Skip to content

A Will Eternal 71

บทที่ 71 หน่ออ่อนผู้ทรงเกียรติที่มีชีวิต

สำหรับการหลอมพลังจิต เพราะมีหม้อกระดองเต่าป๋ายเสี่ยวฉุนจึงยิ่งให้ความสนใจ เขารู้นานแล้วว่าบนเขาจื่อติ่งของสำนักมีผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานรากคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญการหลอมพลังจิตอยู่

ในสำนักก็มีลูกศิษย์ไปหาเขา หลังจากรวบรวมคะแนนคุณความดีได้จำนวนหนึ่งแล้วจึงเอาไปให้ท่านผู้อาวุโสช่วย ครั้งสองครั้งยังดี หากเกินสองครั้ง อัตราความสำเร็จก็จะลดลงไป

มองเห็นว่าอาวุธวิเศษสองชิ้นนี้ผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วสามครั้ง จึงช่วยประหยัดไฟสามสีของป๋ายเสี่ยวฉุนไปได้ อีกอย่างก็ไม่ต้องคอยปกปิดมากเกินไป สามารถเอาออกมาใช้ต่อหน้าผู้คนได้เต็มที่

กลับมาถึงเขาเซียงอวิ๋น ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบฝึกฝนกระบี่วิหคทองและโล่กระสาเทพให้ชินมือ โดยเฉพาะกระบี่วิหคทองนั่น ภายใต้การหลอมรวมพลังวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุน แปบเดียวอุณหภูมิสูงร้อนแรงก็แผ่กระจายออกมา

“นี่สิที่เรียกว่าของล้ำค่า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ทำมุทราชี้ไปข้างหน้า เสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังลอยมา กระบี่วิหคทองกลายร่างเป็นเส้นสีทอง พริบตาเดียวก็พุ่งห่างไปไกล ตลอดทางก็ยิ่งแผ่ไอร้อนเผาไหม้ ทำให้รอบด้านเกิดคลื่นบิดเบี้ยวโยงใยเป็นพวง

ป๋ายเสี่ยวฉุนทำมุทราอีกครั้ง พลังวิญญาณจำนวนมากในร่างกายไหลทะลัก กระบี่วิหคทองเล่มนั้นพลันขยายขนาดขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว ค่อยๆ เริ่มกลายร่างเป็นวิหคสุริยาตัวหนึ่ง

วิหคตัวนี้รูปร่างเลือนราง แม้ว่าจะมีเพียงเค้าโครง แต่พลานุภาพคุกคามเข้มข้นพลันแผ่ซ่านออกมา ทำให้อุณหภูมิรอบด้านพุ่งขึ้นสูงยิ่งกว่าเดิมในชั่วพริบตา อีกทั้งภายใต้พลานุภาพนี้ แม้แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังรู้สึกจิตใจสะท้านไหว

ลมหายใจของเขาถี่ระรัว จ้องเขม็งไปยังกระบี่วิหคทอง ประกายในตายิ่งสว่างไสว พอถึงท้ายที่สุดก็ดีใจจนหัวเราะร่าขึ้นมา

“กระบี่เล่มนี้ดีกว่ากระบี่ไม้ของข้าเยอะเลย มีอาจารย์นี่ดีจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนทะยานขึ้นไปเหยียบอยู่บนวิหคสุริยามายาตัวนั้น

วิหคสุริยาตัวนี้แม้ว่าจะพร่าเลือน แต่พอป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นไปเหยียบก็เหมือนเหยียบอยู่บนพื้นดิน โดยเฉพาะกระบี่เล่มนี้อาศัยพลังวิญญาณในตัวเขากระตุ้นให้สำแดงอิทธิฤทธิ์ ทำให้เขารู้สึกเหมือนมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย

ยามนี้เหยียบอยู่บนวิหคสุริยา ทำมุทราชี้ไป ร่างกายก็พลันคำรามออกไปกลางอากาศ บินแผล็วด้วยความรวดเร็วอ้อมภูเขาเซียงอวิ๋นไปหนึ่งรอบใหญ่ เมื่อผ่านสถานที่ที่มีกลุ่มคนอยู่เยอะ เขาก็รีบลดความเร็วให้ช้าลงทันที ยืดอกเชิดหน้า พอเบื้องล่างเกิดเสียงร้องอย่างตกตะลึงแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้เพิ่มความเร็วด้วยความลำพองใจ

‘ข้าป๋ายเสี่ยวฉุน ในที่สุดก็บินได้แล้ว!’ ป๋ายเสี่ยวฉุนกระฉับกระเฉงเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ฮึกเหิมจนหัวเราะร่าอยู่ในใจ บินไปจากหอหมื่นโอสถ ขณะที่กำลังจะไปวนรอบยอดเขาอื่น ทันใดนั้นลำแสงสีทองใต้ฝ่าเท้าเขาพลันมืดสลัวลง พริบตาเดียวก็หายวับไป กระบี่วิหคทองร่วงตุบลงบนพื้น ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนโซซัดโซเซ ตกใจจนร้องเสียงแหลมแล้วร่วงลงมา

ยังดีที่เบื้องล่างไม่ใช่หุบเหวลึก แต่เป็นถนนเส้นเล็กของสำนัก เดิมทีตัวเขาก็เคลื่อนที่ได้ว่องไวอยู่แล้ว เมื่อร่วงลงพื้นจึงยังสามารถยืนได้มั่นคง เขามองไปรอบๆ ด้าน สถานที่แห่งนี้สูงจากด้านล่างของภูเขามาก หากตกลงไป เขาไม่รู้ว่าผิวหนังคงกระพันของตัวเองจะทำให้เขาไม่ตายจริงหรือเปล่า…สีหน้าจึงซีดขาวลงไปเล็กน้อย

“อันตรายเกินไปแล้ว!!” ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นน้อยๆ หยิบเอากระบี่วิหคทองขึ้นมา รู้สึกว่าพลังวิญญาณในร่างถูกเผาผลาญไปเสียสิ้น จึงเข้าใจถึงสาเหตุที่ร่วงลงมาเมื่อครู่

ขี่กระบี่บิน สำหรับนักพรตขึ้นรวมลมปราณถือเป็นการเผาผลาญพลังเยอะเกินไป หากเปลี่ยนมาเป็นลูกศิษย์ผู้มีพลังรวมลมปราณขั้นเจ็ดคนอื่น อย่างมากที่สุดยืนหยัดได้สิบกว่าลมหายใจก็จำเป็นต้องหยุดบินแล้ว แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองจะมีพลังวิญญาณที่ถูกกลั่นกรองอยู่เยอะมาก ก็ยังยืนหยัดได้ไม่ถึงร้อยลมหายใจ

เพราะกังวลว่าจะตกลงมาตาย ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่กล้าทดลองทำอีก รีบเหล่มองไปรอบด้านด้วยอยากรู้ว่ามีใครสังเกตเห็นภาพน่าขายหน้าของตัวเองหรือไม่ แล้วก็พบทันทีว่าห่างออกไปไม่ไกล มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งยืนอึ้งมองมายังตน อ้าปากค้างราวกับตกตะลึงกับภาพเมื่อครู่นี้

“อ๊ะ นี่ไม่ใช่ศิษย์หลานหมาป่าหรอกเหรอเนี่ย” แค่กวาดตามองป๋ายเสี่ยวฉุนก็เห็นอีกฝ่ายทันที พลันเบิกตากว้าง รีบวิ่งเข้าไปหา

ชายร่างใหญ่คนนั้นยามนี้ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาแล้ว พอได้ยินคำว่าศิษย์หลานหมาป่า ร่างก็สั่นเทาขึ้นมา รีบประสานมือด้วยสีหน้าหดหู่

“ศิษย์หลิวเอ้อโก่ว คารวะอาจารย์อาป๋าย…ข้า เมื่อครู่ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น” หลิวเอ้อโก่วผู้นี้ก็คือคนที่เรียกขานตัวเองว่าท่านหมาป่าตอนที่ฝ่ายครัวไฟขายรายชื่อศิษย์ฝ่ายนอก

ป๋ายเสี่ยวฉุนทำเสียงฮึดฮัดอยู่สองสามที แล้วก็ข่มขู่ไปอีกหนึ่งรอบ พอแน่ใจแล้วว่าหลิวเอ้อโก่วจะไม่เอาเรื่องนี้ไปแพร่งพราย ถึงได้ตบไหล่อีกฝ่าย ทั้งยังรับปากว่าจะตอบแทนอีกรอบหนึ่งถึงได้เดินจากไปไกล

หลิวเอ้อโก่วเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก รีบจากไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกโชคดีที่มีแค่หลิวเอ้อโก่วผู้เดียวที่เห็นภาพขายหน้าของตน แอบคิดว่าหากตนตกลงมาตอนที่กำลังอวดศักดาที่หอหมื่นโอสถ เช่นนั้นชื่อเสียงวีรบุรุษที่สร้างมาคงพังย่อยยับไปแล้ว…

“เฮ้อ คนเรานี่น้า จะมีชื่อเสียงมากก็ไม่ได้ ชื่อเสียงก็คือความกลัดกลุ้มอย่างหนึ่ง” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ เอามือเล็กๆ ไพล่หลัง เดินกลับมายังที่พัก

สองจิตสองใจอยู่ชั่วครู่ นัยน์ตาของเขาก็เปล่งประกายเฉียบขาด

‘ไม่ได้ ต้องฝึกฝนให้มากกว่านี้ บินได้ไม่นานถือเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าเวลาหนีตายขึ้นมา ไม่ได้ถูกศัตรูฆ่าตาย แต่ดันตายเพราะตกลงมาเองแบบนั้นล่ะก็ มันจะน่าคับแค้นเกินไป’ ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็มองไปที่กระบี่วิหคทองและโล่กระสาเทพอีกครั้ง

‘อีกอย่างหากพิจารณาเพื่อวันข้างหน้าแล้ว ควรปกปิดอาวุธวิเศษสองชิ้นนี้เอาไว้จะดีกว่า พอเป็นเช่นนี้ คนอื่นจะคิแค่ว่านี่คือความชื่นชอบของข้า วันหลังเวลาข้าเอาอาวุธวิเศษชิ้นอื่นที่หลอมพลังจิตออกมาก็จะได้ไม่ให้ความสนใจมากนัก’ ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไปคิดมาก็หยิบเอาสารเหลวของพืชหลากสีที่เขาเตรียมเอาไว้ตลอดเวลาออกมา ทาลงไปบนกระบี่วิหคทองและโล่กระสาเทพ

ปกปิดลายพลังจิตสลัวรางสองสามเส้นนั้นได้แล้วก็เอามาโบกสะบัดอีกครั้ง สีหน้าพึงพอใจ

‘รอจนภายหลังความรู้ด้านวิถีโอสถของข้าสูงพอแล้ว จำเป็นต้องหลอมสารเหลววิเศษที่ใช้ทาพวกนี้เสียด้วย ถึงจะมั่นใจได้ยิ่งกว่าเดิม’ ป๋ายเสี่ยวมีนิสัยระมัดระวังรอบคอบ ต่อให้ตอนนี้มีฐานะเป็นศิษย์น้องของเจ้าสำนัก แม้จะทำกร่างไปทั่ว แต่ในใจกลับมีเส้นหนึ่งขีดไว้ เส้นที่เขาจะไม่ล้ำออกไป

‘เสียดายก็แต่ตบะยังมีไม่มากพอ โจวซินฉีนั่นคราวก่อนข้าสังเกตดู เหมือนจะถึงรวมลมปราณขั้นแปดแล้ว และก็มีแต่ตบะสูงขึ้นเท่านั้น ถึงจะสามารถขี่กระบี่บินได้นานกว่าเดิม’ ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจเด็ดขาด จากเรื่องของตระกูลลั่วเฉิน เขาสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรอย่างลึกซึ้ง และเข้าใจด้วยว่าความช้าเร็วในการหนีตายนั้นเป็นสิ่งสำคัญเพียงใด

หากตอนนั้นเขาสามารถขี่กระบี่บินได้ ต่อให้ต้องพาตู้หลิงเฟยและโหวอวิ๋นเฟยมาด้วย ตระกูลลั่วเฉินคิดจะไล่ตามก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย

‘แล้วยังต้องหลอมยาอีก!’ นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเด็ดเดี่ยว ในด้านพืชหญ้า แม้ว่าสำนักจะไม่มอบอะไรให้โดยไม่คิดค่าตอบแทน แต่ด้วยฐานะของเขาทุกวันนี้ ตำรับยาบางส่วนก็ไม่จำเป็นต้องใช้คะแนนคุณความดีไปแลกมาอีกแล้ว ดังนั้นวันต่อๆ มา ตลอดทั้งเขาเซียงอวิ๋นจึงสงบสุขลง ยากที่จะเห็นเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอีก

เขาเอาตำรับยาปริมาณมาก รวมไปถึงหินวิเศษและสิ่งของที่เก็บมาได้จากพวกคนตระกูลลั่วเฉินไปแลกพืชหญ้าที่ตลาดตีนเขามาได้ไม่น้อย แล้วจึงไปหอหลอมยา เริ่มปิดด่านหลอมยา

เวลาผันผ่าน หลายเดือนผ่านไปนับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมา เวลานี้ได้ผ่านไปนานถึงครึ่งปีแล้ว ครึ่งปีมานี้ตลอดทั้งชายฝั่งทิศใต้ ผู้คนพากันกล่าวขวัญถึงเรื่องราวอันน่าตกตะลึง แต่ตอนนี้อยู่ๆ ทุกอย่างก็สงบลง จึงมีคนไม่น้อยปรับตัวไม่ค่อยทันนัก

ขณะเดียวกันเรื่องราวเกี่ยวกับฐานะศิษย์ผู้ทรงเกียรติของป๋ายเสี่ยวฉุน ตลอดครึ่งปีมานี้ก็ค่อยๆ แพร่กระจายออกไป จากในสำนักแพร่ไปทั่วเกาะตงหลิน

ในเกาะตงหลินมีตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรอยู่เป็นจำนวนมาก ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นล้วนมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นซับซ้อนกับสำนักธาราเทพ ตระกูลโหวและตระกูลลั่วเฉินเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

สำหรับลูกศิษย์ของสำนักธาราเทพ ลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติแม้ว่าจะเป็นคำเรียกขานสูงสุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในใจผู้คนล้วนคิดว่ายังยิ่งใหญ่สู้ฐานะศิษย์น้องของเจ้าสำนักไม่ได้

แต่สำหรับตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นกลับตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ระดับที่พวกเขาให้ความสำคัญกับลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติมีเหนือล้ำเกินกว่าศิษย์น้องเจ้าสำนักมากนัก สามารถพูดได้ว่าพวกเขาไม่สนใจศิษย์น้องของเจ้าสำนัก แต่หากเป็นศิษย์ผู้ทรงเกียรติ กลับทำให้ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดบ้าคลั่งกันอย่างถึงที่สุดขึ้นมาได้

หลังจากที่พวกเขารู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นศิษย์ผู้ทรงเกียรติ ทันใดนั้นผู้อาวุโสในตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากล้วนฮึกเหิมขึ้นมาพร้อมกัน ในสายตาของพวกเขาแล้ว เห็นชัดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหมือนภูเขาทองลูกหนึ่ง คือหน่ออ่อนทรงเกียรติที่มีชีวิต

ไม่ว่าจะเป็นตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลใดก็ตาม ขอแค่ได้ผูกสัมพันธ์เกี่ยวดองกับป๋ายเสี่ยวฉุน รอจนคนรุ่นหลังที่มีสายเลือดของป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัว อนาคตของเด็กคนนี้ก็แทบจะไร้ขีดจำกัด อีกทั้งตระกูลในสายเลือดที่ค่อยๆ ขยายตัวออกไปก็จะโชติช่วงชัชวาลอยู่ภายใต้การประคับประคองของสำนักธาราเทพ

และในฐานะที่เป็นตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูล ก็จะได้เลื่อนขั้นอย่างพรวดพราด เป็นดั่งปลากระโดดข้ามประตูมังกร

ต้องเข้าใจว่าสำนักธาราเทพในตอนนี้ ตระกูลผู้ทรงเกียรติมีทั้งหมดแค่เก้าตระกูลเท่านั้น เก้าตระกูลนี้ยังสามารถร่วมวางแผนการในบางด้านกับสำนักได้ด้วย แม้ว่าจะไม่มากนัก แต่ก็แสดงออกให้เห็นถึงระดับความสำคัญ

ถือเป็นกลุ่มบุคคลยักษ์ใหญ่ ทำให้ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลอื่นๆ อิจฉาอย่างถึงขีดสุดท่ามกลางความหวาดเกรง ก่อนหน้านี้พวกเขาไร้ความสามารถในการเปลี่ยนแปลง และไม่สามารถโค่นล้มอะไรได้ ทำได้เพียงให้คนในตระกูลของตัวเองกราบเข้าเป็นศิษย์ของสำนักธาราเทพ สร้างคุณงามความดีให้กับสำนักในตอนที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ เพื่อให้ได้มาซึ่งฐานะผู้ทรงเกียรติ

แต่ตอนนี้…ป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัวแล้ว

ที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือเขาไม่ใช่ลูกหลานของคนตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลใด มาจากครอบครัวคนธรรมดา อีกทั้ง…เขายังไม่มีคู่ร่วมบำเพ็ญตน นี่คือป้ายเปล่าเปลือยของการได้เป็นตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรผู้ทรงเกียรติตระกูลที่สิบ ทำให้ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดในเกาะตงหลินล้วนตื่นเต้นฮึกเหิม

“ไปนำตัวลูกหลานหญิงตระกูลโจวของข้าที่หน้าตางดงามที่สุดมา ข้าจะพานางไปพบสหายนักพรตป๋ายพร้อมกัน!”

“เฟยเอ๋อ เจ้าคือไข่มุกเม็ดงามแห่งตระกูลจ้าวของเรา ครั้งนี้เจ้าต้องเอาอกเอาใจป๋ายเสี่ยวฉุนให้ดี หากเขาถูกใจเจ้า เช่นนั้นวิกฤตของตระกูลจ้าวเราก็จะสูญสิ้นโดยพลัน!”

“หญิงสาวตระกูลซุนของข้าแม้ว่าจะไม่งามโดดเด่น แต่พวกเรามีทรัพยากร ไปเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่มาให้ข้าหนึ่งชิ้นเพื่อนำไปให้สหายนักพรตป๋าย!”

ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากล้วนพากันเคลื่อนไหว ต่างฝ่ายต่างมีวิธีการ ถึงขั้นที่ว่ายังส่งคนของตระกูลที่อยู่ในสำนักให้ไปทดลองตีสนิทกับป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยซ้ำ แม้แต่ชายฝั่งทิศเหนือก็ยังเคลื่อนไหว ดังนั้นเพียงไม่นาน ชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนก็แพร่กระจายไปทุกหนแห่งตลอดทั้งเกาะตงหลิน

ตระกูลโหวก็เช่นเดียวกัน

“อวิ๋นเฟย เจ้ากับป๋ายเสี่ยวฉุนมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาต่อกัน เรื่องนี้…เจ้าต้องช่วยตระกูลนะ น้องสาวของเจ้านั้น ข้าว่าในใจนางเป็นของป๋ายเสี่ยวฉุนนานแล้ว เจ้าก็หาโอกาสเป็นคนกลางติดต่อให้สักหน่อย” ผู้อาวุโสตระกูลโหวเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง เขาตั้งใจเรียกโหวอวิ๋นเฟยและโหวเสี่ยวเม่ยกลับมา เอ่ยปากพูดอย่างจริงจัง

โหวเสี่ยวเม่ยหน้าแดงก่ำ ร้องกระเง้ากระงอดคำหนึ่งก็รีบวิ่งหนีไป

โหวอวิ๋นเฟยกลัดกลุ้มอยู่ในใจ ฝืนใจพยักหน้าตอบรับ

หลายวันต่อมา คนของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ก็ค่อยๆ มารวมตัวกันอยู่ด้านนอกที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุนบนเขาเซียงอวิ๋น ยังมีคนบางส่วนที่รู้ข่าวรวดเร็วจึงไปดักอยู่ด้านนอกหอหลอมยา รอคอยตาปริบๆ ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนออกมา

————-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!