บทที่ 93 ยานี้ก็มีผลกับคนด้วย
ในเขตการรบที่สอง เวลานี้กุ่ยหยาเก็บสองนิ้วที่ยื่นออกไปกลับมา ในการประมือกับผู้อื่นเขาแค่ใช้นิ้วเดียวก็เพียงพอ แต่กงซุนอวิ๋นที่อยู่เบื้องหน้ากลับสามารถต่อต้านนิ้วแรกของเขาเอาไว้ได้
กงซุนอวิ๋นเวลานี้หน้าขาวเผือด ถอยร่นอย่างรวดเร็วและยอมแพ้อย่างขมขื่น การต่อต้านนิ้วแรกถือว่าเป็นขีดสุดของเขาแล้ว เขาไม่สามารถให้ตัวเองบาดเจ็บมากจนเกินไป ต่อให้เขาคว้าที่หนึ่งมาไม่ได้ ก็ต้องเอาที่สองมาให้ได้
กงซุนอวิ๋นกำมือประสานให้กุ่ยหยาแล้วเดินลงจากเวทีประลอง พอหันหน้ากลับไปมองตรงเขตของกงซุนหว่านเอ๋อร์ เขาก็ต้องขมวดคิ้วฉับ
กุ่ยหยาสีหน้านิ่งสงบ เดินลงจากเวทีประลองมาเหมือนกัน และก่อนจากมาก็กวาดสายตามองไปทางป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นเดียวกัน หลังจากมองเห็นการคุ้มกันเหล่านั้นของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว นัยน์ตาของเขาก็เผยแววแปลกประหลาด
ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศใต้ที่อยู่นอกเวทีประลองล้วนก้มหน้าลง…แม้แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกไม่ดี เห็นใจชายฝั่งทิศเหนืออย่างถึงที่สุด
ส่วนลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือบ้ากันไปหมดแล้ว…
กงซุนหว่านเอ๋อร์คุ้มคลั่งแล้ว นางกระโจนใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ใช้ทุกวิธีการ โยนคาถาวิเศษเหลือคณานับเข้าใส่ แต่ก็ยังคงมิอาจฝ่าการป้องกันของป๋ายเสี่ยวฉุนไปได้
โดยเฉพาะด่านสุดท้ายนั่น กำไลข้อมือสีดำอันนั้นแปลงเป็นของเหลวปกคลุมไปทั่วร่าง นี่คือวัตถุช่วยชีวิตที่สามารถสกัดกั้นนักพรตขั้นสร้างฐานรากได้ครั้งหนึ่ง จนกระทั่งธูปหนึ่งก้านหมดไป กงซุนหว่านเอ๋อร์กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ นางหมดเรี่ยวหมดแรง มองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเลื่อนลอย นัยน์ตาเผยความสิ้นหวัง
ขณะที่กำลังจะเสี่ยงเรียกนกฟ่งเหนี่ยวออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนเหล่ตามองนางหนึ่งครั้ง ยาเม็ดหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในมือ แล้วโยนขึ้นโยนลงอยู่กลางฝ่ามือ…
กงซุนหว่านเอ๋อร์แค้นเคือง กำหมัดแน่น
“ยอมแพ้!!” นางกลั้นใจเอ่ยปาก นัยน์ตาเผยความไม่ยินยอมอย่างรุนแรง
“นับถือๆ นับว่าเจ้าฉลาดเข้าใจสถานการณ์ ไม่บีบให้ข้าต้องลงมือ!” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกบานเป็นยิ่งนัก แต่ภายนอกกลับยังคงวางมาดของผู้ยิ่งใหญ่ กำมือประสานเอ่ยปากเนิบนาบ
ครั้นประโยคนี้ดังออกมา ลูกศิษย์ผู้หนึ่งของชายฝั่งทิศใต้น้ำตาไหลพราก กงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ยิ่งสั่นสะท้านไปทั้งตัว กัดฟันจากไป
และเวลานี้เอง การสู้รบระหว่างซ่างกวานเทียนโย่วและสวีซงก็มาถึงช่วงสุดท้ายเช่นกัน กระบี่ของซ่างกวานเทียนโย่วตวัดลง เกิดลำแสงแข็งแกร่งสะเทือนฟ้าดินขึ้นมา หลังจากแสงหายไปแล้ว สัตว์ทั้งห้าตัวเบื้องหน้าสวีซงล้วนอ่อนระโหยโรยแรง ตัวเขาเองก็โซซัดโซเซถอนร่นไปหลายก้าว นัยน์ตาที่มองมายังซ่างกวานเทียนโย่วเผยความนับถือ
“ร่างกายของกระบี่วิเศษ ไม่ธรรมดาจริงเสียด้วย!” มุมปากของเขามีเลือดสดไหลริน หลังจากเอ่ยปากอย่างเชื่องช้าแล้วจึงเดินลงจากเวทีประลองไป
ซ่างกวานเทียนโย่วเงียบงัน สายตามองไปทางกุ่ยหยา มีประกายเฉียบคมเปล่งวาบ เขารู้ว่าคู่ต่อสู้ของตัวเองในที่นี้ มีเพียงกุ่ยหยา!
‘คาดว่าเขาเองก็คงคิดเหมือนข้า รู้สึกว่าสู้กับคนอื่นล้วนน่าเบื่ออย่างมาก’ ซ่างกวานเทียนโย่วเก็บกระบี่กลับมา สายตากวาดมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที มองเห็นการคุ้มกันบนร่างกายของเขา นัยน์ตาก็เผยแววดูหมิ่น เมื่อเดินลงจากเวทีประลอง สิ่งที่ต้อนรับเขาคือเสียงไชโยโห่ร้องจากชายฝั่งทิศใต้
ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เดินกลับมาอย่างภาคภูมิใจ
สนามแรกของรอบที่สาม ทั้งหกคนประมือกัน ผู้ชนะคือกุ่ยหยา ซ่างกวานเทียนโย่ว ป๋ายเสี่ยวฉุน ผู้แพ้คือสวีซง และพี่น้องกงซุน
เมื่อเทียบกับการชนะของกุ่ยหยาและซ่างกวานเทียนโย่วแล้ว ชายฝั่งทิศเหนือไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่นัก พวกเขาในเวลานี้ถูกความไร้ยางอายครั้งแล้วครั้งเล่าของป๋ายเสี่ยวฉุนกระตุ้นให้โกรธจนคลั่งไปหมดแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนประสบความสำเร็จในการ…ชักนำจังหวะของศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจครั้งนี้ ถึงขั้นที่ว่าได้สร้างผลกระทบใหญ่หลวงยากคาดเดาได้…
ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของชายฝั่งทิศเหนือแต่ละคนกำหมัดแน่น ดวงตาแดงฉานจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง ถูกสายตาคนนับหมื่นจ้องมองเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลูบจมูกอย่างวัวสันหลังหวะ แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
กงซุนหว่านเอ๋อร์โกรธจนตัวสั่นเทิ้ม กงซุนอวิ๋นผู้เป็นพี่ชายที่ยืนอยู่ด้านข้างเกลี้ยกล่อมเสียงเบา นางถึงได้กัดฟันนั่งลงฟื้นฟูพลังวิญญาณ คนอื่นๆ ก็เร่งรีบฟื้นฟูร่างกายเช่นกัน
เวลาพักสามก้านธูปผ่านไป สนามที่สองของรอบที่สามเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ!
ในเขตที่หนึ่ง คู่ต่อสู้ของกุ่ยหยาเปลี่ยนเป็นกงซุนหว่านเอ๋อร์ กงซุนหว่านเอ๋อร์ขมขื่น มองไปยังกุ่ยหยาที่สีหน้าไร้อารมณ์ นางไม่ได้ลงมือแต่เลือกที่จะยอมแพ้ นางไม่อาจบาดเจ็บได้อีกแล้ว มิเช่นนั้นจะส่งผลร้ายต่ออีกหลายสนามที่เหลือของนาง
เนื่องจากกงซุนหว่านเอ๋อร์ยอมแพ้ กุ่ยหยาจึงชนะไปโดยปริยาย
เวลาเดียวกันนี้การสู้รบในเขตที่สองกำลังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว คู่ต่อสู้ของซ่างกวานเทียนโย่วคือกงซุนอวิ๋น กงซุนอวิ๋นผู้ที่สามารถต่อต้านนิ้วมือหนึ่งของกุ่ยหยาเอาไว้ได้ เวลานี้สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที แมลงพิษตลอดร่างจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกมา แผ่คลุมไปทั่วพื้นดินและทะยานดิ่งเข้าหาซ่างกวานเทียนโย่ว
สีหน้าซ่างกวานเทียนโย่วเคร่งเครียด ขณะที่ยกมือขวาขึ้น กระบี่บินเล่มหนึ่งก็คำรามตูมออกมา ไอกระบี่แผ่ไปทั่วทุกสารทิศ
การต่อสู้ครั้งนี้เดิมทีควรจะเป็นที่จับตามองของคนนับหมื่น แต่ตอนนี้…ไม่ว่าจะเป็นชายฝั่งทิศใต้หรือชายฝั่งทิศเหนือ สายตาของคนแทบทุกคนล้วนไปตกอยู่ในเขตที่สาม
ที่นั่น ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินขึ้นเวทีด้วยท่าทางโอหัง คู่ต่อสู้ที่อยู่เบื้องหน้าเขาคือสวีซง!
สวีซงมองป๋ายเสี่ยวฉุน มุมปากเหยียดยิ้มเย็นชา
“เชี่ยวชาญเรื่องยา เชี่ยวชาญเรื่องการป้องกันตัวนักใช่ไหม แต่คราวนี้เมื่อเจ้าเจอข้าก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าเจ้าต้องอเนจอนาถหนักแน่!” ระหว่างที่พูดพลันสวีซงก็ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ความว่างเปล่ารอบด้านเกิดเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ออกมาทันที สัตว์ร้ายสามตัวปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ สัตว์ร้ายทั้งสามตัวนี้ ตัวหนึ่งคือวานรขนาดยักษ์สูงพอหนึ่งจั้งกว่า และยังมีเสือร้ายอีกหนึ่งตัว ส่วนตัวสุดท้าย…คือค้างคาวยักษ์ที่มีปีกอยู่เบื้องหลัง
สัตว์ทั้งสามตัวนี้เพิ่งปรากฏตัว ความอหังการก็โหมกระหน่ำ พลังอำนาจน่าตื่นตะลึง แต่ละตัวล้วนทำให้รู้สึกถึงอานุภาพของพลังรวมลมปราณขั้นเก้า
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ดูสิว่าการป้องกันของเจ้าจะรับการโจมตีอย่างต่อเนื่องจากสัตว์รบทั้งสามตัวนี้ของข้าได้หรือไม่!” สวีซงยิ้มชั่วร้าย เตรียมจะลงมือ
“เจ้ายอมแพ้เถอะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจหนึ่งครั้ง มือขวายกขึ้นหยิบเอายากระสันซ่านออกมา มองไปทางสวีซงอย่างเห็นอกเห็นใจ
“ประโยคนี้อีกแล้ว!”
“กำจัดป๋ายเสี่ยวฉุน!” พริบตาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดออกมา ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือก็พากันตะโกนคั่งแค้นโดยพร้อมเพรียงกัน
มองยาที่อยู่ในมือป๋ายเสี่ยวฉุน สวีซงเงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง สีหน้าเผยแววดูหมิ่น ที่มากกว่านั้นคือความลำพองใจอันดุเดือด
“รู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าต้องใช้ยาไร้เกียรติพวกนี้ แต่เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าผู้แซ่สวีจะไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน สัตว์รบทั้งสามตัวของข้านี้เตรียมมาไว้ให้เจ้าเป็นพิเศษ พวกมันล้วนเป็นสัตว์เพศเมีย!” สวีซงได้ใจอย่างถึงที่สุด นี่ทำให้เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าคราวนี้ต้องได้ระบายแค้นให้กับชายฝั่งทิศเหนืออย่างแน่นอน
ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็พากันฮึกเหิมขึ้นมา ไชโยโห่ร้องไม่หยุด กู่ร้องอย่างยินดีเพื่อสวีซง
ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนหล่นร่วงดังโครม ลูกตาในเบ้ากลอกเร็วจี๋หนึ่งที แต่ยังคงมีสีหน้าเป็นปกติ มองมาด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจเช่นเดิม พูดเนิบนาบออกมาหนึ่งประโยค
“ยานี้ของข้ามีผลต่อสัตว์ และก็มีผลต่อคนเช่นกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากข่มขู่เสร็จก็มองสวีซงหนึ่งครั้ง แล้วก็เหล่มองสัตว์เพศเมียทั้งสามตัวที่อยู่ข้างกายสวีซง
พอเขาพูดเช่นนี้ ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือเงียบกริบทันที ทุกคนอึ้งตะลึง จากนั้นในสมองก็มีภาพจินตนาการลอยมาเป็นฉากๆ อย่างอดไม่อยู่ ภาพเหล่านั้นน่าสะเทือนใจเกินไป ถึงขนาดทำให้ทุกคนสูดลมหายใจเฮือก
ส่วนสวีซงก็ยิ่งเบิกตากว้าง ในสมองเกิดเสียงดังสนั่นราวเสียงสายฟ้าหนึ่งที สีหน้าเขาซีดเผือดลงในพริบตา คิดถึงเป่ยหันเลี่ย คิดถึงกงซุนหว่านเอ๋อร์ แล้วก็คิดว่าหากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดมาเป็นความจริง ถ้าเช่นนั้นหากตัวเองสัมผัสโดนยานั่นจนเกิดกำหนัดขึ้นมา… เขาพยายามกลืนน้ำลายลงคอ สั่นเทิ้มไปทั้งร่างตอนที่หันไปมองสัตว์รบทั้งสามตัวข้างกายอย่างไม่ตั้งใจ เวลาเดียวกันนั้น สัตว์รบทั้งสามตัวก็เหมือนจะรับรู้ได้ ถึงได้มองสวีซงที่อยู่ด้านข้างแล้วก็สั่นเทาไปทั้งร่างเช่นกัน
สวีซงไม่ลังเลอีกต่อไป พริบตาเดียวก็เก็บเอาสัตว์รบทั้งสามกลับคืนมา เขาไม่กล้าเดิมพันนี่นา ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเก้าส่วนที่โกหก แต่เขาก็ไม่กล้าเดิมพันกับเรื่องแบบนั้น
ชั่วขณะที่สวีซงจิตใจหวั่นไหวและเก็บสัตว์รบเหล่านั้นกลับไป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินหน้าไปหนึ่งก้าว แสงคุ้มกันตลอดร่างเปล่งกระกาย เดินก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้เรื่อยๆ และยกมือขวาขึ้นโบกไปข้างหน้าหนึ่งครั้ง
การโบกครั้งนี้แผ่พลังมหาศาลระลอกหนึ่งออกมา ความแข็งแกร่งของสวีซงอยู่ที่เขาควบคุมสัตว์ได้เยอะ เวลานี้เมื่อไม่กล้าเอาสัตว์รบออกมาใช้ พลังที่แท้จริงจึงลดฮวบลงไปเกินครึ่ง ไม่สามารถสกัดกั้นอะไรได้ ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนตวัดม้วนตัวออกไปโดยตรงจนกระอักเลือด โซซัดโซเซถอยร่น ความคับแค้นและโกรธเคืองตัดสลับกันไปมา เขาเปล่งเสียงคำรามแหบแห้งกำสรดออกมาหนึ่งเสียงก่อนกำหมัดยอมแพ้
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง พอกำหมัดประสานแล้วจึงเดินวางมาดใหญ่โตจากไป แปบเดียว เบื้องหลังของเขาก็มีเสียงคำรามโกรธแค้นและคลุ้มคลั่งนับไม่ถ้วนดังตามมา
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้า เจ้า เจ้า…”
“ไอ้ยาวิปริตเม็ดนั้นจำเป็นต้องกำจัดให้สิ้นซาก!”
“สวรรค์ ใครก็ได้ไปกำจัดเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนจอมต่ำช้าผู้นี้ที ข้าให้หินวิเศษสิบก้อน!”
“ข้าให้ห้าสิบหินวิเศษ กำจัดป๋ายเสี่ยวฉุน!” ชายฝั่งทิศเหนือบ้ากันไปหมดแล้ว เมื่อคนจำนวนนับไม่ถ้วนพากันเอ่ยปาก ไม่นานจำนวนของหินวิเศษก็พุ่งขึ้นสูงถึงหมื่นกว่าก้อน ชายฝั่งทิศใต้ที่มองดูอยู่อึ้งแล้วอึ้งอีก พากันนับถือป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างที่ไม่เคยนับถือใครขนาดนี้มาก่อน
การประกาศให้รางวัลอย่างเปิดเผยเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าถอดสี รีบเดินเร็วๆ สองสามก้าวแล้วกระโดดลงมาจากเวทีประลอง รู้สึกเสียวสันหลังวาบ โดยเฉพาะเมื่อเขาได้ยินว่าหินวิเศษที่เป็นรางวัลเกินสองหมื่นเข้าไปแล้ว ใจก็สั่นกระตุกขึ้นมา
“พวกเจ้าไม่มีเหตุผลนี่นา ทุกครั้งที่ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนลงสนามรบ ก็จะบอกอีกฝ่ายให้ยอมแพ้ก่อนทุกครั้งแล้วนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจจึงอธิบายเพิ่มไปอีกประโยค
การอธิบายครั้งนี้ทำให้คนของชายฝั่งทิศเหนือยิ่งคลั่งเข้าไปใหญ่ เพิ่มจำนวนหินวิเศษขึ้นสูงถึงสามหมื่น นกฟ่งเหนี่ยวตัวนั้นที่บินอยู่กลางอากาศ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขเมื่อเห็นความทุกข์ของป๋ายเสี่ยวฉุน มันเปล่งเสียงร้องอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเช่นนั้นก็ให้เคียดแค้นนัก
แม้แต่ผู้อาวุโสไม่น้อยบนแท่นยกก็ยังเผยสีหน้าสนใจออกมา
“ข้าคือศิษย์ผู้ทรงเกียรติ ข้าเป็นศิษย์น้องของท่านเจ้าสำนัก ใครกล้ามาให้รางวัลจับตัวข้า ข้าจะให้อาจารย์ไล่คนนั้นออกจากสำนัก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเรื่องเป็นเช่นนี้หนังหัวก็ชาหนึบ ตะเบ็งเสียงพูดข่มขู่
ดังนั้น…ชายฝั่งทิศเหนือจึงบ้าคลั่งกันยิ่งกว่าเดิม ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว โยนกระบี่บินเล่มหนึ่งลอยข้ามเวทีประลองมา ดังนั้นลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือจำนวนนับไม่ถ้วนก็แทบจะควักเอาอาวุธออกมาทั้งหมด สัตว์รบที่อยู่ข้างกายก็ยิ่งคำรามเสียงแหบแห้งราวกับพร้อมระเบิดทุกเมื่อ
ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนต้องถอยกรูดอย่างว่องไว ยังดีที่ในเวลานี้เหล่าผู้อาวุโสบนแท่นยกทนดูไม่ได้อีกต่อไป จึงมีแสงเส้นหนึ่งตกลงมาสกัดกั้นชายฝั่งทิศเหนือเอาไว้
เวลาเดียวกันนั้นการต่อสู้ระหว่างซ่างกวานเทียนโย่วและกงซุนอวิ๋นก็มาถึงช่วงสุดท้ายเช่นกัน ซ่างกวานเทียนโย่วใช้กระบี่บินสามเล่ม กงซุนอวิ๋นใช้ความพยายามทุกรูปแบบ สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ไปอย่างนิ่งขรึม ยุติการต่อสู้ครั้งนี้
ซ่างกวานเทียนโย่วหอบหายใจเล็กน้อย ความแข็งแกร่งของกงซุนอวิ๋นทำให้เขาจำต้องลงมืออย่างจริงจัง เวลานี้เมื่อเดินลงมาจากเวที เห็นความบ้าคลั่งของชายฝั่งทิศเหนือเขาก็ขมวดคิ้วมุ่น มองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง นัยน์ตาฉายแววดูถูกและเหยียดหยาม ทั้งในใจยังมีความริษยาอยู่อีกไม่น้อยด้วย
‘อาศัยแค่ยาหนึ่งเม็ดและการคุ้มกันก็ยังเดินมาถึงจุดนี้ได้ไม่ต่างจากข้า หึ!’ ซ่างกวานเทียนโย่วหันหน้ากลับมา หลับตานั่งทำสมาธิ
———