีวิตอยู่ต่อ แต่เจ้ากลับจากไปแล้ว…”

ตู้หลิงเฟยเศร้าระทม หลายวันมานี้ร่างทั้งร่างของนางหม่นหมองไปหมด ในฝันทุกครั้งของนางล้วนมีร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ย้อนกลับมาช่วยด้วยความห้าวหาญ และภาพที่เขาหมุนตัวจากไป แต่ละภาพเหล่านั้นทำให้ใจของตู้หลิงเฟยราวถูกมีดกรีด น้ำตายิ่งไหลริน

เสียงระฆังแห่งความโศกเศร้าดังต่อเนื่องเนิ่นนาน ขณะที่เสียงระฆังนี้ดังสะท้อน มีรุ้งเส้นยาวจำนวนมากค่อยๆ บินมาจากที่ไกลๆ ผู้นำของเจ็ดยอดเขา ผู้เฒ่าทุกคนของสำนักธาราเทพ รวมไปถึงเจ้าสำนักล้วนสวมชุดคลุมยาวสีดำ ปรากฏตัวอยู่ข้างป้ายหลุมศพ แต่ละคนล้วนมองไปยังป้ายนั้นด้วยสีหน้าเศร้าโศกไว้อาลัย

ใจของหลี่ชิงโหวขมฝาด โทษตัวเองอยู่ลึกๆ

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของเขาเซียงอวิ๋นสำนักธาราเทพ ลำแสงอรุณแก่กล้าแห่งวิถีโอสถ ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจแห่งเส้นทางนักพรต ท่ามกลางการต่อสู้กับตระกูลลั่วเฉิน ได้ไล่ฆ่ากบฏลั่วเฉินมากมาย เสียสละตัวเพื่อสหาย รักษาคุณธรรมเพื่อสำนัก คุณความดีที่เขาอุทิศชีวิตเพื่อสำนักเป็นหนึ่งไม่มีสอง ลูกศิษย์ทุกคนแห่งสำนักธาราเทพ จะจดจำเรื่องนี้ชั่วชีวิต มิลืมเลือน!” เจ้าสำนักเอ่ยปากเนิบช้า เสียงดังไปทั่วสี่ทิศ

น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความเศร้า เมื่อเปล่งออกไป ตู้หลิงเฟยก็ควบคุมเสียงร้องไห้ไม่อยู่อีกต่อไป น้ำตาไหลพรากมากขึ้น โหวอวิ๋นเฟย จางต้าพั่ง และคนจำนวนนับไม่ถ้วน ยามนี้ล้วนน้ำตาไหลริน

“วันนี้ข้าขอแต่งตั้งให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติแห่งสำนักธาราเทพ!” เสียงของเจ้าสำนักดังก้องอีกครั้ง ใจของลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่รอบด้านล้วนสะท้านไหว คำว่าลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรตินี้สั่นคลอนจิตใจทุกคน

ศิษย์ผู้ทรงเกียรติคือเกียรติยศอันสูงสุดเกินสิ่งใดจะเปรียบของสำนักธาราเทพ เป็นฉายาที่ตั้งขึ้นมาเป็นพิเศษโดยเฉพาะ ตำแหน่งสูงส่งเกินกว่าฝ่ายใน เทียบเคียงกับลำดับของผู้สืบทอด สำหรับผู้ตาย คือเกียรติยศสูงสุด สำหรับผู้ที่มีชีวิตอยู่ คือผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุด

ก่อนหน้านี้ตลอดหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา สำนักธาราเทพมีผู้ที่ได้รับสมญานามว่าศิษย์ผู้ทรงเกียรติทั้งหมดเก้าคน ทุกคนล้วนถูกแต่งตั้งหลังจากสิ้นชีพในการต่อสู้ สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ให้แก่สำนัก ถึงตอนนี้ปรากฏขึ้นเป็นคนที่สิบ

ไม่มีใครรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสม ทั้งหมดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนแลกมาด้วยชีวิต

“หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าสำนักมาจนกระทั่งสละชีพ ก็ยังไม่มีอาจารย์ของตนเอง เด็กที่ใช้ชีวิตแลกมาด้วยคุณความชอบใหญ่หลวงแก่สำนักผู้นี้ ข้าตัดสินใจว่าจะไม่ยอมให้เขาเดียวดายเพียงลำพังในโลกแห่งความมืดมิด วันนี้ข้าขอเป็นตัวแทนท่านอาจารย์หลิงหลัวที่เสียไป รับป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าเป็นศิษย์ ให้เขาแสวงหาเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรต่อไปได้ในโลกแห่งความมืดมิด” ขณะที่เจ้าสำนักเอ่ยปากด้วยความเจ็บปวด หลี่ชิงโหวพยักหน้าเบาๆ มองไปยังป้ายหลุมศพ ดวงตาของเขาเผยแววเศร้าโศก

“ทุกคน…ยืนไว้อาลัย!” เจ้าสำนักหลับตาลง ก้มหัวช้าๆ ต่อป้ายหลุมศพ ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่รอบด้าน เวลานี้ล้วนพากันก้มหน้าลงต่ำ

ผ่านไปหลายชั่วลมหายใจ เมื่อการยืนไว้อาลัยสิ้นสุดลง ตู้หลิงเฟยหวนไห้ไม่เป็นเสียง

ขณะเดียวกันกับที่ทุกคนยืนไว้อาลัยนั้นเอง ในผืนป่าของเทือกเขาไร้นามแห่งนั้น ขนตาของป๋ายเสี่ยวฉุนขยับยุกยิก ดวงตาค่อยๆ เปิดขึ้นมา และจามหนึ่งที

———

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!